หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความชุดนี้อิงจากมาตราฐาน API 2000 7th Edition, March 2014. Reaffirmed, April 2020 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจ ดังนั้นถ้าจะนำไปใช้งานจริงควรต้องตรวจสอบกับมาตรฐานฉบับล่าสุดที่ใช้ในช่วงเวลานั้นก่อน
ห่างหายเรื่องนี้ไป ๕ เดือน ก็ได้เวลามาเขียนต่อสักที คราวนี้เป็นการเริ่มส่วนของภาคผนวก (Annex)
เริ่มจาก Annex A ซึ่งเป็นวิธีการคำนวณทางเลือกสำหรับความต้องการในการระบายความดันในสภาวะปรกติ
ห้วข้อ A.1 เป็นเรื่องทั่วไป โดยข้อ A1.1.1 กล่าวว่าภาคผนวกนี้ให้แนวทางการคำนวณที่อาจนำไปใช้เพื่อหาปริมาณความต้องการในการระบายความดันในสภาวะปรกติของถังเก็บ
รูปที่ ๑ ภาคผนวก A เป็นวิธีการทางเลือกในการคำนวณความสามารถในการระบายในสภาวะปรกติ
หัวช้อ A.1.2 กล่าวว่า ความสามารถในการระบายที่ต้องมีในที่นี้ ประยุกต์ใช้ได้กับถังเก็บที่มีเงื่อนไขการทำงานดังต่อไปนี้
- ปริมาตรถังต่ำกว่า 30,000 m3 (หรือ 180,000 บาร์เรล)
- อุณหภูมิการทำงานสูงสุดของส่วนที่ว่างที่เป็นไอของถังมีค่าประมาณ 48.9 ºC (120 ºF)
- เป็นถังที่ไม่หุ้มฉนวน
- อุณหภูมิของสารที่บรรจุอยู่ในถังและที่ป้อนเข้าถัง มีค่าต่ำกว่าอุณหภูมิจุดเดือดของสารนั้นที่ความดันการทำงานสูงสุดของถัง
หมายเหตุ : ผลของการเย็นตัวลงของที่ว่างที่เป็นไอคือการหดตัวของปริมาตรไอที่อยู่ในที่ว่างที่เป็นไอนั้น สำหรับถังที่มีไอที่สามารถควบแน่นเป็นของเหลวได้เมื่อเย็นตัวลง และถ้าอุณหภูมิของชองเหลวที่อยู่ในถังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นความดันไอของของเหลวจะยังคงอยู่ได้ด้วยการระเหยของของเหลวนั้น ผลการควบแน่นของไอจะมีนัยสำคัญเมื่อมีของเหลวปริมาณน้อยอยู่ในถัง (เช่นในระหว่างการใช้ไอน้ำเป่าไล่) และวิธีการคำนวณที่ให้ในภาคผนวกนี้ไม่สามารถใช้ได้สำหรับการเปลี่ยนแปลงปริมาตรที่เพิ่มเติมเข้าเนื่องจากการควบแน่นของไอ
(คือที่อุณหภูมิหนึ่งนั้น ความดันไอของของเหลวจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของของเหลวนั้น ไม่ขึ้นกับปริมาตรที่ว่างเหนือผิวของเหลว ส่วนอัตราการระเหยขึ้นอยู่กับพื้นที่ผิวบนของของเหลวนั้น ถ้าของเหลวในถังมีมาก ปริมาตรที่ว่างเหนือผิวของเหลวก็จะน้อย ปริมาณไอที่ควบแน่นได้ก็จะน้อยลงไปด้วย แต่ถ้าของเหลวในถังมีน้อย ปริมาตรที่ว่างเหนือผิวของเหลวก็จะมาก ปริมาณไอที่ควบแน่นได้ก็จะมาก ความดันก็จะลดลงได้มาก แต่พื้นที่ผิวบนที่ของเหลวนั้นสามารถระเหยออกมาชดเชยได้ยังคงเท่าเดิม ดังนั้นโอกาสที่ความดันในถังจะลดต่ำลงจนทำให้ถังถูกความกดอากาศภายนอกบีบอัดให้เสียหายได้จึงมีมากกว่า)
หัวข้อ A.1.3 กล่าวว่าสำหรับถังที่สภาพการทำงานไม่เป็นไปตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น (หัวข้อ A.1.2) ให้ใช้วิธีการคำนวณความสามารถในการระบายที่ต้องมีที่บรรยายไว้ในหัวข้อ 3.3.2 (หัวข้อนี้อยู่ในตอนที่ ๗ วันศุกร์ที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๖)
หัวข้อ A.1.4 กล่าวว่าเป็นความรับผิดขอบของผู้ใช้ที่ต้องระบุว่าจะใช้วิธีการนี้ในการหาขนาดของช่องระบายความดันสำหรับถังใหม่หรือถังที่มีอยู่เดิม
หัวข้อ A.2 กล่าวสั้น ๆ ว่า "ประสบการณ์" (รูปที่ ๒)
หัวข้อ A.2.1 กล่าวว่าวิธีการหาปริมาตรการระบายที่ต้องมีที่บรรยายไว้ในภาคผนวกนี้ได้ถูกใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ ตั้งแต่ราว ๆ ค.ศ. ๑๙๔๐ (พ.ศ. ๒๔๘๓) การประยุกต์ใช้ครอบคลุมทั้งช่วงของปริมาตรถังเก็บที่พบในการสำรวจขุดเจาะและการผลิตและโรงงานปิโตรเคมี การใช้วิธีการนี้ให้ค่าอัตราไหลที่ต้องการในกรณีการป้องกันการเกิดสุญญากาศ "ต่ำกว่า" วิธีการที่บรรยายไว้ในหัวข้อ 3.3.2 อยู่เล็กน้อย
หัวข้อ A2.2 กล่าวว่าถังเก็บปิโตรเลียมบางถังที่ได้รับความเสียหายหรือถูกทำลายเนื่องจากสุญญากาศ มีสาเหตุพื้นฐานจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องต่อไปนี้อย่างน้อยหนึ่งสาเหตุหรือมากกว่า (ดูเอกสารอ้างอิง {20})
- การเย็นตัวของที่ว่างส่วนที่เป็นไอที่อุณหภูมิสูง (กล่าวคืออุณหภูมิสูงกว่า 48.9 ºC หรือ 120 ºF อย่างมีนัยสำคัญ
- การควบแน่นของไอในถังเนื่องจากการเย็นตัวลงของสารที่ให้ความร้อน เช่นการควบแน่นของไอน้ำหลังการใช้ไอน้ำเป่าไล่ (การใช้ไอน้ำเป่าไล่อาจทำเพื่อการไล่อากาศออกจากถังก่อนป้อนของเหลวเข้าเก็บในถัง หรือการไล่ไอระเหยของเชื้อเพลิงที่ตกค้างอยู่ในถังก่อนที่จะทำการซ่อมบำรุงถัง)
- ช่องทางการไหลถูกลดขนาดหรือถูกปิดกั้น เช่นช่องระบายถูกปิดกั้นด้วยถุงพลาสติก (มีกรณีที่มีการเอาถุงพลาสติกไปครอบช่องระบาย เพื่อไม่ให้ไอระเหยนั้นออกมารบกวนการทำงานบริเวณนั้น แต่ลืมเอาถุงออกเมื่อเสร็จงาน)
รูปที่ ๒ หัวข้อ A.2.1 - A.2.3
หัวช้อ A.2.3 กล่าวว่าประสบการณ์การทำงานกับถังเก็บที่ใช้กันทั่วไปในวงการปิโตรเคมี พบว่า ความเสียหายหรือถูกทำลายเนื่องจากสุญญากาศ ไม่ได้เกิดจากความสามารถในการระบายที่ไม่เพียงพอเมื่อทำการออกแบบระบบระบายความดันด้วยการใช้แนวปฏิบัติที่ให้ไว้ในภาคผนวกนี้
หัวข้อ A.2.4 (รูปที่ ๓) กล่าวว่า การนำเอาวิธีการที่ถูกต้องแม่นยำมากขึ้นในการหาปริมาตรอัตราการไหลในการระบายในสภาวะปรกติ (ในหัวข้อ 3.3.2) ไม่จำเป็นต้องทำการประเมินขนาดช่องระบายของถังเก็บ (ที่ได้รับการระบุด้วยวิธีการในภาคผนวกนี้) ใหม่ ถังดังกล่าวที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้งานยังคงสามารถใช้วิธีการที่ได้ให้ไว้ในภาคผนวกนี้ โดยมีข้อแม้ว่าสภาวะการทำงานนั้นเป็นไปตามที่ได้กล่าวไว้ในหัวข้อ A.1 เหตุผลที่ว่าทำไมช่องระบายของถังเก็บดังกล่าวไม่จำเป็นต้องได้รับการประเมินใหม่ด้วยวิธีการที่ให้ไว้ในหัวข้อ 3.3.2 มีดังนี้
- วิธีการที่ให้ไว้ในหัวข้อ 3.3.2 มีข้อสมมุติฐานที่ระมัดระวังที่อาจไม่สะท้อนถึงสภาวะทั่วไป กล่าวคือ
- ไอที่อยู่ในช่องว่างภายในถังนั้น ไม่มีความเป็นเนื้อเดียวกันดังข้อสมมุติ
- ค่าสัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อนที่เป็นจริงนั้นอาจมีค่าน้อยกว่าค่าที่สมมุติไว้ ทั้งนี้เนื่องจากมันไม่เป็นฟังก์ชันกับอุณหภูมิและตำแหน่งภายในถัง ปริมาตรปิดล้อมที่มีขนาดเล็กกว่าสามารถมีค่าอัตราการถ่ายเทความร้อนที่ต่ำกว่าที่ได้สมมุติไว้ในแบบจำลอง
- แบบจำลองไม่ได้พิจารณาว่าอัตราการหดตัวของไอจะลดลงเมื่อมีอากาศไหลเข้าไปในถังผ่านทางวาล์วสุญญากาศ
ความหมายของหัวข้อนี้คือ วิธีการที่ให้ไว้ในภาคผนวกนี้เป็นวิธีการเก่า ส่วนวิธีการที่ให้ไว้ในหัวข้อ 3.3.2 เป็นวิธีการที่ใหม่กว่าและให้ค่าที่ถูกต้องมากกว่า (และให้ขนาดช่องระบายที่ใหญ่กว่า) แต่สำหรับถังเก่าที่ใช้วิธีการในภาคผนวกนี้คำนวณหาขนาดช่องระบาย และรูปแบบการทำงานก็เป็นไปตามที่กล่าวไว้ในหัวข้อ A.1 ก็ไม่จำเป็นต้องทำการคำนวณหาขนาดใหม่ด้วยวิธีการในหัวข้อ 3.3.2
- ความเป็นไปได้ที่ความต้องการในการระบายความดันสุญญากาศในสถานการณ์จริงนั้นจะมีค่าสูงเกินกว่าค่าที่วิธีการในภาคผนวกนี้ให้ไว้ มีความเป็นไปได้ต่ำเนื่องจาก
- การทำงานตามปรกติของถังจะไม่ใช้งานจนไม่มีของเหลวเหลือในถัง ในกรณีเหล่านี้สมมุติฐานที่เผื่อไว้อย่างรอบคอบในวิธีการทั้งสองคือให้ถังนั้นเป็นถังเปล่า และเต็มไปด้วยอากาศก่อนที่จะเย็นตัวลง ในทางปฏิบัติถังเก็บในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมักจะมีของเหลวค้างอยู่ในถังที่ค่าต่ำสุดค่าหนึ่ง ของเหลวที่ค้างอยู่ในถังเป็นแหล่งให้ความร้อนเพื่อช่วยชดเชยการหดตัวของปริมาตรไอ ทำให้ลดความต้องการในการระบายความดันในระหว่างการเย็นตัวลง (ของเหลวเย็นตัวช้ากว่าไอ ถังที่มีของเหลวอยู่ เมื่อไอเย็นตัวลงของเหลวที่ค้างอยู่ในถังก็จะระเหยขึ้นมาขดเชยได้บางส่วน ทำให้ความดันในถังไม่ลดลงเร็วเหมือนกรณีถังเปล่าที่ไม่มีของเหลวค้างอยู่)
- ความต้องการในการระบายทั้งหมดรวมเอาการมีอัตราการเคลื่อนตัวของของเหลวเข้าออกถังสูงสุด (ซึ่ง
อาจเป็นสิ่งที่มีนัยสำคัญสำหรับถังเก็บที่ใช้ในงานปิโตรเคมี) และสิ่งเหล่านี้มักจะไม่เกิดในเวลาเดียวกัน
กับการเกิดเหตุการณ์เย็นตัวลงเร็วสูงสุด
- ความเป็นไปได้ที่ถังที่มีวาล์วระบายความดัน/สุญญากาศ ที่กำหนดขนาดด้วยวิธีการที่ให้ไว้ในภาคผนวกนี้ จะเกิดความเสียหายเนื่องจากความสามารถในการระบายความดันสุญญากาศนั้นไม่เพียงพอ มีค่าต่ำเนื่องด้วยเหตุผลต่อไปนี้
- ความสามารถในการรับความดันสุญญากาศที่แท้จริงของถังเก็บ อาจมีค่าสูงกว่าค่าที่ระบุไว้บนตัวถัง อันเนื่องจากการสร้างถัง
- ความสามารถในการรับความดันสุญญากาศของถังอาจสูงขึ้นเนื่องจากผลของการเกิดความแข็งแกร่งขึ้นจากของเหลวที่บรรจุอยู่ในถัง (คือถังเปล่าจะรับแรงกดได้น้อยกว่าถังที่มีของเหลวบรรจุ)
- สำหรับถังที่มีค่าความดันออกแบบที่ต่ำ ขนาดของวาล์วระบายความดัน/สุญญากาศจะถูกควบคุมด้วยความต้องการในการระบายความดันออก ซึ่งส่งผลให้วาล์วระบายความดันสุญญากาศมีขนาดเท่ากัน(เนื่องจากตัววาล์วที่ใช้ระบายความดันเกินหรือสุญญากาศมักจะรวมอยู่ด้วยกัน)
สำหรับตอนที่ ๑๗ ก็ขอจบเพียงแค่นี้ก่อน