"ในการออกแบบกระบวนการผลิตนั้น
จะมองเห็นเฉพาะปฏิกิริยาที่ต้องการนั้นไม่ได้
ต้องมองให้เห็นปฏิกิริยาข้างเคียงและปฏิกิริยาที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นของสารแต่ละตัว
ระหว่างสารที่ผสมกันอยู่
และระหว่างสารกับพื้นผิวที่มันสัมผัส
เพราะถ้าเราละมันไว้ในการออกแบบ
มันอาจก่อปัญหาในการผลิตจริงได้"
ข้อความในย่อหน้าข้างบนเป็นข้อความที่ผมมักบอกกับนิสิตที่เรียนเคมีอินทรีย์กับผม
เวลาที่เขาสงสัยว่าวิศวกรรมเคมีเรียนเคมีอินทรีย์ไปทำไม
ในเมื่อวิชาส่วนใหญ่ในหลักสูตรเป็นวิชาคำนวณที่เกี่ยวข้องกับการหาขนาดอุปกรณ์การผลิต
แถมยังมีอาจารย์จำนวนไม่น้อยชอบบอกว่าเรียนไปก็ไม่ค่อยได้ใช้
เวลามีคนมาถามด้วยคำถามทำนองนี้ผมก็จะบอกเขาไปว่า
ถ้าออกแบบด้วยการลอกกระบวนการที่มีอยู่แล้วของคนอื่น
มันก็คงไม่ค่อยได้ใช้
เพราะทำแค่ลอกในสิ่งที่เขาทำมา
แต่ถ้าต้องเริ่มต้นออกแบบกระบวนการใหม่จากศูนย์
มันตรงข้ามกัน
ดังเช่นเรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้
เป็นกรณีของปฏิกิริยาข้างเคียงที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิด
แต่ทำให้เกิดหายนะได้
เรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้นำมาจากบทความเรื่อง
"Explosion of
methanol distillation column of detergent manufacturing plant"
โดย Mitsuru
Arai และคณะ เผยแพร่ในเว็บ
Failure Knowledge
Databaese : 100 Selected Cases
(https://www.shippai.org/fkd/en/lisen/hyaku_lisen.html)
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่
๒๖ มิถุนายน ค.ศ.
๑๙๙๑ (พ.ศ.
๒๕๓๔)
ณ โรงงานผลิตสารซักฟอก
(detergent)
แห่งหนึ่ง
รูปที่ ๑
แผนผังกระบวนการผลิตของโรงงานที่เกิดเหตุ
โครงสร้างโมเลกุลของสารซักฟอกประกอบด้วยโครงสร้างที่มีขั้วที่ปลายข้างหนึ่ง
(ใช้สำหรับการละลายน้ำ)
และสายโซ่โมเลกุลที่เป็นส่วนไม่มีขั้ว
(ใช้สำหรับการละลายไขมันและโมเลกุลที่ไม่มีขั้ว)
สารซักฟอกสังเคราะห์หลักที่เราใช้กันนั้น
โครงสร้างส่วนที่มีขั้วอาจเป็นหมู่คาร์บอกซิเลต
(carboxylate R-COO-)
หรือซัลโฟเนต (sulphonate
R-SO2O-)
ข้อดึของหมู่ซัลโฟเนตเหนือหมู่คาร์บอกซิเลตคือ
หมู่ซัลโฟเนตไม่จับกับไอออนที่มีประจุ
2+ ที่อยู่ในน้ำ
(หลัก
ๆ ก็คือ Ca2+
หรือ Mg2+
ที่พบในน้ำกระด้าง)
ตกตะกอนออกมาดังเช่นที่เกิดกับหมู่คาร์บอกซิเลต
โครงสร้างโมเลกุลของส่วนที่ไม่มีขั้วนั้น
กลุ่มหนึ่งประกอบด้วยวงแหวนเบนซีนที่มีหางเป็นสายโซ่ไฮโดรคาร์บอน
เช่น Linear
Alkyl Benzene Sulphonate (LAS) หรือ Alkyl
Benzene Sulphonate (ABS) LAS
เป็นสารตัวหลักในกลุ่มนี้ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
ด้วยการที่มันย่อยสลายได้ง่ายกว่า
ABS แต่
LAS
ก็ยังมีข้อเสียคือประกอบด้วยโครงสร้างวงแหวนเบนซีนที่ย่อยสลายได้ยาก
มีเฉพาะส่วนสายโซ่ไฮโดรคาร์บอนโซ่ตรงเท่านั้นที่ย่อยสลายได้ง่าย
กลุ่มที่สองนั้นเป็นสายโซ่ไฮโดรคาร์บอนโซ่ตรง
สารกลุ่มนี้มีการใช้งานน้อยกว่า
(น่าจะเป็นด้วยเรื่องราคา)
แต่ก็มีข้อดีคือการที่มันไม่มีโครงสร้างวงแหวนเบนซีน
ทำให้การย่อยสลายนั้นเกิดได้สมบูรณ์กว่า
แหล่งที่มาสำคัญของสายโซ่ไฮโดรคาร์บอนโซ่ตรงคือกรดไขมันจากพืชและสัตว์
โดยจะอยู่ในรูปโครงสร้างสารประกอบเอสเทอร์กับกลีเซอรีน
(glycerine
หรือบางทีก็เรียกว่ากลีเซอรอล
glycerol)
ที่เรียกว่าไตรกลีเซอไรด์
(triglyceride)
การแยกสายโซ่นี้ออกมาทำได้ด้วยการใช้ปฏิกิริยาทรานเอสเทอริฟิเคชัน
(transesterification)
กับเมทานอล (methanol)
โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้คือเมทิลเอสเทอร์ของสารโซ่ไฮโดรคาร์บอน
และกลีเซอรีน
โรงงานที่เกิดเหตุนั้นเดิมสร้างเพื่อผลิต
ABS
แต่ต่อมาได้รับการปรับเปลี่ยนให้ผลิตโดยใช้ไขมันจากธรรมชาติ
โดยเริ่มเดินเครื่องการผลิตใหม่ในวันที่
๑๑ กุมภาพันธ์ ค.ศ.
๑๙๙๑ (พ.ศ.
๒๕๓๔)
ซึ่งก็คือปีที่เกิดเหตุ
กระบวนการผลิตใหม่ประกอบด้วยการนำวัตถุดิบคือเมทิลเอสเทอร์ของกรดไขมันมาทำปฏิกิริยากับกรดกำมะถัน
(รูปที่
๑) จะได้สารประกอบ
alkyl sulphonic acid
และเมทานอลที่แยกออกมา
จากนั้นจะทำการเติมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
(H2O2)
เข้มข้น 35%
เพื่อทำการฟอกสีผลิตภัณฑ์
(ขั้นตอน
bleaching)
ขั้นตอนต่อไปคือทำการสะเทินกรดที่เหลืออยู่ด้วยเบส
(ขั้นตอน
neutralization)
ก่อนที่จะถูกส่งต่อไปยังขั้นตอนการทำให้เข้มข้นและแยกผลิตภัณฑ์เพื่อแยกผลิตภัณฑ์และสารผสม
น้ำ+เมทานอล
และส่งสารผสมดังกล่าวไปทำการกลั่นแยกน้ำและเมทานอลออกจากกัน
จุดเด่นของกระบวนการนี้คือการใช้เมทานอลร่วมกับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในการฟอกสีผลิตภัณฑ์
ซึ่งทางบริษัทถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ของทางบริษัท
นับตั้งแต่ปลายปีค.ศ.
๑๙๙๐ (พ.ศ.
๒๕๓๓)
ทางโรงงานได้มีการทดสอบการทำงานของหอกลั่น
และเมื่อเริ่มเดินเครื่องการผลิตในต้นปีค.ศ.
๑๙๙๑
ก็ได้มีการเดินเครื่องเพื่อผลิตและหยุดเดินเครื่องรวมทั้งสิ้น
๖ ครั้ง
โดยถือว่าเป็นการฝึกพนักงานและทำการปรับค่าปริมาณสารในระบบ
และในระหว่างการเดินเครื่องผลิตแต่ละทางโรงงานก็ได้มีการหยุดเดินเครื่องหลายครั้ง
โดยปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความเข้มข้นของสารในกระบวนการ
การเริ่มเดินเครื่องการผลิตครั้งที่แปด
เริ่มในเวลา ๒๑.๓๕
น ของวันที่ ๑๙ มิถุนายน
ในขณะนั้นหอกลั่นแยกเมทานอลทำงานในสภาวะ
"total reflux"
(คือไม่มีการดึงของเหลวที่ควบแน่นที่ยอดหอออกจากระบบ
แต่ป้อนกลับเข้าหอกลั่นทั้งหมด)
และเริ่มเดินเครื่องหน่วย
sulfonation process
และเมื่อเวลาประมาณ
๒.๓๐
น ของวันที่ ๒๐ มิถุนายน
ก็เริ่มมีการป้อนสารจาก
sulfonation process
เข้าสู่หอกลั่นแยกเมทานอล
เวลาประมาณ
๑.๒๐
น ของวันที่ ๒๖
มิถุนายนพบว่าตัววัดพีเอขของหน่วย
neutralization
process ไม่ทำงาน
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการทำงานของระบบควบคุมอัตโนมัติก่อนหน้านั้นอิงอยู่บนค่าการวัดที่ผิดพลาด
ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่ออกจากหน่วย
neutralization
process นั้นมีค่าพีเอชในช่วงกรด
(แสดงว่าก่อนหน้านั้นมีการป้อนสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์นั้นน้อยเกินไป)
จึงได้ทำการปรับการควบคุมเป็น
manual
และทำการเติมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และโซเดียมไฮดรอกไซด์ตามค่าพีเอชที่วัดได้
ทางโรงงานเริ่มดำเนินกระบวนการหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมอุปกรณ์วัดค่าพีเอช
และเมื่อถึงเวลา ๙.๑๕
น หอกลั่นแยกเมทานอลก็ทำงานในภาวะ
"total reflux"
อีกครั้ง
เวลา
๑๐.๑๕
น เกิดการระเบิดที่ส่วนบนของหอกลั่นแยกเมทานอล
แรงระเบิดทำให้หอกลั่นได้รับความเสียหายตามด้วยเพลิงไหมติดตามมา
แรงระเบิดมีค่าประมาณเทียบเท่าระเบิด
TNT 10-50 กิโลกรัม
สะเกิดที่ปลิวออกไปทำให้มีผู้เสียขีวิต
๒ รายและบาดเจ็บ ๑๓ ราย
รูปที่ ๒
รูปซ้ายแสดงตำแหน่งของหอกลั่นที่เกิดการระเบิด
รูปขวาเป็นภาพถ่ายหอกลั่นหลังการระเบิด
การสอบสวนพบว่าสาเหตุของการระเบิดเกิดจากการสะสมของเมทิลไฮโดรเปอร์ออกไซด์
(H3C-O-O-H
methyl hydroperoxide) บริเวณตำแหน่ง
tray ที่
26 ในปริมาณมาก
และเมื่อสารนี้สลายตัวอย่างรวดเร็วทำให้เกิดการคายความร้อนปริมาณมากในเวลาอันสั้น
ส่งผลให้ของเหลวในบริเวณดังกล่าวกลายเป็นไอในปริมาณมากในเวลาอันสั้น
ความดันในหอกลั่นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้หอกลั่นระเบิด
ว่าแต่เมทิลไฮโดรเปอร์ออกไซด์มาจากไหน
เมทานอลสามารถทำปฏิกิริยากับกรดกำมะถัน
(ปฏิกิริยา
esterification)
ได้สารประกอบไดเมทิลซัลเฟต
(dimethyl sulphate)
เป็นผลิตภัณฑ์ดังสมการ
2H3C-OH
+ H2SO4 -----> H3C-O-S(O)2-O-CH3
ไดเมทิลซัลเฟตสามารถทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์โดยมีเบสร่วม
(ดูตัวอย่างวิธีการเตรียมในรูปที่
๓)
จะได้เมทิลไฮโดรเปอร์ออกไซด์และไดเมทิลเปอร์ออกไซด์
(dimethyl peroxide
H3C-O-O-CH3 ) ที่เป็นผลิตภัณฑ์ข้างเคียง
รูปที่ ๓
วิธีการเตรียมเมทิลไฮโดรเปอร์ออกไซด์
ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
(รวมทั้งเมทิลไฮโดรเปอร์ออกไซด์)
เป็นสารที่ไม่เสถียร
แต่ในช่วงพีเอชที่เป็นกรดนั้นจะมีเสถียรภาพสูงขึ้น
(ดูหมายเหตุเพิ่มเติมข้างล่าง)
ในขณะที่ในช่วงพีเอขที่เป็นเบสนั้นจะเร่งการสลายตัว
การป้อนสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์น้อยเกินไป
(ผลจากอุปกรณ์วัดค่าพีเอชไม่ทำงาน)
ทำให้เปอร์ออกไซด์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ถูกทำลายในขั้นตอน
neutralization
แต่ระเหยกลายเป็นไอปนไปกับน้ำและเมทานอลที่ป้อนเข้าสู่หอกลั่นแยกเมทานอล
การที่ค่าพีเอชในขั้นตอน
neutralization
อยู่ในช่วงที่เป็นกรดนานต่อเนื่องกันหลายวัน
จึงทำให้เกิดเมทิลไฮโดรเปอร์ออกไซด์ในปริมาณที่มากขึ้น
และเมื่อหอกลั่นเดินเครื่องในสภาวะ
total reflux
จึงไม่มีการดึงเอาเมทิลไฮโดรเปอร์ออกไซด์ออกจากหอกลั่น
ผลการทำ simulation
สารผสม
น้ำ-เมทานอล-เมทิลไฮโดรเปอร์ออกไซด์แสดงให้เห็นว่าการสะสมจเกิดมากที่สุดที่บริเวณ
tray ที่
26 ที่เกิดการระเบิด
(หมายเหตุเพิ่มเติม
:
จากประสบการณ์ที่เคยทำการทดลองกับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
กรดที่แตกตัวให้ H+
เช่น H2SO4
และ H3PO4
ช่วยลดการสลายตัวของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
แต่ถ้าเป็น HCl
จะเร่งการสลายตัว
(ปัญหาอยู่ที่
Cl-)
ไอออนบวกที่มีความป็นกรดสิวอิสที่แรงพอ
ก็จะเร่งการสลายตัวของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เช่นกัน
ดังนั้น "ห้าม"
จำว่าสภาวะที่ค่าพีเอชเป็นกรดนั้น
จะเพิ่มเสถียรภาพของเปอร์ออกไซด์เสมอ)