ก่อนที่จะอ่านบทความชุดนี้ซึ่งก็เป็นตอนสุดท้ายแล้วก็อยากจะฝากข้อคิดเอาไว้หน่อยว่า
"การจะเลือกใช้กระบวนการผลิตรูปแบบใดนั้นมันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
ไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว
ในฐานะผู้ตัดสินใจเลือกใช้จึงจำเป็นต้องนำเอาปัจจัยหลาย
ๆ ด้านมาพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียและน้ำหนักความสำคัญ
ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ
เงินลงทุนในส่วนของอุปกรณ์
ค่าใช้จ่ายในการเดินเครื่อง
(ซึ่งครอบคลุมไปถึง
ความปลอดภัยในการทำงาน
การจัดการของเสียและสิ่งแวดล้อม)
ความมั่นคงของวัตถุดิบ
ตลาด ข้อจำกัดทางด้านกฎหมาย
ฯลฯ"
แม้ว่าเอกสารที่ใช้เป็นต้นฉบับในการเขียนบทความนี้จะมีอายุนับได้ก็ร่วม
๓๐ ปีแล้ว
แต่ความต้องการพื้นฐานที่ทำให้ยังต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้อยู่ก็ยังคงเหมือนเดิม
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า
(เช่นรูปแบบการให้ความร้อนที่เหมาะสมที่สุด
และการนำเอาความร้อนกลับ)
การหาจุดที่เหมาะสมสำหรับการเดินเครื่อง
(เช่นในกรณีของ
pyrolysis
heater ที่ใช้ในการผลิตโอเลฟินส์)
การหารูปแบบโครงสร้างที่จะช่วยยืดอายุการทำงานให้นานขึ้น
เป็นต้น
ดังนั้นจึงคิดว่าบทความชุดนี้น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับผู้ที่เริ่มทำความรู้จัก
Fired
process heater
รูปที่
๑๘
แสดงตัวอย่างหนึ่งของการดึงกลับพลังงานความร้อนจากแก๊สร้อนก่อนปล่อยทิ้งออกสู่บรรยากาศของ
pyrolysis
heater (ใช้สำหรับการทำให้โมเลกุลใหญ่แตกออกเป็นโมเลกุลเล็กลง)
ท่อส่วนที่ร้อนที่สุดอยู่ใน
radiation
zone ที่รับความร้อนจากการแผ่รังสีเป็นหลัก
ส่วนแก๊สร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงนั้นจะถ่ายเทความร้อนในกับของไหลใน
convection
zone ที่อยู่ทางด้านบน
รูปแบบที่นำมาแสดงนี้เริ่มจาก
(จากบนลงล่าง)
การนำเอาสารตั้งต้นที่อุณหภูมิมาอุ่นให้ร้อนด้วยแก๊สร้อนทางด้านปากปล่อง
(stack)
สลับกับการนำเอาน้ำสำหรับป้อนหม้อไอน้ำเพื่อผลิตไอน้ำ
(boiler
feed water - BFW) มาอุ่นให้ร้อนก่อนนำไปต้มให้เดือด
จากนั้นนำสารตั้งต้นที่ผ่านการอุ่นให้ร้อนแล้วระดับหนึ่งมาผสมกับไอน้ำ
(DIL.
STEAM)
เพื่อเพิ่มอุณหภูมิและลดความดันย่อยของสารตั้งต้นเพื่อให้ปฏิกิริยาดำเนินไปข้างหน้าได้ดีขึ้น
(เดี๋ยวจะกล่าวถึงเรื่องนี้โดยละเอียดอีกที)
ก่อนที่จะส่งกลับไปรับความร้อนใหม่
รูปที่ ๑๘ ตัวอย่างรูปแบบการนำกลับพลังงานความร้อนของ pyrolysis heater
รูปที่ ๑๘ ตัวอย่างรูปแบบการนำกลับพลังงานความร้อนของ pyrolysis heater
บางส่วนของไอน้ำอิ่มตัว
(saturated
steam) ที่ผลิตที่
steam
drum ถึงดึงมารับความร้อนเพิ่มเพื่อให้กลายเป็นไอน้ำร้อนยิ่งยวด
(superheated
steam - SHP) เพื่อนำไปใช้งานต่าง
ๆ
เช่นขับเคลื่อนกังหันไอน้ำหรือส่งไปยังหน่วยอื่นที่อยู่ห่างออกไปเพื่อนำไปผลิตเป็น
saturated
steam
ส่วนสารตั้งต้นที่ผสมกับไอน้ำเรียบร้อยแล้วก็จะมารับความร้อนต่อที่ส่วนล่างสุดของ
convection
zone ก่อนที่จะไหลลงสู่
radiation
zone เพื่อเกิดปฏิกิริยาต่อไป
ในการผลิตโอเลฟินส์เช่นเอทิลีน
(Ethylene
C2H4) หรือโพรพิลีน
(Propylene
C3H6)
นั้นจะนำเอาไฮโดรคาร์บอนโมเลกุลใหญ่มาให้ความร้อนจนโมเลกุลสารตั้งต้นแตกออกเป็นโมเลกุลที่เล็กลงโดยมีการเกิดแก๊สไฮโดรเจน
(H2)
ร่วมด้วย
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือจำนวนโมลของผลิตภัณฑ์จะมากกว่าจำนวนโมลของสารตั้งต้น
ดังนั้นเพื่อที่จะให้การแตกตัวดำเนินไปข้างหน้าได้ดีขึ้น
จึงควรทำให้ความดันย่อยของสารตั้งต้นมีค่าต่ำ
นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่มีการผสมไอน้ำเข้าไปในสายป้อนก่อนเกิดปฏิกิริยา
(ปฏิกิริยาเกิดในท่อที่อยู่ใน
radiation
zone)
นอกจากนี้ยิ่งใช้อุณหภูมิสูงมากเท่าใดและให้ความร้อนนานเท่าใด
โมเลกุลก็จะเกิดการแตกตัวมากขึ้น
แต่ก็ต้องระวังไม่ให้เกิดการแตกตัวมากจนเกินไป
เพราะจะทำให้สูญเสียผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ
(เอทิลีนและ/หรือโพรพิลีน)
ไปเป็นโมเลกุลที่เล็กลงไปอีกเช่นมีเทน
(CH4)
หรือกลายเป็นสารประกอบคาร์บอนของแข็งที่เรียกว่า
coke
สะสมในระบบท่อ
ดังนั้นในการออกแบบ pyrolysis
heater
จึงจำเป็นที่ต้องหาจุดสมดุลระหว่างปริมาณสารตั้งต้นที่ทำปฏิกิริยาไป
(ที่ทางวิศวกรรมเคมีเรียกว่าค่า
conversion)
และปริมาณผลิตภัณฑ์ที่ต้องการที่ได้
(ที่ทางวิศวกรรมเคมีเรียกว่าค่า
yield)
รูปที่
๑๙
เป็นตัวอย่างแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิและผลิตภัณฑ์ที่เกิดเมื่อใช้อีเทน
(Ethane
C2H6) เป็นสารตั้งต้นในการผลิตเอทิลีน
(โรงงานผลิตเอทิลีนโรงงานแรกของประเทศไทยใช้อีเทนเป็นสารตั้งต้น)
จะเห็นว่าถ้าใช้อุณหภูมิต่ำเกินไป
(ในรูปที่แสดงคือต่ำกว่าประมาณ
650ºC)
ปฏิกิริยาจะไม่เกิด
แต่เมื่อเพิ่มอุณหภูมิสูงมากขึ้น
อีเทนจะเกิดปฏิกิริยามากขึ้นและเกิดเอทิลีนเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
แต่ถ้าเพิ่มอุณหภูมิสูงมากเกินไป
อีเทนก็ยังคงเกิดปฏิกิริยามากขึ้น
แต่ปริมาณเอทิลีนที่ได้ไม่ได้เพิ่มมากตามไปด้วย
ทั้งนี้เป็นเพราะเอทิลีนที่เกิดขึ้นนั้นเกิดการสลายตัวไปเป็นโมเลกุลอื่น
(หรือมีการรวมตัวเป็นโมเลกุลที่ใหญ่ขึ้น)
อนึ่งเส้นกราฟความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิและผลิตภัณฑ์นี้เปลี่ยนแปลงไปได้
ขึ้นอยู่กับว่าใช้เวลานานเท่าใดในการทำปฏิกิริยา
รูปที่ ๑๙ อุณหภูมิและผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการ Thermal cracking ของอีเทน
รูปที่ ๑๙ อุณหภูมิและผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการ Thermal cracking ของอีเทน
ในการกำหนดอุณหภูมิการทำปฏิกิริยาที่เหมาะสมนั้นต้องพิจารณาปัจจัยที่เหมาะสมหลายอย่าง
เช่น
(ก)
ปริมาณสารตั้งต้นที่ทำปฏิกิริยาไปและผลิตภัณฑ์ที่ได้
ถ้าเลือกให้สารตั้งต้นเกิดปฏิกิริยาไม่มาก
ก็จะเกิดผลิตภัณฑ์ขึ้นน้อย
แต่ก็จะมีการสูญเสียสารตั้งต้นและ/หรือผลิตภัณฑ์น้อยเช่นกัน
แต่ถ้าใช้อุณหภูมิในการทำปฏิกิริยาสูง
ก็จะได้ผลิตภัณฑ์เพิ่มมากขึ้น
(ไปได้จนถึงระดับหนึ่ง)
แต่ปริมาณสารตั้งต้นที่จะนำเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้ก็จะลดลง
(ข)
ค่าใช้จ่ายในการแยกสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ออกจากกัน
ซึ่งปรกติก็ทำกันด้วยการกลั่นแยก
(ค)
ค่าใช้จ่ายในการนำสารตั้งต้นกลับมาทำปฏิกิริยาใหม่มากขึ้น
(ขนาดคอมเพรสเซอร์ที่ใช้ในการนำกลับ)
(ง)
การนำเอาพลังงานความร้อนไปใช้งาน
(เช่นเพื่อการผลิตไอน้ำ)
ว่าสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากเพียงใด
(ในบางกรณีนั้นอาจนำเอาไอน้ำร้อนยิ่งยวดที่ผลิตได้ไปขับเคลื่อนกังหันไอน้ำที่ใช้ขับเคลื่อนคอมเพรสเซอร์อัดแก๊สของโรงงาน
ทำให้สามารถประหยัดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้)
รูปที่
๒๐-๒๒
เป็นตัวอย่างการออกแบบ
pyrolysis
coil ในส่วน
radiation
zone ของบริษัท
Lummus
เริ่มจากรูปที่
๒๐ ที่เป็นการออกแบบในยุคแรกสำหรับปฏิกิริยา
naphtha
cracking (แนฟทา
-
naphtha คือไฮโดรคาร์บอนในช่วงน้ำมันแก๊สโซลีนและน้ำมันก๊าด)
สารตั้งต้นนั้นจะแยกถูกป้อนเข้า
pyrolysis
coil แต่ละท่อและไปรวมกันที่ทางออกใหม่อีกครั้ง
ตัว pyrolysis
coil
แต่ละท่อนั้นจากทางเข้าไปจนถึงทางออกจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ขึ้นเรื่อย
ๆ เพราะการเกิดปฏิกิริยาทำให้จำนวนโมลของผลิตภัณฑ์เพิ่มมากขึ้น
อัตราการไหลโดยปริมาตรจึงเพิ่มตามไปด้วย
เลยต้องมีการเพิ่มพื้นที่หน้าตัดการไหลเพื่อไม่ให้เกิดความดันลดมากเกินไป
และท่อที่ใหญ่ขึ้นยังมีค่า
"พื้นที่ผิวต่อหน่วยปริมาตร"
ลดต่ำลง
ซึ่งช่วยลดการถ่ายเทความร้อนให้กับผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น
เป็นการลดการสลายตัวของผลิตภัณฑ์
(over
cracking) ด้วย
รูปที่ ๒๐ Pyrolysis coil ในยุคแรก จากทางเข้าถึงทางออกเป็นท่อเดี่ยวที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ขึ้นตามระยะทาง ทั้งนี้เป็นเพราะเมื่อเกิดปฏิกิริยาจะทำให้อัตราการไหลโดยปริมาตรเพิ่มสูงขึ้น
รูปที่ ๒๐ Pyrolysis coil ในยุคแรก จากทางเข้าถึงทางออกเป็นท่อเดี่ยวที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ขึ้นตามระยะทาง ทั้งนี้เป็นเพราะเมื่อเกิดปฏิกิริยาจะทำให้อัตราการไหลโดยปริมาตรเพิ่มสูงขึ้น
รูปที่
๒๑ และ ๒๒ เป็นตัวอย่างการพัฒนาในช่วงถัดมา
ในรูปที่ ๒๑ นั้นสารตั้งต้นจะไหลเข้าสู่
pyrolysis
coil ที่เริ่มต้นจากท่อขนาดเล็กจำนวน
๔ ท่อไหลจากบนลงล่าง (pass
ที่
1)
จากนั้นจะรวมกันเหลือเพียง
๒ ท่อและไหลจากล่างขึ้นบน
(pass
ที่
2)
จากนั้นจะรวมกันเหลือเพียงท่อเดียวและไหลลงมา
(pass
ที่
3)
ก่อนที่จะไหลวกกลับขึ้นไปใหม่
(pass
ที่
4)
ก่อนที่จะไปรวมกับผลิตภัณฑ์ที่มาจาก
pyrolysis
coil ชุดอื่นและไหลไปถ่ายเทความร้อนให้กับ
Transfer
line exchanger (TLE) เพื่อลดอุณหภูมิแก๊สเพื่อหยุดปฏิกิริยาการสลายตัว
รูปที่ ๒๒ ก็เป็นรูปแบบที่คล้ายกับรูปที่
๒๑ เพียงแต่ว่ามีเพียง 2
pass เท่านั้น
บทความในชุด
"ทำความรู้จัก
Fired
process heater" ก็คงต้องจบลงเพียงแค่นี้
(หมดเอกสารประกอบการเขียนแล้ว
สรุปรวมทั้งสิ้น ๔ ตอน ๒๖
หน้ากระดาษ A4)
แต่ก็หวังว่าคงจะให้ประโยชน์แก่ผู้ที่เข้ามาอ่านที่ยังไม่เคยรู้จัก
Fired
process heater มาก่อน
ไม่มากก็น้อย
รูปที่
๒๒ Pyrolysis
coil รูปแบบที่มีชื่อว่า
SRT-IV
ของบริษัท
Lummus
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น