"แล้ววิทยานิพนธ์มีการจำกัดการเข้าถึงด้วยหรือไม่"
ผมถามคำถามนี้กับทางวิทยากรของมหาวิทยาลัย
Tohoku
เมื่อวันพฤหัสบดีที่
๑ สิงหาคมที่ผ่านมา
ในส่วนการจำกัดการเข้าถึงความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูง
พอได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเขา
(ที่ต้องหันไปปรึกษาหารือกันอยู่สักพั)
ก็ทำให้รู้สึกว่าคำถามนี้เป็นประเด็นใหม่สำหรับเขา
หลังจากที่พวกเขาปรึกษากันเสร็จสิ้นแล้วตอบกลับมาว่า
"ไม่มีการจำกัด"
ทำให้ผมถามคำถามอีกคำถามตามมาคือ
"แล้วใครเป็นผู้ควบคุมว่าเนื้อหาส่วนไหนที่ควรจะปรากฏในวิทยานิพนธ์"
คำตอบที่ได้รับก็คือ
"ขึ้นอยู่กับอาจารย์ที่ปรึกษา"
รูปที่
๑ กรณีนี้จะเรียกว่าเป็นกรณีสีเทาก็ได้
กล่าวคือมีนิสิตจากจีนแผ่นดินใหญ่
(ที่อยู่ในรายชื่อประเทศที่มีความเสี่ยง)
มาเรียนด้านการสื่อสารโทรคมนาคมที่มหาวิทยาลัย
Tohoku
การตรวจสอบตอนรับเข้าไม่พบว่าผู้สมัครมีความเกี่ยวข้องใด
ๆ
กับกิจกรรมทางทหารหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาวุธทำลายล้างสูง
แต่เมื่อเขาสำเร็จการศึกษาและกลับไปทำงาน
มีการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานที่แสดงให้เห็นชัดว่างานวิจัยของเขานั้นเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางทหาร
(ระบบป้องกันภัยทางอากาศและต่อต้านขีปนาวุธ)
นอกจากนี้หลังจากที่นิสิตผู้นี้เรียนจบไปแล้ว
ก็มีผู้สมัครจากจีนแผ่นดินใหญ่สมัครมาเรียนที่สาขาวิชาดังกล่าวมากขึ้น
ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถนำมาใช้ผลิตอาวุธทำลายล้างสูงและสินค้าต่าง
ๆ ที่ใช้ในภาคการผลิตทั่วไปและในชีวิตประจำวัน
ดังนั้นมาตรการการป้องกันจึงเน้นไปที่การควบคุมการส่งออก
โดยในแง่ของภาคการผลิตก็คือการควบคุมการส่งออกสินค้า
ในแง่ของภาคการศึกษาและวิจัยก็คือการควบคุมการเข้าถึงและถ่ายทอดองค์ความรู้
ประเทศไทยนั้นจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับประเทศญี่ปุ่น
เพราะสภาพของเราในขณะนี้อยู่ในฐานะผู้รับเทคโนโลยีเป็นหลัก
การวางมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถนำมาใช้ผลิตอาวุธทำลายล้างสูงและสินค้าต่าง
ๆ จึงควรที่จะเน้นไปที่การสร้างความมั่นใจให้เจ้าของเทคโนโลยีว่า
มีการวางมาตรการป้องกันไม่ให้มีการส่งต่อเทคโนโลยีขั้นสูงดังกล่าวไปยังผู้รับที่ไม่เหมาะสมหรือนำไปใช้ในทางที่ผิดวัตถุประสงค์หลัก
(คือมีมาตราการป้องกันไม่ให้ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน)
ซึ่งตรงนี้มันเกี่ยวข้องกันการที่ญี่ปุ่นจะเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงนี้ในประเทศไทย
การรับนักเรียน/นักวิจัยจากไทยเข้าเรียนต่อในสถาบันการศึกษาของญี่ปุ่น
และการลงนามการทำวิจัยร่วมระหว่างสถาบันของไทยกับญี่ปุ่นด้วย
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาคการศึกษาและวิจัยก็คือ
การสร้างความเชื่อมั่นดังกล่าวให้กับประเทศที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีว่า
งานวิจัยที่ประสงค์จะร่วมมือทำด้วยนั้น
หรืออุปกรณ์ที่ต้องการเข้าถึง
จะไม่มีการนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม
คำว่า "ไม่เหมาะสม"
ในที่นี้หมายความเพียงแค่ตัวอาจารย์หรือนักวิจัยจะไม่มีใช้การเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงนั้นไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม
แต่ยังครอบคลุมไปถึงการมีมาตรการป้องกันไม่ให้นิสิต/นักวิจัยต่างชาติ
ที่มาจากประเทศ/สถาบันที่มีความเสี่ยง
ที่เข้ามาทำเรียนหรือวิจัยอยู่ในสถาบัน
สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดังกล่าวด้วย
ตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้รับนิสิต/นักวิจัยต่างชาติเหล่านั้น
กล่าวคือยังสามารถรับเข้ามาทำวิจัยในสถาบันได้
แต่ต้องเป็นงานวิจัยเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูงนั้น
รูปที่
๒ บทคัดย่อผลงานที่วิทยากรนำมาแสดงในรูปที่
๑
ปัญหาของการตีความว่าการห้ามเข้าถึงของสถาบันการศึกษานั้นควรมีขอบเขตแค่ไหน
ซึ่งตรงประเด็นนี้ทางแต่ละสถาบันที่ได้ไปเยี่ยมชมมาก็มีไม่เหมือนกัน
(คงขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละสถาบัน)
ตัวอย่างเช่นกรณีหนึ่งที่วิทยากรได้ยกมาเป็นตัวอย่างคือ
การสอนการใช้งานอุปกรณ์การขึ้นรูปที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
(คือตัวอุปกรณ์การผลิตตัวนี้เป็นสินค้าควบคุม)
ในการขึ้นรูปชิ้นส่วนงานวิจัยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการผลิตอาวุธทำลายล้างสูง
ตรงประเด็นนี้มีการมองว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
เพราะเป็นการสอนเพียงแค่การใช้เครื่องมือ
ไม่สามารถนำเอาวิธีการใช้เครื่องมือนั้นไปสร้างอุปกรณ์นั้นได้
แต่ถ้าเป็นการเข้าถึงซอร์ฟแวร์คอมพิวเตอร์
(ที่มีความสามารถในการสร้างแบบจำลองบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอาวุธทำลายล้างสูง)
ที่ทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง
ก็น่าสนใจตรงที่
แม้ว่างานวิจัยที่นิสิต/นักวิจัยผู้นั้นทำวิจัย
จะไม่ใช่งานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอาวุธทำลายล้างสูง
แต่จะรู้ได้อย่างไรว่านิสิต/นักวิจัยผู้นั้นได้ซ่อนคำสั่งการคำนวณที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอาวุธทำลายล้างสูงไว้ข้างใน
คือให้คอมพิวเตอร์ทำงานสองงานไปพร้อม
ๆ กัน
โดยให้มหาวิทยาลัยเห็นเพียงแค่งานเดียวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาวุธทำลายล้างสูง
รูปที่
๓ บัญชีรายชื่อประเทศที่อยู่ในกลุ่มปลอดภัย
(White
list) กลุ่มเสี่ยง
(Non-white
list) และกลุ่มที่โดนห้ามการส่งออก
ที่ทางญี่ปุ่นจัดทำไว้
พึงสังเกตว่าไม่มีรายชื่อประเทศเกาหลีใต้ปรากฏ
แต่สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ก็คือทางญี่ปุ่นปลดเกาหลีใต้ออกจากรายชื่อใน
White
list และเกาหลีใต้ก็ตอบโต้แบบเดียวกัน
ประเทศญี่ปุ่นเองก็มีปัญหาเรื่องการควบคุมการส่งออกสินค้าที่ใช้ได้สองทางจากภาคมหาวิทยาลัย
เรียกว่าทางภาคอุตสาหกรรมนั้นเริ่มนำหน้าไปก่อนแล้วหลายปี
ทางภาคมหาวิทยาลัยถึงได้ค่อยตามหลังมา
สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะวัฒนธรรมการทำงานในมหาวิทยาลัยที่แตกต่างจากภาคอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าชิ้นหนึ่งนั้นอาจเกี่ยวข้องกับสินค้าที่ใช้ได้สองทางเพียงไม่กี่ชนิด
ในขณะที่มหาวิทยาลัยมีการทำวิจัยที่หลากหลายกว่า
(คืออาจมีทั้ง
เคมี นิวเคลียร์ และชีวภาพ
ในสถาบันเดียว)
และบ่อยครั้งที่การส่งออกนั้นไม่ได้อยู่ในรูปของสินค้า
แต่เป็นรูปขององค์ความรู้ที่อาจส่งออกในรูปของ
การติดต่อทางจดหมาย/อีเมล์
การเข้าร่วมประชุมวิชาการ
การตีพิมพ์บทความวิชาการ
การส่งตัวอย่าง เป็นต้น
คำถามที่ผมนำมาเกริ่นไว้ตอนต้นเรื่องนั้น
มันเริ่มมาจากกลไกการควบคุมที่มหาวิทยาลัยที่ได้ไปเยี่ยมชมนั้นได้จัดทำขึ้น
กล่าวคือในกรณีที่ทางอาจารย์ต้องการไปประชุมวิชาการต่างประเทศ
(หรือในประเทศ
ที่มีผู้เข้าร่วมประชุมจากประเทศต่าง
ๆ)
ซึ่งมักจะขอการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากทางมหาวิทยาลัย
ในกรณีเช่นนี้ทางมหาวิทยาลัยสามารถกำหนดให้อาจารย์ผู้นั้นต้องตรวจสอบว่างานที่จะนำไปนำเสนอนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าสองทางหรือไม่
และอาจขอสำเนาบทความที่จะไปนำเสนอมาตรวจสอบด้วยก็ได้
แต่วิธีการนี้ก็ไม่สามารถครอบคลุมไปยังการส่งบทความวิชาการไปตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ
เพราะมันเป็นการส่งไปรษณีย์ตรงไปยังบรรณาธิการวารสารฉบับนั้น
และไม่จำเป็นต้องขอทุนสนับสนุนใด
ๆ จากทางมหาวิทยาลัย
ในการนี้จึงต้องขึ้นอยู่กับตัวอาจารย์ผู้เขียนบทความเองว่าต้องทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบ
โดยอาจทำการตัดทอนรายละเอียดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูงออกไป
ประเด็นของคำถามที่ผมถามเขาก็คือ
บทความวิชาการนั้นมันไม่มีที่ให้ใส่รายละเอียดมาก
(เพราะมันมักถูกจำกัดจำนวนหน้าต่อเรื่อง)
แตกต่างจากวิทยานิพนธ์ที่จะใส่เท่าใดก็ได้
(จำนวนหน้าไม่ถูกจำกัด)
ในกรณีของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูงของสินค้าที่ใช้ได้สองทางนั้น
แม้ว่าทางมหาวิทยาลัยจะทำการคัดกรองผู้เรียน/ผู้ที่จะมาร่วมทำวิจัย
ไม่ให้ผู้ที่มาจากกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงเข้าทำวิจัยในงานที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีดังกล่าว
แต่รายละเอียดต่าง ๆ
ของงานวิจัยนั้นมันมีโอกาสไปปรากฏอยู่ในวิทยานิพนธ์ของผู้เรียน
(ที่อาจเป็นชาวญี่ปุ่นเอง)
หรือไม่
และถ้ามันมีโอกาสไปปรากฏอยู่ตรงนั้น
ทางมหาวิทยาลัยมีมาตรการใด
ๆ ในการควบคุมผู้ที่สามารถเข้าไปอ่านวิทยานิพนธ์เล่มนั้นหรือไม่
รูปที่
๔
สถาบันการศึกษาของประเทศที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงก็ใช่ว่าจะโดนเพ่งเล็งเอาไว้ทั้งหมด
มีการแยกประเภทเอาไว้เหมือนกัน
และถึงแม้ว่าจะเป็นสถาบันที่มีรายชื่อในกลุ่มเสี่ยง
ก็ยังมีการพิจารณาเป็นรายสาขาวิชา
ไม่ได้เหมารวมหมด
ในช่วงระหว่างวันอังคารที่
๓๐ กรกฎาคม-
วันเสาร์ที่
๓ สิงหาคม ๒๕๖๒
ผมได้มีโอกาสได้ร่วมคณะเดินทางกับกลุ่มคณาจารย์สาขาต่าง
ๆ และผู้แทนจากกรมการค้าต่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์
โดยทุนของสถานฑูตสหรัฐอเมริกา
ไปร่วม Capacity
Building Workshop and Study Tour ณ
ประเทศญี่ปุ่น โดยได้นำเรื่องต่าง
ๆ ที่ได้พบเห็นมามาเขียนเป็นบทความชุดนี้
(ซึ่งตอนนี้เป็นตอนที่
๘ แล้ว)
หลังจากที่กลับมาแล้วก็ได้ทำบันทึกสรุปความเห็นส่วนตัวในส่วนของปัญหาและแนวทางปฏิบัติในการทำให้ มหาวิทยาลัยของไทยตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้
และเนื่องจากบันทึกดังกล่าวไม่ได้เป็นความลับอะไร
จึงขอนำมาลงแนบท้าย Memoir
ฉบับนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มันสูญหายไป
ดังรายละเอียดในหน้าถัดไป
Capacity
Building Workshop and Study Tour
for
the Department of Foreign Trade (DFT) Thailand
Tokyo/Northern
Japan, 30 July - 3 August 2019
บันทึกประสบการณ์จากการเดินทางและข้อคิดเห็นเพื่อพิจารณา
โดย
รศ.ดร.ธราธร
มงคลศรี
ภาควิชาวิศวกรรมเคมี
คณะวิศวกรรมศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วัตถุประสงค์ข้อหนึ่งของการเดินทางในครั้งนี้คือการเก็บรวบรวมประสบการณ์ของมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น
๓ แห่งด้วยกันคือ Tsukuba
University, Tohoku University และ
Hokkaido
University
ในการดำเนินการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสินค้า
๒ ทาง (Duel
Used Items - DUI) ในรูปแบบต่าง
ๆ ตามบริบทการทำงานของสถาบันการศึกษา
เช่น
การให้นักศึกษา/นักวิจัยต่างชาติเข้ามาศึกษา/ทำวิจัยในสถาบัน,
การที่นักวิจัยของสถาบันไปร่วมทำงานวิจัยกับสถาบันต่างประเทศหรือสถาบันมีการลงนามสัญญาความร่วมมือในการทำวิจัยกับสถาบันต่างประเทศ,
การที่บุคลากรของสถาบันออกไปนำเสนอผลงานยังต่างประเทศ,
การติดต่อสื่อสารส่งผ่านข้อมูลงานวิจัย/ซอร์ฟแวร์กับบุคลากรของสถาบันต่างประเทศผ่านทางระบบอีเมล์
เป็นต้น
บันทึกฉบับนี้เป็นบันทึก
"ประสบการณ์การเดินทาง"
และ
"ข้อคิดเห็นที่ได้จากการเดินทางรวมกับประสบการณ์ส่วนตัวเมื่อมองจากมุมมองของผู้เขียนเพียงผู้เดียว"
เพื่อให้ทางคณะผู้ทำงานของกรมการค้าต่างประเทศนำไปประกอบกับบันทึกจากคณะผู้เดินทางผู้อื่น
เพื่อพิจารณาดำเนินการตามสมควรต่อไป
๑.
รูปแบบการทำงานของสังคมญี่ปุ่น
สังคมญี่ปุ่นจัดว่าเป็นสังคมที่มีระเบียบวินัยสูง
มีการฝึกให้แต่ละบุคคลต้องมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม
ดังนั้นกิจกรรมใด ๆ
ที่แม้ว่าจะทำให้การทำงานส่วนตัวนั้นมีความยุ่งยากมากขึ้น
แต่ถ้าเป็นการทำงานนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ผู้ปฏิบัติงานก็พร้อมที่จะปฏิบัติ
ดังนั้นรูปแบบการทำงานของประเทศญี่ปุ่นที่ให้บุคลากรมหาวิทยาลัยแต่ละคน
ทำการตรวจสอบตนเองก่อนว่างานที่กำลังจะทำนั้นเกี่ยวข้องกับสินค้า
๒ ทางหรือไม่
จากนั้นจึงค่อยดำเนินการแจ้งให้หน่วยงานกลางทราบ
จึงเป็นรูปแบบที่สามารถทำได้
และ รูปแบบการทำงานที่ทั้ง
๓
มหาวิทยาลัยของญี่ปุ่นนำเสนอให้คณะผู้เดินทางได้รับทราบต่างก็เป็นรูปแบบนี้
แต่รูปแบบการทำงานแบบนี้จะไม่เหมาะกับสังคมที่บุคคลส่วนใหญ่มองเห็นความสะดวกสบายส่วนตัวที่ต้องมาก่อน
หรือการใช้ข้ออ้างเรื่องเสรีภาพทางวิชาการ
ที่อาจจะมีอาจารย์จำนวนไม่น้อยไม่เห็นด้วยกับการควบคุมนี้
จะทำให้ไม่ได้รับความร่วมมือ
(ถ้าไม่มีการบังคับ)
หรือมีโอกาสสูงที่ผลการตรวจสอบนั้นจะออกมาเป็นไม่เกี่ยวข้อง
ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงนั้นเกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะในช่วงแรกของการทำงานที่มีโอกาสจะใช้ข้ออ้างว่าตรวจสอบแล้วไม่พบเนื่องด้วยความไม่รู้
(ดังที่ผู้บรรยายรายหนึ่งกล่าวว่า
ถ้าประเทศญี่ปุ่นมีการควบคุมที่เง้มงวดมากที่สุด
ประเทศสหรัฐอเมริกาก็มีการควบคุมที่หละหลวมมากที่สุด)
๒.
ความท้าทายในการทำให้มหาวิทยาลัยของไทยตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินการเรื่องนี้
ถ้าใช้รูปแบบการทำงานจะสามารถแบ่งมหาวิทยาลัยของไทยออกได้เป็น
๒ กลุ่มใหญ่คือ กลุ่มที่เน้นงานวิจัย
และ กลุ่มที่เน้นการเรียนการสอน
และถ้าใช้เกณฑ์พิจารณาจากสาขาที่แต่ละมหาวิทยาลัยเปิดการสอน
ก็ยังอาจจำแนกมหาวิทยาลัยออกได้เป็น
๓ กลุมคือ
กลุ่มที่เปิดการเรียนการสอนสายวิทยาศาสตร์เป็นหลัก,
กลุ่มที่เปิดการเรียนการสอนสายสังคมศาสตร์เป็นหลัก
และกลุ่มที่เปิดการเรียนการสอนในสายวิทยาศาสตร์และสายสังคมศาสตร์ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน
สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อการได้มาซึ่งตัวผู้บริหารมหาวิทยาลัย
และแนวความคิดในการกำหนดทิศทางการทำงานของมหาวิทยาลัย
ซึ่งเป็นไปได้ที่จะมีการมองความสำคัญของเรื่องนี้ว่า
เป็นเรื่องไกลตัวที่ไม่เกี่ยวข้อง,
เป็นเรื่องที่สร้างงานสร้างภาระเพิ่มมากขึ้นโดยไม่เห็นผลตอบแทนที่ชัดเจน
หรือเป็นเรื่องสำคัญที่ควรต้องดำเนินการ
และยังส่งผลต่อความต่อเนื่องของการทำงาน
เพราะเมื่อเปลี่ยนผู้บริหาร
นโยบายการทำงานก็มักจะเปลี่ยนไปด้วย
และการจะให้ทางมหาวิทยาลัยจัดให้มีหน่วยงานทำงานนี้เพิ่มเติม
ย่อมทำให้ทางมหาวิทยาลัยมองว่าต้องมีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่เพิ่มขึ้น
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดในเรื่องนี้ได้แก่
การตรวจประเมินคุณภาพสถาบันการศึกษาโดยหน่วยงานตรวจประเมินภายนอก
ที่จะส่งผู้ตรวจประเมินภายนอกมาทำการตรวจประเมิน
ที่การทำงานมีปัญหาทั้งจากภายในตัวมหาวิทยาลัยเองในการหาบุคลากรมาทำงานและการได้รับความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภายในสถาบันด้วยกัน
(โดยเฉพาะเรื่องการให้ข้อมูล)
และจากตัวผู้ตรวจประเมินและรูปแบบการทำงานของสถาบันที่ทำการตรวจประเมิน
ในส่วนของมหาวิทยาลัยที่เน้นไปที่งานวิจัยเป็นหลักนั้น
ในส่วนของอาจารย์ที่เป็นพนักงานมหาวิทยาลัยที่มีการว่าจ้างทำงานเป็นช่วงสั้น
ๆ นั้น (เช่น
๓-๕
ปีต่อการจ้าง ๑ ครั้ง)
การได้ต่อสัญญาการจ้าง,
การได้เลื่อนตำแหน่ง
และผลตอบแทนที่จะได้รับ
ขึ้นอยู่กับผลงานวิจัยหรือจำนวนบทความที่มีการตีพิมพ์เป็นหลัก
ดังนั้นการที่ต้องมาทำงานในส่วนที่ไม่ใช่งานวิจัย
จะทำให้เกิดการมองว่าเป็นภาระงานที่ไม่ช่วยเสริมความมั่นคงในหน้าที่การทำงาน
ดังนั้นการเข้ามารับผิดชอบงานด้านนี้จึงมีโอกาสสูงที่ยากจะหาผู้ทำงานหลัก
เว้นแต่ทางมหาวิทยาลัยจะให้ความมั่นใจในการต่อสัญญาจ้างงาน
ทางผู้บริหารและอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ถูกส่งตัวมารับฟังเรื่องนี้มักมีการเปลี่ยนคนอยู่เป็นประจำ
ข้อมูลขาดการส่งต่อ
ดังนั้นการจะให้ความรู้กับบุคลากรของมหาวิทยาล้ยแต่ละครั้งจึงจำเป็นต้องมีการเริ่มต้นปูพื้นกันใหม่
ว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
(เช่น
Australia Group (AG), Nuclear Suppliers Group (NSG), Missile Technology Control
Regime (MTCR), Wasseanaar Arrangement (WA) คืออะไรและสำคัญอย่างไร)
และผู้บรรยายควรต้องระมัดระวังเรื่องการใช้คำย่อ
(ไม่ว่าจะเป็นในเอกสารหรือคำพูดที่ใช้ในการบรรยาย)
เพราะจะทำให้ผู้ฟังที่เพิ่งจะเข้ามารับฟังนั้นไม่เข้าใจว่ากำลังพูดถึงอะไร
ปัญหาเรื่องผู้บรรยายใช้คำย่อจนติดปากแล้วส่งผลให้ผู้ฟังไม่เข้าใจเนื้อหานั้น
เป็นปัญหาที่พบเห็นได้ง่ายเป็นประจำ
เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลากหลายสาขาวิชา
และผู้เข้าฟังมีพื้นความรู้ที่หลากหลาย
ดังนั้นการยกตัวอย่างจึงควรที่จะพยายามให้ผู้ฟังที่มีความรู้ต่างกันได้เห็นความสำคัญ
เช่นตัวอย่างควรมีทั้งทางด้าน
วิศวกรรมศาสตร์ (เช่นวิศวกรรม
ไฟฟ้า,
สื่อสาร,
เคมี,
การวัดคุม,
การขึ้นรูปชิ้นงาน
ฯลฯ),
วิทยาศาสตร์
(จุลชีววิทยา,
คณิตศาสตร์,
คอมพิวเตอร์,
วัสดุศาสตร์
ฯลฯ),
การแพทย์
และเภสัชกรรม
สำหรับมหาวิทยาลัยที่เน้นเรื่องการสอนเป็นหลัก
หรือการเรียนการสอนส่วนใหญ่อยู่ในสาย
สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์
อาจมองไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องสนใจเรื่องนี้
การนำเสนอภาพตรงจุดนี้จึงจำเป็นต้องให้ทั้งระดับผู้บริหารมหาวิทยาลัย
(ที่อาจเป็นอาจารย์ทางด้านสายสังคมศาสตร์หรือสายวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้ทำวิจัยมาเป็นเวลานานแล้ว
ที่อาจคำนึงถึงการจัดอันดับมหาวิทยาลัยเป็นหลัก)
และอาจารย์ในสายวิทยาศาสตร์
(กายภาพ/ชีวภาพ)
และวิศวกรรมศาสตร์
ที่เกี่ยวข้อง
ให้เขาเหล่านั้นเข้าใจว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
สำคัญอย่างไร
และสามารถส่งผลกระทบต่องานวิจัยได้อย่างไร
ดังนั้นจึงอาจต้องมีวิธีการที่เหมาะสมสำหรับแต่ละมหาวิทยาลัย
เพื่อให้ทั้งผู้บริหารและอาจารย์ของมหาวิทยาลัยตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้
เช่นอาจเริ่มด้วยการทำการประชาสัมพันธ์
(เช่นทางสื่อออนไลน์)
เพื่อให้ได้ยินคำว่า
"สินค้า
๒ ทาง"
ทำนองว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวที่คุณอาจไม่รู้
และส่งผลกระทบต่อการทำงานโดยที่ไม่รู้ตัว
เช่นการไม่ได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจัยต่างชาติ
ที่เห็นว่ามหาวิทยาลัยทางฝั่งไทยไม่มีมาตรการรองรับ
หรือการที่สั่งสินค้าที่เข้าข่าย
แต่ผู้ประมูลได้ไม่สามารถนำส่งสินค้าได้
หรือต้องใช้เวลานานในการตรวจสอบประวัติของผู้รับสินค้าไปใช้โดยหน่วยงานของประเทศต้นทาง
จากนั้นจึงค่อยจัดการบรรยาย
๓.
ตัวอย่างการปูพื้นฐานแนวทางการให้ความรู้เรื่องสินค้า
๒ ทาง
มีการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในการผลิตสินค้าในภาคอุตสาหกรรม
(ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาวุธและการทหาร)
อุปกรณ์วัดคุมในห้องวิจัยทั่วไป
รวมทั้งเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันในครัวเรือน
ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีขั้นสูงเหล่านี้ก็สามารถนำไปใช้ในการผลิตอาวุธทำลายล้างสูงได้
คำ
"เทคโนโลยีขั้นสูง"
ที่จะกล่าวต่อไปนี้หมายถึง
วัสดุ/อุปกรณ์/เครื่องจักร/สารเคมี/สารออกฤทธิ์จากพืช/เชื้อจุลภาค
ที่ปรากฏอยู่ใน EU
list
การให้คำจำกัดความสินค้า
๒ ทาง (Dual
Used Item - DUI)
ต้องทำให้ผู้ฟังเห็นภาพที่ชัดเจนว่าเป็นสิ่งที่ใช้ได้ทั้งการผลิตสินค้าเชิงพาณิชย์ทั่วไป
และสามารถนำใช้ในการผลิตอาวุธทำลายล้างสูง
(นิวเคลียร์
เคมี ชีวภาพ)
โดยเป็นส่วนที่ไม่ได้อยู่ใน
การควบคุมของทางทหาร ไม่ได้เป็น
สารเคมีทางการเกษตร,
อาหาร
หรือยา
โดยความหมายของ
"การผลิต"
ตรงนี้ควบคุมไปถึง
"งานวิจัย"
ด้วย
เทคโนโลยีขั้นสูงเหล่านี้มีทั้งสิ่งที่จับต้องได้
(tangible)
และสิ่งที่จับต้องไม่ได้
(intangible)
ตัวอย่างของเทคโนโลยีขึ้นสูงที่เป็นสิ่งที่จับต้องได้ได้แก่
วัสดุต่าง ๆ เช่น โลหะ โลหะผสม
เซรามิก พอลิเมอร์ (พวกความแข็งแรงสูง
ทนการกัดกร่อน ทนอุณหภูมิ
ฯลฯ),
อุปกรณ์/เครื่องจักรขนาดใหญ่
(ที่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิต
ที่สามารถขึ้นรูปชิ้นงานขนาดใหญ่หรือมีความแม่นยำความเที่ยงตรงสูง),
อุปกรณ์/เครื่องจักรขนาดเล็ก
(ที่เกี่ยวข้องกับการวัด
การควบคุม การผลิต/งานวิจัยในระดับห้องปฏิบัติการ),
สารเคมี
สารพิษจากพืช/สัตว์
เชื้อจุลชีพ
ตัวอย่างของเทคโนโลยีขั้นสูงที่เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้
(intangible)
ได้แก่
องค์ความรู้และซอร์ฟแวร์
(เช่น
เทคนิคในการผลิต
ซอร์ฟแวร์จำลองกระบวนการต่าง
ๆ ซอร์ฟแวร์การเข้ารหัส)
โดยเทคโนโลยีขั้นสูงเหล่านี้มีการพิจารณาแยกเป็นกลุ่ม
ๆ (AG,
NSG, MTCR) ก่อนจะมีการนำมารวมกันและจัดทำเป็น
EU
List ที่มีการจัดกลุ่มเป็นหมวดหมู่ใหม่
ซึ่งเอาสิ่งที่มีซ้ำกันในกลุ่มที่มีการพิจารณาแยกกันนั้น
มาจัดรวมให้อยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน
(เช่นเอาสิ่งที่เป็นวัสดุที่ยังไม่นำไปขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใช้งานได้
มารวมอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน
ทำให้หมวดหมู่วัสดุมีได้ทั้ง
วัสดุสำหรับงานนิวเคลียร์
งานเคมีทนการกัดกร่อนสูง
งานโครงสร้างที่ต้องการความแข็งแรงสูง)
โดยประเทศผู้จัดทำรายการเป็นชาติมหาอำนาจทางตะวันตก
หรือเป็นพันธมิตรกับชาติมหาอำนาจทางตะวันตกเป็นหลัก
สำหรับประเทศที่ครอบครองเทคโนโลยีขั้นสูงเหล่านี้
ในฐานะผู้ส่งออกเทคโนโลยี
สิ่งที่เขาต้องการก็คือ
ต้องการความมั่นใจว่าผู้รับนั้นจะไม่นำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม
หรือส่งต่อให้กับผู้อื่นที่อาจนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม
หมายเหตุ
:
สิ่งที่เป็นความรู้
ซอร์ฟแวร์ ข้อมูลต่าง ๆ
สามารถส่งออกได้ในรูปแบบ
การสอนหนังสือ การส่งทางอีเมล์
การประชุมวิชาการ
หรือการตีพิมพ์เผยแพร่
การควบคุมการส่งออกของประเทศญี่ปุ่นไปยังเกาหลีใต้
ที่เป็นปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศในขณะนี้
ก็เกิดจากการที่ญี่ปุ่นใช้กฎหมายนี้ระบุให้เกาหลีใต้เป็นประเทศที่ต้องเฝ้าจับตา
สำหรับประเทศที่ในขณะนี้อยู่ในฐานะผู้รับ
เพื่อที่จะทำให้ผู้ส่งออกนั้นส่งมอบเทคโนโลยีขั้นสูงได้ง่ายขึ้น
จึงจำเป็นต้องมีมาตรการและการปฏิบัติที่จริงจัง
เพื่อทำให้ผู้ส่งมอบมั่นใจว่าจะไม่นำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมหรือส่งต่อให้กับผู้อื่นที่อาจนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม
มีการควบคุมการใช้งานสินค้าที่ได้รับมาไม่ให้ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
รวมทั้งการป้องกันไม่ให้มีการส่งต่อ
(ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสิ่งของหรือส่งออกข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์)
ดังนั้นการมีมาตรการป้องกันจะเป็นการช่วยให้เจ้าของเทคโนโลยีมั่นใจได้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้เป็นทางผ่านของการส่งออกสินค้า
๒ ทาง
โดยในประเทศไทยได้มีการออกกฎหมายควบคุมสินค้า
๒ ทาง และจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่
๑ มกราคม ๒๕๖๓ ที่จะถึงนี้กับภาคอุตสาหกรรม
เพื่อให้ต่างชาติที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีขั้นสูงมีความมั่นใจว่า
เขาสามารถมาลงทุนภาคการผลิต/ส่งออกอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
มายังประเทศไทยได้
โดยจะไม่มีการนำไปใช้ในทางที่ผิด
หรือส่งต่อไปยังผู้รับที่ไม่เหมาะสม
๔.
แนวทางการสร้างความเข้าใจเรื่องของการควบคุมเทคโนโลยีขั้นสูงที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัย
เรื่องนี้ไม่ครอบคลุมการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี
เพราะถือว่าเป็นองค์ความรู้ที่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะทั่วไปอยู่แล้ว
แต่เกี่ยวข้องกับการทำวิจัยในระดับปริญญาโท-เอก
ที่มีการทำวิทยานิพนธ์และมีการทำการทดลอง
โดยอาจารย์ในส่วนของไทยเองนั้นที่ต้องการการทำวิจัยร่วมสถาบันที่เป็นผู้ครอบครองเทคโนโลยีขั้นสูง
ก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ในแง่ของ
-
การนำเข้าเทคโนโลยีขั้นสูง
(อุปกรณ์/ซอร์ฟแวร์)
จากสถาบัน/ผู้ผลิตต่างประเทศ
-
การเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง
(อุปกรณ์/ซอร์ฟแวร์)
ในสถาบันต่างประเทศ
-
การสร้างความร่วมมือในการทำวิจัยที่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีขึ้นสูง
แม้ว่าปัจจุบันประเทศไทย/สถาบันการศึกษาในประเทศไทย
จะไม่ได้ปรากฏอยู่ในบัญชีรายชื่อเฝ้าระวัง
แต่ในอนาคตอันใกล้
มหาวิทยาลัยมีโอกาสที่จะได้รับความเสียหาย
หากไม่มีการออกมาตรการควบคุม
โดยผู้ที่สำเร็จการศึกษาจะไม่สามารถไปศึกษาต่อด้านที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในประเทศที่มีการควบคุมได้
และมีโอกาสที่จะทำให้ไม่สามารถทำงานวิจัยร่วมที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงกับประเทศที่มีการควบคุมได้
การมีมาตรการดังกล่าวจะช่วยให้ความมั่นใจกับสถาบันต่างชาติที่มีถึงเทคโนโลยีขั้นสูงในการทำวิจัยร่วมกับประเทศไทย
ว่าถ้ายอมให้ผู้เรียนจากประเทศไทยหรือบุคลากรจากมหาวิทยาลัยไทยเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง
ก็จะไม่มีการนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้ในทางที่ผิด
หรือส่งต่อ เช่นด้วยการสอนนิสิต
(ระดับโท-เอก)
การทำวิจัยร่วมกับนักวิจัย
ที่มาจากประเทศที่อยู่ในบัญชีรายชื่อต้องเฝ้าระวัง
ตัวอย่างที่ทางมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นนำเสนอต่อคณะผู้เดินทางคือ
สิ่งที่ทางมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นกระทำเมื่อมีนักเรียนต่างชาติสมัครเข้าเรียนและ/หรือนักวิจัยต่างชาติสมัครไปทำวิจัย
ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการของ
-
การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของประเทศที่มา
สถาบันที่จบมา รวมไปทั้งแหล่งผู้ให้ทุน
-
การติดตามการทำงานของผู้ที่สำเร็จการศึกษาไปแล้ว
(กรณีศึกษาของTohoku
University)
-
การมีหน่วยงานกลางเป็นผู้จัดทำรายชื่อ
และให้ทุกมหาวิทยาลัยใช้รายชื่อเดียวกัน
-
แต่ทั้งนี้ควรต้องมีการพิจารณาเป็นบางสาขาวิชาด้วย
ไม่ใช่การเหมารวม
(เพราะสาขาด้านสายศิลปส่วนใหญ่
ที่ไม่ได้มีการทดลองหรือใช้อุปกรณ์วิทยาศาตร์ภาคสนาม)
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้า
๒ ทาง
๕.
ประเด็นที่ยังไม่มีคำตอบ
ที่ยังต้องนำมาพิจารณา
และประสบการณ์ของทางประเทศญี่ปุ่น
เนื้อหาในส่วนนี้เป็นการรวบรวมประเด็นปลีกย่อยต่าง
ๆ ที่รวบไว้ในระหว่างการเดินทาง
ที่มีทั้งประเด็นคำถามที่ทางมหาวิทยาลัยของญี่ปุ่นนั้นยังมีแนวความคิดที่แตกต่างกัน
แต่ก็จำเป็นต้องออกแบบหามาตรการรองรับว่า
ถ้าเกิดขึ้นจะให้ปฏิบัติอย่างไร
๕.๑
การเผยแพร่ผลงานวิจัย
ในกรณีของการนำเสนอผลงานต่างประเทศ
ทางมหาวิทยาลัยมักจะสามารถขอตรวจสอบสิ่งที่จะนำไปเสนอได้
เพราะผู้จะไปนำเสนอมักจะขอทุนให้ทางมหาวิทยาลัยช่วยออกค่าใช้จ่าย
แต่การนำเสนอผลงานในที่ประชุมที่มีนักวิจัยจากประเทศที่ถูกขึ้นบัญชีเข้าร่วมด้วย
หรือการนำเสนอผลงานที่อาจเป็นในประเทศของตน
หรือประเทศในกลุ่มที่มีข้อตกลงร่วมกัน
แต่มีผู้เข้าร่วมที่มาจากประเทศที่ต้องเฝ้าระวัง
ควรต้องมีมาตรการอย่างไร
การส่งบทความไปตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ
เป็นการติดต่อโดยตรงระหว่างผู้ทำวิจัยกับสำนักพิมพ์
ไม่จำเป็นต้องผ่านมหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยจะให้มีการตรวจสอบหรือไม่อย่างไร
หรือให้อยู่ในดุลพินิจของผู้เขียน
ในการทำวิจัยนั้น
อาจป้องกันไม่ให้ผู้เรียนที่มากจากประเทศที่เฝ้าระวังเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงได้
แต่สำหรับผู้เรียนที่เข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงได้
สิ่งเหล่านี้อาจไปปรากฏอยู่ในวิทยานิพนธ์ที่ส่งมอบให้กับทางมหาวิทยาลัย
และไม่ว่าใครก็สามารถเข้าถึงได้
ในกรณีเช่นนี้มหาวิทยาลัยจะมีมาตรการป้องกันอย่างไร
ในกรณีที่งานวิจัยนั้นเกี่ยวข้องกับสินค้า
๒ ทาง ใครจะเป็นผู้ตรวจสอบเนื้อหาที่เขียน
และวิทยานิพนธ์ฉบับดังกล่าวไม่ว่าใครก็สามารถเข้าถึงได้หรือไม่
สำหรับประเทศไทยนั้น
ในแต่ละศาสตร์นั้นอาจมีอาจารย์รู้เรื่องเพียงผู้เดียวในมหาวิทยาลัย
ดังนั้นอาจารย์คนดังกล่างต้องรับหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบและรับรองผลงานของตนเองว่าเข้าข่ายหรือไม่เข้าข่าย
แต่ถ้าอาจารย์คนดังกล่าวไม่มีประสบการณ์หรือเกิดความไม่แน่ใจ
จะสอบถามไปได้ที่ใคร
๕.๒
การดัดแปลงเพื่อไม่ให้เข้าข่ายและการตรวจสอบการดัดแปลง
การดัดแปลงตรงนี้คือการดัดแปลงคุณสมบัติสินค้าเพื่อไม่ให้เข้าข่ายรายการควบคุม
แต่สามารถทำให้กลับกลายเป็นสินค้าที่เข้าข่ายรายการควบคุมได้ด้วยการดัดแปลง/แก้ไข
ส่วนที่ไม่มีความสำคัญหลัก
เพียงเล็กน้อยหรือทำได้ไม่ยาก
ตัวอย่างเช่น
-
การปนเปื้อนด้วยสารบางชนิด
เพื่อไม่ให้มีความเข้มข้นหรือคุณสมบัติตามที่กำหนด
แต่ทางผู้รับสามารถแยกเอาสิ่งที่ปนเปื้อนเข้าไปนั้นออกได้ง่าย
-
การแทนที่ชิ้นส่วนบางชิ้นที่ไม่ได้เป็นสาระสำคัญและสามารถหาได้ทั่วไป
เพื่อไม่ให้ตัวสินค้าทั้งชิ้นเป็นสินค้าควบคุมที่ประเทศต้นทางเนื่องจากการมีคุณสมบัติบางข้อไม่เข้าเกณฑ์เพื่อที่จะส่งออกโดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบ
แต่ทางผู้รับสินค้าสามารถนำชิ้นส่วนนั้นออกและแทนที่ด้วยชิ้นส่วนใหม่ได้ง่าย
ทำให้สินค้าชิ้นนั้นกลายเป็นสินค้าควบคุมได้ที่ประเทศปลายทาง
(เช่นการเคลือบผิวด้วยวัดสุอื่น
เพื่อให้ผิวชั้นนอกสุดไม่เข้าเกณฑ์
แต่สามารถกำจัดผิวชั้นนอกสุดออกได้ง่าย)
คำตอบของคำถามเรื่องการปนเปื้อนหรือแทนที่นี้
ทางผู้แทนจากหน่วยงานของประเทศญี่ปุ่นกล่าวว่า
ต้องดูที่ "เจตนา"
ของการกระทำดังกล่าว
แต่จะพิสูจน์ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำโดย
"เจตนา"
หรือไม่นั้น
จะทำอย่างไร
-
ใครจะเป็นผู้ตรวจสอบ
เพราะการตรวจสอบนั้นจำเป็นต้องทราบรายละเอียดการทำงาน/การออกแบบสินค้าชิ้นนั้น
(ปัญหาเรื่องความลับทางการค้า)
ผู้ขายสินค้าเองมีแรงกระตุ้นที่ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ขายได้
การมีมาตรการควบคุม/จำกัดการส่งออกถือได้ว่าเป็นการเพิ่มต้นทุนค่าดำเนินการ
อุปสรรคในการจำหน่าย
-
ประเด็นเรื่องสินค้าที่พิจารณาในแง่การใช้งานที่มันออกแบบมาแล้ว
ไม่น่าจะเป็นสินค้าควบคุม
แต่ไปปรากฏรายชื่อว่าถูกควบคุมด้วยรายการอื่นที่มองเผิน
ๆ แล้วไม่น่าจะสัมพันธ์กัน
ในกรณีเช่นนี้จะหามาตรการใดในการช่วยเหลือการตรวจสอบ
(ตัวอย่างเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนที่ใช้ในการระบายความร้อนออกจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลัง
ที่สามารถนำไปใช้ระบายความร้อนในกระบวนการผลิตอาวุธเคมีได้)
-
การตรวจสอบสิ่งที่เป็นซอร์ฟแวร์ที่ติดมากับอุปกรณ์ที่ซื้อมาประกอบเป็นสินค้าสุดท้าย
จะกระทำได้อย่างไร
ถ้าผู้พัฒนาซอร์ฟแวร์นั้นไม่ให้ความร่วมมือ
๕.๓
การสุ่มตรวจสินค้า/เทคโนโลยีที่มีการส่งออกและที่นำเข้า
และการมีอยู่
-
ใครจะเป็นผู้มีอำนาจในการสุ่มตัวอย่างสิ่งค้าที่ส่งออก
(กระทรวงพาณิชย์จะรับหน้าที่นี้หรือไม่)
และใครจะเป็นผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบ
(ซึ่งคงต้องเป็นหน่วยงานที่มีความพร้อมทางด้านเครื่องมือ
แต่ไม่อยู่ในสายการบังคับบัญขาของกระทรวงพาณิชย์)
-
การจัดทำประวัติการใช้งานเทคโนโลยีขั้นสูง
โดยเฉพาะในส่วนของสถาบันการศึกษาที่มีผู้เรียนมาจากหลากหลายสถานที่
ควรจะมีหรือไม่ ในระดับไหน
-
การตรวจสอบการคงอยู่ของเทคโนโลยีที่มีการรับเข้ามา
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักร
อุปกรณ์ หรือซอร์ฟแวร์
ที่ล้าสมัย
และการจัดการกับสิ่งที่ต้องการแทนที่ไม่ต้องการใช้ประโยชน์แล้ว
๕.๔
การอุทธรณ์คำสั่งห้ามการส่งออก
-
ใครจะเป็นผู้พิจารณาว่าสินค้านั้นเข้าข่ายหรือไม่เข้าข่าย
และถ้าให้ทางผู้ส่งออกเป็นผู้พิจารณาเอง
ใครจะทำหน้าที่สุ่มตรวจรายการสินค้าที่ทางผู้ส่งออกพิจารณาว่าไม่เข้าข่าย
-
โครงสร้างทางกฎหมายและการอุทธรณ์ความเห็นต่างของแต่ละประเทศนั้นไม่เหมือนกัน
-
สมมุติว่าการส่งออกของผู้ส่งออกไม่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยราชการ
ผู้ส่งออกจะสามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่งห้ามดังกล่าวนั้นได้ที่ใคร
ในกรณีของประเทศญี่ปุ่น
ผู้พิจารณาการร้องอุทธรณ์ยังเป็นหน่วยงานรัฐอยู่
แต่ในกรณีของประเทศไทยนั้น
เนื่องจากคำสั่งห้ามเป็นคำสั่งปกครอบ
ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่
ผู้ส่งออกทำการยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง
เพื่อขอความคุ้มครอง
(คือการขอให้คำสั่งห้ามยังไม่มีผลบังคับใช้)
-
ในกรณีที่ศาลให้ความคุ้มครอง
ทำให้ผู้ส่งออกสามารถส่งออกสินค้าได้
แต่ต่อมาภายหลังมีการพิสูจน์ว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าต้องห้าม
จะไม่สามารถเรียกคืนกลับได้
ในกรณีเช่นนี้ใครจะเป็นผู้รับผิดขอบ
-
ในกรณีที่ศาลไม่ให้ความคุ้มครอง
ทำให้ผู้ส่งออกส่งออกสินค้าไม่ได้
แต่ต่อมาภายหลังมีการพิสูจน์ว่าสินค้านั้นไม่ได้เป็นสินค้าต้องห้าม
ทำให้ผู้ส่งออกได้รับความสูญเสีย
ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ
-
กระบวนการพิจารณาตรงนี้อาจกินระยะเวลานาน
๕.๕
การเปลี่ยนแปลงสถานะของประเทศ/สถาบันการศึกษา
ของนิสิต/นักวิจัยที่เข้ามาทำวิจัย
-
สมมุติว่าตอนสมัครเข้าเรียนนั้น
ประเทศ/สถาบัน
ที่ผู้สมัครจบมาหรือจะกลับไปทำงานนั้นไม่ได้ปรากฏอยู่ในรายชื่อต้องเฝ้าระวัง
จะทำให้สามารถรับผู้สมัครเข้าทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูงได้
-
แต่ถ้าในระหว่างการทำวิจัยนั้น
มีการเปลี่ยนแปลงสถานะของประเทศ/สถาบันของผู้สมัครรายนั้น
จะต้องทำอย่างไร
-
ถ้ายังไม่เริ่มทำวิจัย
หรือเพิ่งจะเริ่ม
ก็อาจแก้ด้วยการเปลี่ยนแปลงหัวข้อวิจัยหรือขอบเขตงาน
-
แต่ถ้าเป็นการวิจัยที่ผู้เรียนใกล้จะสิ้นสุดเพื่อจะสำเร็จการศึกษาแล้ว
ควรจะต้องทำอย่างไร
-
ตัวอย่างเช่นกรณีที่ประเทศญี่ปุ่นปรับรายชื่อประเทศเกาหลีใต้ให้ไปอยู่ในกลุ่มเฝ้าระวัง
๕.๖
ใครจะเป็นผู้วางระบบการตรวจสอบให้กับมหาวิทยาลัย
-
ให้แต่ละมหาวิทยาลัยดำเนินการเอง
ซึ่งไม่น่าจะทำได้
เพราะผู้ที่เข้าร่วมโครงการนี้มีเพียงไม่กี่มหาวิทยาลัย
-
สร้างแผนผังการทำงานที่เป็นตัวอย่างกลางขึ้นมาก่อน
แล้วค่อยทำการปรับเปลี่ยนไปตามประสบการณ์ที่ได้รับ
โดยอาจให้อิสระแต่ละมหาวิทยาลัยในการแก้ไข
-
มหาวิทยาลัยอาจมองได้ว่าเป็นส่วนที่เพิ่มค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
และไม่เห็นความสำคัญ
โดยเฉพาะฝ่ายคณาจารย์ที่อาจมองว่าเป็นอุปสรรคในการตีพิมพ์หรือรับนิสิต
หรือขอทุนเพื่อเดินทางไปประชุมวิขาการต่างประเทศ
-
ปัญหาเรื่องวัฒนธรรมการทำงานของแต่ละมหาวิทยาลัยที่แตกต่างกัน
และมุมมองของผู้บริหารมหาวิทยาลัยในการให้ความสำคัญของงานนี้
(ภาระเพิ่มขึ้นที่มองเห็นได้ชัดว่ามีค่าใช้จ่ายและสร้างอุปสรรคในการทำงาน
ในขณะที่ผลตอบแทนที่จะได้รับกลับเห็นไม่ชัด
ยากที่จะประเมิน
เนื่องจากงานวิจัยที่เข้าข่ายนั้นอาจเป็นส่วนที่น้อยมาก)
-
การตรวจสอบการควบคุมการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงเหล่านั้นที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแต่ละสถาบันการศึกษา
(ให้มหาวิทยาลัยทำการตรวจสอบภายในด้วยตนเอง
หรือมีตัวแทนจากมหาวิทยาลัยอื่น
ที่มีการวางมาตรการร่วมกัน
และใช้แนวปฏิบัติเดียวกัน
เข้าร่วมเป็นกรรมการตรวจสอบด้วย)
๕.๗
การบังคับทางอ้อมให้ทางมหาวิทยาลัยต้องดำเนินการ
-
การบังคับผ่านผู้บังคับบัญชาโดยตรงของมหาวิทยาลัย
(รัฐมนตรีเป็นผู้สั่งการลงมายังอธิการบดี)
-
สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐหรืออยู่ในกำกับของรัฐ
หรือบริษัทเอกชน
ที่เป็นผู้ที่ให้ทุนวิจัย/ร่วมทำวิจัย
ให้เห็นความสำคัญของปัญหานี้
เพื่อที่จะได้นำไปเป็นข้อกำหนดในการรับทุนว่า
ผู้จะรับทุนวิจัย/ร่วมทำวิจัย
(โดยเฉพาะสายวิทยาศาสตร์)
ได้นั้นจำเป็นต้องมาจากสถาบันที่มีการวางมาตรการในเรื่องนี้และมีการนำมาปฏิบัติการจริง
และต้องได้รับการยืนยันจากระดับผู้บริหารสูงสุดของมหาวิทยาลัยว่า
งานวิจัยดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
หรือเกี่ยวข้อง
แต่ทางมหาวิทยาลัยมีระบบการตรวจสอบดูแลที่รัดกุม
และต้องพร้อมที่จะรับผิดชอบถ้าหากเกิดความผิดพลาดขึ้น