วันที่
๑๒ เมษายน ปีค.ศ.
๑๘๓๑ (พ.ศ.
๒๓๗๔
หรือช่วงรัชกาลที่ ๓ ของไทย)
ระหว่างที่ทหารอังกฤษ
๗๔ เดินเป็นจังหวะพร้อมกันข้ามสะพาน
Broughton Suspension
Bridge ซึ่งเป็นสะพานแขวนชนิด
Iron chain
suspension bridge
มีความรู้สึกว่าสะพานสั่นตามจังหวะการเดินที่ทำให้รู้สึกสนุก
ก็เลยย้ำจังหวะการเดินเข้าไปอีก
ผลก็คือสะพานดังกล่าวพังลงมา
แม้ว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นจะไม่มีผู้เสียชีวิต
แต่จากนั้นมาเวลากองทหารเดินข้ามสะพานแขวนก็มีคำสั่งให้ต้องเดินแบบ
"Break step"
คือห้ามเดินเข้าจังหวะกัน
แต่เหตุการณ์ที่ขึ้นชื่อและเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายกว่าน่าจะเป็นกรณีของสะพานแชวน
Tacoma
ที่พังลงเพราะลมที่พัดผ่านนั้นทำให้จังหวะการแกว่งของสะพานตรงกับความถี่การสั่นตามธรรมชาติของสะพาน
การแกว่งก็เลยรุนแรงขึ้นจนทำให้สะพานพังลงมาในวันที่
๑ กรกฎาคม ปีค.ศ.
๑๙๔๐ (พ.ศ.
๒๔๘๓)
เหตุการณ์ช่วงที่สะพานพังลงมามีการบันทึกภาพยนต์ไว้
จึงทำให้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย
บทความต้นฉบับของเรื่องการระเบิดที่
Steam Cracker Unit
นี้มีการวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายในแต่ละจุดว่าเกิดจากอะไร
แต่ใน Memoir
นี้จะขอนำมาเฉพาะสิ่งที่เห็นว่าเป็นต้นตอของความเสียหายอื่น
ๆ ที่เกิดตามมา
ซึ่งก็คือทำไมอัตราการไหลของน้ำหล่อเย็นจึงลดลง
และทำไม pressure
relief valve จึงเกิดการ chattering
และการ chattering
นี้นำไปสู่การรั่วไหลได้อย่างไร
ซึ่งการสอบสวนพบว่ามีสาเหตุที่เหมือนกับทั้งสองกรณีที่กล่าวมาข้างต้น
เริ่มต้นด้วยรูปที่
๑๕
ที่เป็นเหตุการณ์ก่อนที่น้ำหล่อเย็นจะขาดหายไปจนกระทั่งกลับมาสู่ระดับเดิม
สำหรับแผนผังหน่วยผลิตนั้นขอให้ดูในบทความตอนที่
๒ ของเรื่องนี้
รูปที่ ๑๕
เหตุการณ์ช่วงก่อนที่น้ำหล่อเย็นจะขาดหายไปจนกระทั่งกลับมาสู่ระดับเดิม
ช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์
โรงงานเดินเครื่องที่กำลังผลิตประมาณ
90-93%
โดยมีกำลังการผลิตเอทิลีนประมาณ
56-58 ตันต่อชั่วโมง
หอกลั่นแยกโพรเพน-โพรพิลีนมีเครื่องควบแน่น
4 เครื่อง
(EA-125 A ถึง
D) ทำงานพร้อมกัน
โดยใช้น้ำหล่อเย็นเป็นแหล่งระบายความร้อน
ระบบน้ำหล่อเย็นที่จ่ายให้กับเครื่องควบแน่นดังกล่าวเป็นท่อใต้ดินมีทั้งหมด
4 เส้นท่อ
ณ เวลาหนึ่งจะมีการดึงน้ำหล่อเย็นมาใช้อย่างน้อยจาก
1 เส้นท่อ
โดยอีก 1
เส้นท่อเป็นเส้นสำรอง
โดยช่วงก่อนเกิดเหตุนั้นกำลังใช้น้ำจากเส้นท่อที่
3 และ
4 อยู่
ก่อนเกิดเหตุการณ์
อุปกรณ์วัดการไหลของเส้นท่อที่
3 ไม่ทำงาน
จึงได้มีการซ่อมแซมและซ่อมบำรุง
การวางแผนตรวจสอบการทำงานกำหนดให้มีในวันที่
๑๓ สิงหาคม ค.ศ.
๒๐๑๕
ขั้นตอนการทำงานเพื่อตรวจสอบมิเตอร์วัดการไหลที่ได้ตกลงกันไว้ก็คือ
จะใช้เฉพาะเส้นท่อที่ 3
เท่านั้นโดยจะปิดน้ำจากเส้นท่อที่
4 เป็นการชั่วคราว
ให้มีเฉพาะน้ำจากเส้นท่อที่
3
ที่ไหลเข้าเครื่องควบแน่น
ในช่วงระหว่างเวลา 8.05
ถึง 8.15
น ได้ทำการเปิดวาล์วน้ำของเส้นท่อที่
3
ที่อยู่ในพื้นที่หน่วย
Steam Cracker
ตามด้วยการปิด
(หรือปิดบางส่วน)
วาล์วน้ำของเส้นท่อที่
4 ที่หน่วย
Steam Cracker
โดยที่วาล์วของเส้นท่อที่
3 ที่
"Battery Limit"
ไม่ถูกเปิด ("Battery
Limit" คือขอบเขตความรับผิดชอบระหว่างสองหน่วยงาน)
สิ่งที่เกิดตามมาคือมีการขัดจังหวะการไหลของน้ำหล่อเย็นไปยังส่วนต่าง
ๆ ของหน่วย Setam
Cracker ซึ่งรวมทั้งเครื่องควบแน่นโพรพิลีนด้วย
อัตราการไหลของน้ำหล่อเย็นลดลงจาก
12,000 m3/h
ลงเหลือประมาณ 6,600
m3/h เป็นเวลานานประมาณ
13 นาที
ก่อนที่จะกลับคืนสู่ระดับเดิมที่เวลาประมาณ
8.29 น
รูปที่ ๑๖
การสลับท่อน้ำหล่อเย็นระหว่างเส้นท่อที่
3 และเส้นท่อที่
4 ในหัวข้อ
5.1 เขียนไว้อีกอย่าง
ในเรื่องการสลับเส้นท่อ
ข้อความในหัวข้อการสอบสวน
(รูปที่
๑๖)
อ่านแล้วดูสับสนกับข้อความ
ในรูปที่ ๑๕
แต่ละเส้นท่อจะมีวาล์วที่เกี่ยวข้องอยู่
2 ตำแหน่ง
ตำแหน่งแรกอยู่ที่ batter
limit ที่เรียกว่าวาล์ว
outlet
(เพราะส่งน้ำออกจากหน่วยผลิตน้ำหล่อเย็น)
ตำแหน่งที่สองอยู่ทางด้านขาเข้าเครื่องควบแน่นที่เรียกว่าวาวล์
inlet
(คือป้อนน้ำหล่อเย็นเข้าเครื่องควบแน่น)
ในรูปที่ ๑๖
บอกว่าก่อนการสลับเส้นท่อ
วาล์ว inlet
ของเส้นท่อที่ 4
ปิดอยู่ในขณะที่วาล์ว
inlet และ
outlet ของเส้นท่อที่
3 นั้นเปิดอยู่
การสลับเส้นท่อคือจะหยุดใช้งานเส้นท่อที่
3
โดยเปลี่ยนไปใช้งานเส้นท่อที่
4 (สลับกับรูปที่
๑๕)
แต่ไม่ว่าเหตุการณ์จริงจะเป็นอย่างไร
สิ่งที่เกิดคือวาล์ว outlet
ของเส้นท่อที่จะนำกลับมาใช้งานนั้นปิดอยู่
รูปที่ ๑๗
เหตุการณ์ที่หอกลั่นแยกโพรเพน-โพรพิลีน
หอกลั่นแยกโพรเพน-โพรพิลีนถูกออกแบบให้ผลิตโพรพิลีนบริสุทธิ์
99.8% (รูปที่
๑๗) ออกทางยอดหอ
และโพรเพนเหลวออกทางก้นหอ
ตัวหอกลั่นสร้างในปีค.ศ.
๑๙๗๗ (พ.ศ.
๒๕๒๐)
มีความสูง 90
เมตร ความดันใช้งานสูงสุดที่ยอมให้
(MAWP) คือ
1.635 MPa
(ความดันเกจ)
สารผสมโพรเพน-โพรพิลีนถูกป้อนเข้าที่ตำแหน่ง
Tray ที่
106
ผลิตภัณฑ์แก๊สโพรพิลีนที่ออกทางยอดหอจะถูกควบแน่นให้เป็นของเหลวด้วยเครื่องควบแน่น
E-425 จำนวน
4 ตัว
(A-D)
โพรพิลีนที่ควบแน่นจะไหลไปยัง
Reflux drum (FA-407)
โดยของเหลวที่ถังนี้ส่วนหนึ่งจะถูกส่งไปเก็บเป็นผลิตภัณฑ์และอีกส่วนถูกป้อนเข้าหอกลับเพื่อเป็น
reflux
โดยค่าอัตราส่วนการ
reflux (หรือ
reflux ratio)
อยู่ในช่วงประมาณ 15-18
ตัว reboiler
(EA-424 A/B) ที่ก้นหอใช้ quench
water เป็นแหล่งให้ความร้อน
โพรเพนที่แยกมาได้จะถูกส่ง
กลับไปยังหน่วย pyrolysis
เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบ
หรือใช้เป็นเชื้อเพลิงถ้าจำเป็น
ค่า
reflux ratio
คืออัตราส่วนปริมาณของสารที่ส่งกลับไปยังหอกลั่นต่อปริมาณของสารที่ดึงออกไปเป็นผลิตภัณฑ์
อย่างเช่นในกรณีนี้ ค่า
reflux ratio 15
คือจากปริมาณของเหลวที่เครื่องควบแน่นควบแน่นได้
15
ส่วนถูกส่งกลับไปยัง
Tray ที่
1 โดยมีเพียงแค่
1
ส่วนถูกดึงออกไปเป็นผลิตภัณฑ์
การเพิ่มค่าอัตราส่วนนี้จะทำให้ผลิตภัณฑ์ยอดหอที่ได้มีความบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น
แต่ได้ในปริมาณ (ต่อหน่วยเวลา)
ที่ลดลง
การควบคุมความดันในหอใช้วาล์วควบคุม
PC 04-252
ทำการปรับแต่งอัตราการไหลน้ำหล่อเย็นที่เครื่องควบแน่น
และในกรณีที่ความดันขึ้นสูงก็จะใช้วาล์ว
PC 04-254
ระบายแก๊สจาก Reflux
drum ทิ้งออกระบบเผาแก๊สทิ้ง
การควบคุมดับของเหลวก้นหอใช้การควบคุมอัตราการไหลของ
quench water
ด้วยวาล์ว FC
04-252
รูปที่ ๑๘
ระบบระบายความดัน
ตัวหอกลั่นแยกโพรเพน-โพรพิลีนมีวาล์วระบายความดัน
(pressure relief
valve) 4 ตัวที่เหมือนกันหมด
วาล์วเป็นชนิดใช้แรงสปริงกด
(แรงกดสปริงเป็นตัวกำหนดความดันที่จะให้วาล์วเปิด)
และมี balancing
bellow (เพื่อป้องกันความดันด้านขาออกมากดตัววาล์วร่วมกับแรงสปริง
เพราะจะทำให้วาล์วเปิดที่ความดันสูงกว่าค่าที่ตั้งเอาไว้)
ทางเข้า-ออกต่อกับท่อด้วยหน้าแปลน
อุณหภูมิระบายความดันคือ
50ºC
และตั้งค่าให้เปิดที่
1.86 MPa
อัตราการระบายโพรพิลีนคือ
604,700 kg/h
วาล์วสร้างขึ้นตามการออกแบบในปีค.ศ.
๑๙๗๘ (พ.ศ.
๒๕๒๑)
ด้านเข้า-ออกของวาล์วแต่ละตัวจะมี
gate valve
เพื่อให้สามารถถอดวาล์วออกมาซ่อมบำรุงได้
แต่มีกลไกป้องกันที่ทำให้ต้องมีวาล์วอย่างน้อย
3 ตัวทำงานอยู่เสมอ
(การทำงานปรกติจะใช้งาน
3 ตัว
ลำรอง 1
ตัว)
และในระหว่างเกิดเหตุ
วาล์วตัวที่ 4
ทำหน้าที่เป็นวาล์วสำรอง
การตรวจสอบครั้งสุดท้าย
(ก่อนเกิดเหตุ)
พบว่าวาล์วทำงานได้ปรกติและไม่มีข้อบกพร่องใด
ๆ (รูปที่
๑๘)
การติดตั้ง
pressure relief
valve มากกว่า 1
ตัวจะทำเมื่อวาล์วตัวเดียวไม่สามารถระบายความดันได้รวดเร็วพอ
หรือถ้าใช้วาล์วเพียงตัวเดียวจะต้องใช้วาล์วที่มีขนาดใหญ่ซึ่งจะเกิดปัญหา
chattering
ได้ง่ายเวลาที่ต้องระบายความดันที่เพิ่มขึ้นไม่มาก
ในเหตุการณ์นี้ วาวล์ทั้ง
4
ตัวถูกตั้งให้เริ่มเปิดที่ความดันเดียวกัน
ซึ่งเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหา
(คือมาตรฐานปัจจุบันไม่แนะนำให้ทำเช่นนั้น
ซึ่งตรงนี้จะกล่าวถึงในช่วงต่อไป
แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าการติดตั้งนั้นไม่เหมาะสม
เพราะต้องไปดูว่ามาตรฐานตอนปีที่ติดตั้งวาล์วนั้นกล่าวไว้อย่างไร
เพราะมันอาจถูกต้องตามมาตรฐาน
ณ เวลานั้นก็ได้)
รูปที่ ๑๙
อัตราการไหลน้ำหล่อเย็น,
ความดันภายในหอกลั่น,
อัตราการไหลสาย reflux
และระดับของเหลวใน
reflux drum
ในช่วงเวลาก่อนและขณะเกิดเหตุ
รูปที่
๑๙ เป็นข้อมูลพารามิเตอร์ต่าง
ๆ ของหอกลั่นแยกโพรเพน-โพรพิลีน
จะเห็นว่าโอเปอร์เรเตอร์ต้องหยุดการทำงานของ
reflux pump (จุดที่
reflux flow
เป็นศูนย์)
ก่อนที่จะกู้อัตราการไหลของน้ำหล่อเย็นกลับคืนมาได้
แต่ที่ไม่เห็นความดันเพิ่มขึ้นคงเป็นเพราะว่ามีการเปิดวาล์วเพื่อระบายความดัน
แต่แม้ว่าจะกู้อัตราการไหลน้ำหล่อเย็นกลับมาได้
ระดับของเหลวใน reflux
drum ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น
(ตรงนี้น่าจะมีข้อมูลอุณหภูมิยอดหอมาประกอบหน่อย
ว่าในช่วงเวลานั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร)
ในบทความกล่าวว่ามีการวัดความดันที่ตัวหอกลั่น
(น่าจะเป็นตำแหน่งก่อนถึงเครื่องควบแน่น)
และการวัดความดันที่
reflux drum
ข้อมูลความดันที่แสดงในรูปที่
๑๙ (เส้นสีดำหนา)
น่าจะเป็นความดันที่หอกลั่น
ตรงนี้พออ่านแล้วก็เกิดคำถามส่วนตัวขึ้นว่า
เป็นไปได้หรือไม่ที่โพรพิลีนที่ควบแน่นเป็นของเหลวแล้ว
พอไหลมายัง reflux
drum ที่มีการเปิดวาล์วระบายความดันเพื่อระบายความดันใน
reflux drum
ออกสู่ระบบเผาแก๊สทิ้งโดยตรง
ทำให้ความดันใน reflux
drum นั้นต่ำกว่าที่เครื่องควบแน่น
โพรพิลีนที่ควบแน่นเป็นของเหลวจึงเดือดกลายเป็นไอใหม่อีก
(เนื่องจากความดันที่ลดต่ำลง)
ทำให้ไม่มีของเหลวสะสมเพิ่มใน
reflux drum
และการปิดวาล์วระบายความดันตรงนี้
จะช่วยแก้ปัญหาได้ไหม
รูปที่ ๒๐
การตั้งค่าความดันของวาล์วระบายความดัน
หัวข้อ
5.2.3
เป็นการพิจารณาการออกแบบวาล์วระบายความดัน
(รูปที่
๒๐) หัวข้อ
5.2.3.1 กล่าวว่า
วาล์วระบายความดันทุกตัว
(คือทั้ง
4 ตัว)
ตั้งให้เปิดที่คามดัน
1.86 MPa (ตัว
g
ข้างหลังคือระบุว่าเป็น
gauge pressure
หรือความดันเกจ)
ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดของการออกแบบดั้งเดิม
(น่าจะหมายถึงตอนสร้างโรงงาน)
แต่มาตรฐาน API
R 520 และ 521
ก็มีคำแนะนำว่า
ในกรณีที่มีการติตดั้งวาล์วระบายความดันหลายตัว
ควรที่จะตั้งให้เปิดที่ความดันเป็นลำดับขั้นกัน
(คือค่อย
ๆ เพิ่มขึ้น)
และการตั้งให้เปิดที่ความดันเดียวกันก็มีส่วนที่ให้ระบบระบายความดันไม่มีเสถียรภาพ
แต่เมื่อทำการพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการสั่นที่ก่อให้เกิดความเสียหาย
รูปที่ ๒๑
ตัวอย่างการตั้งค่าความดันให้วาล์วเปิดในกรณีที่มีวาล์วระบายความดัน
2 ตัว
ที่สภาวะการทำงานปรกติ
(Table 3)
รูปที่ ๒๒
ตัวอย่างการตั้งค่าความดันให้วาล์วเปิดในกรณีที่มีวาล์วระบายความดัน
2 ตัว
ในกรณีของไฟคลอก (Table
5)
รูปที่
๒๓ นำมาจาก API
RP 521 Guide for Pressure-Relieving and Depressuring Systems
ฉบับเดือนมีนาคมปีค.ศ.
๑๙๙๗ ในหัวข้อ 3.20.3.2
ในเรื่องของการหาขนาดวาล์วระบายความดัน
ผู้ออกแบบควรต้องพิจารณาความเป็นไปได้ทั้งหมดที่จะทำให้ความดันสูงเกิน
ประเมินค่าอัตราการไหลที่ต้องใช้ในการระบายความดัน
เพราะจะส่งผลต่อพื้นที่
"orifice"
(หรือขนาดช่องเปิดสำหรับให้ของไหลไหลผ่านว่าควรต้องมีพื้นที่อย่างน้อยเท่าไร)
แต่เมื่อกระบวนการผลิตมีการเพิ่มขนาดมาก
ขนาดพื้นที่ที่ได้จากวาล์วระบายความดันตัวเดียวจึงไม่เพียงพอ
ทำให้จำเป็นต้องมีการติดตั้งวาล์วระบายความดันมากกว่าหนึ่งตัว
เพื่อให้ได้ขนาดพื้นที่
orifice ตามต้องการ
ปรกติการคำนวณหาขนาด
orifice
จะอิงจากอัตราการเพิ่มความดันที่มากที่สุดที่คาดการณ์ไว้ว่าสามารถเกิดขึ้นได้
อย่างเช่นในกรณีของหอกลั่นอาจอิงจากเหตุการณ์ที่เครื่องควบแน่นไม่มีน้ำหล่อเย็น
ในขณะที่ reboiler
นั้นยังมีการให้ความร้อนอย่างเต็มที่
(ถ้าคิดว่าเหตุการณ์นี้มีโอกาสเกิดได้)
แต่มันก็ก่อปัญหาได้ในกรณีที่อัตราการเพิ่มความดันไม่ได้รวดเร็วมากและระบบนั้นใช้วาล์วระบายความดันที่มีขนาดใหญ่เพียงตัวเดียวหรือตัวเล็กหลายตัวที่ตั้งให้เปิดที่ความดันเดียวกัน
เพราะทันทีที่วาล์วเปิดความดันก็จะลดลงอย่างรวดเร็วทำให้วาล์วปิดโดยเร็ว
และจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย
ๆ จนกว่าการเพิ่มความดันนั้นจะหายไป
ปรากฏการณ์นี้มีชื่อเรียกว่า
"chattering"
ในหัวข้อนี้กล่าวเอาไว้ด้วยว่าวาล์วอาจเกิดการ
chattering
ที่ทำให้เกิดความเสียหายได้ถ้าหากใช้วาล์วระบายความดันหลายตัวโดยตั้งให้
"เปิดที่ความดันเดียวกัน"
แต่การแก้ปัญหาทำได้ด้วยการให้วาล์วเปิดทีละตัวที่ความดันเป็นลำดับขั้น
รูปที่ ๒๓
ข้อความใน API
RP 521
ที่กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นได้กรณีที่ใช้วาล์วระบายความดันหลายตัวโดยตั้งให้เปิดที่ความดันเดียวกัน
(ในกรอบสี่เหลี่ยมสีแดง)
ในเหตุการณ์นี้เห็นว่ามีบางประเด็นที่เห็นว่าน่าจะนำมาพิจารณากันก็คือ
มีการใช้วาล์วระบายความดัน
4 ตัว
โดยในเวลาใดเวลาหนึ่งต้องมีวาล์วทำงานอยู่อย่างน้อย
3 ตัว
ประเด็นแรกก็คือเมื่อได้ขนาดพื้นที่
orifice
ที่ต้องมีแล้ว
ขนาดพื้นที่นี้ควรได้จากพื้นที่
orifice
ของวาล์วจำนวน 3
ตัว (คือทำงาน
3 ตัว
สำรอง 1
ตัว)
หรือ 4
ตัวรวมกัน (คือให้ทั้ง
4
ตัวทำงานในเวลาเดียวกัน
ไม่มีวาล์วสำรอง)
เพราะถ้าใช้พื้นที่รวมของวาล์ว
4 ตัว
ก็จะทำให้ขนาดพื้นที่นั้นเล็กเกินไปถ้ามีวาล์วทำงานเพียง
3 ตัว
หรือจะมองว่าโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้จำเป็นต้องใช้วาล์ว
4
ตัวทำงานร่วมกันในขณะที่มีวาล์วพร้อมใช้งานเพียงแค่
3 ตัวนั้นต่ำมาก
ประเด็นที่สองคือในกรณีของการใช้วาล์วมากกว่า
1
ตัวที่ตั้งค่าความดันให้เปิดเป็นลำดับ
โดยวาล์วตัวแรกตั้งให้เปิดที่ค่า
MAWP
ถ้าหากมีความจำเป็นต้องนำวาล์วตัวนี้ออกจากระบบชั่วคราว
(เช่นเอาไปซ่อมบำรุง)
จะทำให้วาล์วตัวแรกที่เหลืออยู่จะเปิดที่ความดันที่สูงกว่า
MAWP
ระบบจะมีปัญาหาไหมถ้าเกิดปัญหาความดันสูงเกินในช่วงเวลานี้
ความผิดพลาดในการสื่อสาร
(ระหว่างโอเปอร์เรเตอร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมวาล์วน้ำหล่อเย็นที่เครื่องควบแน่น
และโอเปอร์เรเตอร์ของหน่วยผลิตน้ำหล่อเย็นที่ควบคุมวาล์วเปิด-ปิดน้ำที่ส่งออกจากหน่วยผลิตน้ำหล่อเย็น)
และการตรวจสอบตำแหน่งวาล์วว่าเปิดหรือปิด
ทำให้เกิดปัญหาน้ำหล่อเย็นหายไป
ตามมาด้วยการเกิดความดันสูงเกินจนวาล์วระบายความดันที่ตัวหอกลั่นทำงาน
แต่ตัววาล์วระบายความดันเองก็เกิด
chattering
จนทำให้หน้าแปลนที่ยึดตัววาล์วเข้ากับท่อทางเข้าเกิดการคลายตัวจนทำให้มีโพรพิลีนรั่วไหลออกมา
คำถามที่ตามมาก็คือหน้าแปลนเกิดการคลายตัวได้อย่างไร
รูปที่ ๒๔
การเกิด Acoustic
resonance
ที่นำไปสู่การคลายตัวของน็อตบริเวณหน้าแปลนจนทำให้เกิดการรั่วไหล
จากที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ในหัวข้อ
5.2.3.1
ว่าลำพังการเกิด
chattering
อย่างเดียวไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการรั่วไหล
จึงจำเป็นต้องมองหาสาเหตุอื่นที่น่าจะเป็นสาเหตุหลัก
หัวข้อ
5.2.4 (รูปที่
๒๔)
จากการตรวจตัวของ bolt
และ nut
ที่ใช้ยึดตัววาล์วเข้ากับหน้าแปลนที่เกิดการรั่วไหลนั้น
ปรากฏว่าไม่พบความเสียหายหรือรอยแตกร้าวใด
ๆ (ตรงนี้ขอใช้ทับศัพท์คำ
bolt และ
nut
เพราะภาษาไทยไปเรียกรวมว่า
น็อต โดยแยกเป็นน็อตตัวผู้
(bolt หรือ
สลักเกลียว)
และน็อตตัวเมีย
(nut)
หรือแป้นเกลียว)
แสดงว่าตัว nut
เกิดการคลายตัวเนื่องจากการสั่นอย่างรุนแรงของระบบวาล์วระบายความดัน
จนทำให้ตัว nut
ค่อย ๆ คลายตัวออกอย่างช้า
ๆ ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันทุกตัว
(หน้าแปลนถูกประกบเข้าด้วยกันโดยใช้
bolt และ
nut ขันอัด
ในการใช้งานปรกติ bolt
และ nut
ทุกตัวควรจะรับแรงดึงเท่า
ๆ กัน (เวลาขัน
nut อัดเข้าไป
ตัว bolt
จะยืดออก)
แต่ถ้า nut
เกิดการคลายตัวพร้อมกัน
หน้าแปลนก็จะแยกห่างจากกันโดยที่ตัว
bolt
ที่ยังมีอยู่ครบทุกตัวยังช่วยกันรับแรงอยู่
แต่ถ้ามี nut
ของ bolt
บางตัวเกิดการคลายตัว
จะทำให้ bolt
ตัวนี้ไม่ได้รับแรงดึง
แรงดึงบน bolt
ที่เหลือจะเพิ่มสูงขึ้น
และถ้าแรงดึงที่กระทำบน
bolt
ที่เหลืออยู่นั้นสูงเกินกว่าความแข็งแรงของวัสดุที่ใช้ทำ
bolt ตัว
bolt
ที่เหลือก็จะฉีกขาด)
ในบทความมีการพิจารณาหลายหลายสาเหตุ
แต่ข้อสรุปนั้นไปลงที่การเกิด
"Acoustic
resonance" ระหว่างวาล์วที่เปิดกับท่อเชื่อมต่อระหว่างตัววาล์วกับ
header
(ท่อหลักที่วาล์วระบายความดันทั้ง
4 ตัวเชื่อมต่ออยู่)
คือจังหวะการสั่นนั้นไปทำให้เกิดคลื่นนิ่งที่มีจังหวะเดียวกันกับค่าความถี่การสั่นตามธรรมชาติ
(natural frequency)
ของตัววาล์วระบายความดัน
จึงทำให้การสั่นเกิดรุนแรงขึ้นเรื่อย
ๆ จนทำให้ nut
คลายตัวออก
แรงกดที่หน้าแปลนจึงหายไป
โพรพิลีนจึงรั่วไหลออกมา
ปิดท้ายบทความชุดนี้ด้วยภาพเพลิงไหม้บริเวณหอกลั่นแยกโพรเพน-โพรพิลีนจากบทความที่นำมาเล่าให้ฟังก็แล้วกัน
รูปที่ ๒๕
ภาพเพลิงไหม้บริเวณหอกลั่นแยกโพรเพน-โพรพิลีน