ปรกติในโรงงานที่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้า
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการขับเคลื่อน
ปั๊ม ใบพัดกวน ฯลฯ
เราจะเห็นสวิตฃ์ปิด-เปิดการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าตัวนั้นอยู่ใกล้กับที่ตั้งของมอเตอร์ตัวนั้น
(ดังตัวอย่างในรูปที่
๑ ข้างล่าง)
แต่สวิตช์ปิด-เปิดอุปกรณ์เหล่านี้แตกต่างไปจากสวิตช์ไฟ
(ซึ่งอาจเป็นไฟแสงสว่างหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า)
ตามบ้านทั่วไป
สวิตช์ไฟตามบ้านทั่วไปนั้นเป็นสวิตช์ที่ทำหน้าที่ตัดกระแสไฟฟ้าที่จะจ่ายให้กับอุปกรณ์ต่าง
ๆ โดยตรง
แต่สวิตช์ไฟอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้กันในโรงงานดังเช่นตัวอย่างในรูปที่ยกมาให้ดูนั้น
ไม่ได้ทำหน้าที่ตัดกระแสไฟฟ้าที่จ่ายให้กับมอเตอร์โดยตรง
แต่ทำหน้าที่ไปควบคุมสวิตช์ที่ควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าตัวนั้นอีกที
รูปที่ ๑ ในกรอบสีส้มคือสวิตช์ปิด-เปิดและสายไฟของสวิตช์ ส่วนกรอบสีเขียวคือสายไฟที่จ่ายไฟให้กับมอเตอร์โดยตรง
ในบ้านเรือนนั้น
ไฟฟ้า 220
V ที่การไฟฟ้าจ่ายเข้ามาในบ้านจะผ่านระบบ
circuit
breaker และ/หรือฟิวส์
ก่อนที่จะแยกย้ายไปยังส่วนต่าง
ๆ ของบ้าน
สวิตช์ปิด-เปิดไฟแสงสว่างหรือสวิตช์ปิด-เปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง
ๆ นั้น (ถ้าที่บ้านเดินสายไฟอย่างมีระบบ)
จะควบคุมการเปิด-ปิดวงจรของสาย
line
ปรกติก็มักจะเพียงสายนี้สายเดียว
ไม่ยุ่งอะไรกับสาย neutral
(ดูรูปที่
๒)
พอวงจรไฟฟ้าเปิดออก
(ด้วยการแยกขั้วสัมผัสที่เป็นโลหะออกจากกัน)
ก็จะไม่มีกระแสไฟฟ้าจ่ายให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้กันในโรงงานนั้นที่เห็นส่วนมากก็จะเป็นมอเตอร์
3
เฟส
ใช้ไฟอย่างน้อยก็ 380
V
แต่ถ้าเป็นอุปกรณ์ที่ต้องการกำลังไฟฟ้ามากก็จะใช้ไฟฟ้าที่ความต่างศักย์สูงขึ้นไปอีก
(เพื่อลดปริมาณกระแส)
ไฟฟ้าที่โรงงานรับเข้ามานั้นจะเป็นไฟฟ้าแรงสูง
ดังนั้นทางโรงงานเองก็จะมีการติดตั้งหม้อแปลงเพื่อลดความต่างศักย์ให้เหมาะสมกับความต้องการของอุปกรณ์ต่าง
ๆ ที่โรงงานมีอยู่
ไฟฟ้าที่ผ่านการลดความต่างศักย์ลงมาแล้วจะผ่านเข้าสู่อุปกรณ์ควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้า
(หรือสวิตช์ปิด-เปิดนั่นแหละ)
ที่จะทำหน้าที่ปิดวงจรเพื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์หรือเปิดวงจรเพื่อตัดการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์
ชนิดของอุปกรณ์ควบคุมการจ่ายนี้มีหลายชนิดขึ้นกับความต่างศักย์ของไฟฟ้าที่ใช้
สำหรับไฟฟ้าความต่างศักย์สูงแล้ว
การตัดกระแสไฟฟ้าด้วยการเปิดวงจรด้วยการแยกขั้วโลหะออกจากกันนั้นอาจไม่สามารถตัดการไหลของกระแสไฟฟ้าได้
เพราะจะมีประกายไฟ (acr)
กระโดดข้ามระหว่างขั้วไฟฟ้า
ทำให้แม้ว่าส่วนที่เป็นขั้วโลหะจะแยกออกจากกันแล้ว
แต่ประกายไฟที่กระโดดข้ามขั้วไฟฟ้าทั้งสองยังทำให้มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านอยู่
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีระบบสำหรับดับประกายไฟที่เกิดขึ้นด้วย
อุปกรณ์ที่ใช้ในการตัดไฟแรงสูงจึงมีความแตกต่างไปจากอุปกรณ์ที่ใช้ในการตัดไฟแรงต่ำ
อุปกรณ์นี้มีชื่อเรียกว่า
Switchgear
รูปแบบการตัดกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าของโรงงานแต่ละแห่งอาจแตกต่างกันไปตามชนิดของโรงงานและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้
ดังนั้นอย่าไปยึดถือว่าทุกอย่างต้องเป็นตามที่เขียนไว้ในที่นี้
ที่เขียนไว้ในที่นี้ก็เพื่อให้วิศวกรเคมีที่ยังไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับโรงงานได้มีความรู้พื้นฐานบ้างเกี่ยวกับการจ่ายไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง
ๆ ของโรงงาน
ที่เคยเห็นในโรงงานปิโตรเคมีนั้น
switchgear
ของมอเตอร์ไฟฟ้าต่าง
ๆ จะติดตั้งอยู่ในอาคารที่เรียกว่า
substation
(หรือจะแปลว่าสถานีไฟฟ้าย่อยก็คงจะไม่ผิด)
อาคารนี้เป็นที่ตั้งของหม้อแปลงไฟฟ้าและ
switchgear
โดยเป็นอาคารปิดที่มีการรักษาความดันภายในอาคารให้สูงกว่าภายนอก
โดยใช้การดูดอากาศจากที่สูงอัดเข้ามาในอาคารและให้รั่วออกสู่ข้างนอก
สาเหตุที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะป้องกันไม่ให้ไอเชื้อเพลิง
(ถ้าหากมีการรั่วไหล)
เล็ดรอดเข้าไปในอาคาร
เพราะอาจเกิดการจุดระเบิดจากอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง
ๆ ที่ติดตั้งอยู่ใน substation
นี้ได้
ในการเปิด-ปิดการทำงานของอุปกรณ์นั้น
(เช่นปั๊มที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า)
จะมีสวิตช์ปิด-เปิดอยู่บริเวณที่ตั้งอุปกรณ์
สวิตช์ตัวนี้ไม่ได้ปิด-เปิดกระแสไฟฟ้าที่จ่ายเข้าตัวอุปกรณ์โดยตรง
แต่จะไปควบคุม switchgear
ที่ทำหน้าที่ปิด-เปิดการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์นั้นอีกที
ในรูปที่ ๑
นั้นจะเห็นว่าสายไฟที่เป็นของสวิตช์สั่งการปิด-เปิดการทำงานของ
switchgear
(สายไฟในกรอบสีส้ม)
นั้นจะมีขนาดเล็กกว่าสายไฟที่จ่ายไฟให้กับมอเตอร์ไฟฟ้า
3
เฟสในรูป
(สายไฟในกรอบสีเขียว)
สายไฟที่เดินจาก
swichgear
มายังสวิตช์ควบคุมการปิด-เปิดและตัวมอเตอร์ไฟฟ้าเองนั้นจะใช้สายไฟเส้นเดียว
ไม่มีการต่อสายไฟระหว่างทาง
ดังนั้นในการออกแบบทางวิศวกรไฟฟ้าจะต้องทราบตำแหน่งที่แน่นอนของ
switchgear
ที่ติดตั้งใน
substation
และตำแหน่งที่ตั้งของมอเตอร์ไฟฟ้า
และเส้นทางการเดินสายไฟว่าจะเดินในเส้นทางไหน
จากนั้นจึงจะสามารถคำนวณได้ว่าต้องใช้สายไฟฟ้ายาวกี่เมตร
เนื่องจากอุปกรณ์แต่ละตัวนั้นแน่นอนว่าต้องติดตั้งในตำแหน่งที่แตกต่างกัน
(ก็มันไม่สามารถนำมาวางซ้อนกันบนตำแหน่งเดียวกันได้)
ดังนั้นความยาวสายไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์แต่ละตัวจึงแตกต่างกันไป
ตรงนี้ทำให้เกิดประเด็นที่ต้องนำมาพิจารณาว่าสายไฟแต่ละม้วนนั้นควรจะยาวเท่ากี่เมตรดี
รูปที่
๓ (บน)
ม้วนสายไฟ
(ล่าง)
ความยาวสายไฟและน้ำหนักของม้วนสายไฟ
สายไฟที่ส่งมานั้นจะมาเป็นม้วนใหญ่พันมากับแกนไม้
ส่วนม้วนจะใหญ่แค่ไหนขึ้นอยู่กับขนาดสายไฟ
ถ้าเป็นสายไฟเส้นใหญ่ก็จะเป็นม้วนใหญ่
สายไฟเส้นเล็กก็จะเป็นม้วนเล็ก
(ดูตัวอย่างในรูปที่
๓)
แต่ละม้วนสายไฟทางผู้ผลิตก็จะมีการระบุความยาว
(ผู้ใช้จะได้รู้ว่าใช้สำหรับอุปกรณ์ตัวไหน)
และน้ำหนัก
(ข้อมูลสำหรับการขนส่ง)
สังเกตดูนะว่าความยาวสายไฟเขาไม่ได้ปัดเป็นตัวเลขกลม
ๆ ต้องการยาวเท่าไรทางผู้ผลิตก็จัดให้เท่านั้น
สายไฟที่เหลือจากการวางสายนั้นก็ต้องทิ้งไป
ไม่มีการนำมาต่อกันเป็นเส้นยาว
ๆ เพื่อใช้งานใหม่
ดังนั้นตรงนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับฝีมือวิศวกรไฟฟ้าว่าเผื่อเอาไว้ได้ดีแค่ไหน
ถ้าเผื่อมากเกินไปก็จะมีสายเหลือทิ้งมาก
นั่นหมายถึงเงินที่ต้องทิ้งไปด้วย
แต่ถ้าเผื่อไว้น้อยเกินไป
ถ้าหากสายไฟม้วนนั้นมันยาวไม่พอ
ก็ต้องทิ้งทั้งม้วนและสั่งม้วนใหม่มา
ลองสมมุติว่าเรามีมอเตอร์ไฟฟ้าสัก
๕๐ ตัว ถ้าเรากำหนดความยาวสายไฟตามที่ตั้งของอุปกรณ์แต่ละตัว
เราก็จะต้องการม้วนสายไฟฟ้าที่มีความยาวแตกต่างกัน
๕๐ ขนาด (ความยาวนี้ก็ต้องเผื่อเอาไว้ด้วยนะ)
ด้วยวิธีการนี้เราก็จะมีเศษสายไฟเหลือต่ำสุด
แต่นั่นหมายความว่าเวลานำสายไฟไปติดตั้งนั้น
ต้องไม่นำไปติดตั้งผิดม้วน
เพราะถ้าเอาสายไฟม้วนยาวไปติดตั้งกับอุปกรณ์ที่ต้องการเพียงแค่ม้วนสั้น
มันก็ติดตั้งได้
แต่จะพบว่ามีเศษเหลือเยอะ
เช่นถ้าเรามีอุปกรณ์สองตัว
ตัวหนึ่งต้องการสายไฟยาว
๕๑๐ เมตร ในขณะที่อีกตัวหนึ่งต้องการสายไฟยาว
๕๕๐ เมตร ถ้าเราพลาดด้วยการเอาสายไฟม้วนยาว
๕๕๐ เมตรไปใช้กับอุปกรณ์ที่ต้องการสายยาวเพียงแค่
๕๑๐ เมตร มันก็เดินสายได้
แต่จะมีสายไฟเหลืออีก ๔๐
เมตร ส่วนสายไฟม้วนยาว ๕๑๐
เมตรนั้นจะไม่สามารถนำมาใช้กับอุปกรณ์ที่ต้องการสายไฟยาว
๕๕๐ เมตรได้ เพราะมันสั้นเกินไป
และต้องสั่งสายไฟม้วนยาว
๕๕๐ เมตรมาใหม่อีกม้วน
ในอีกทางเลือกหนึ่งนั้นถ้าเราแบ่งกลุ่มอุปกรณ์ออกตามตำแหน่งที่ตั้ง
เช่นเราพบว่ากลุ่มอุปกรณ์ที่ต้องการสายไฟยาวในช่วง
๔๕๐-๕๐๐
เมตรนั้นมีอยู่ ๑๐ ตัว
อุปกรณ์ที่ต้องการสายไฟยาวในช่วง
๕๐๐-๕๕๐
เมตรมีอยู่ ๘ ตัว
เราก็อาจสั่งม้วนสายไฟยาว
๕๐๐ เมตรมาทั้งสิ้น ๑๐
ม้วนเพื่อใช้สำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการสายไฟยาวในช่วง
๔๕๐-๕๐๐
เมตร และม้วนสายไฟยาว ๕๕๐
เมตรมาทั้งสิ้น ๘
ม้วนเพื่อใช้สำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการสายไฟยาวในช่วง
๕๐๐-๕๕๐
เมตร
ซึ่งจะทำให้ลดความวุ่นวายในการจัดเก็บและลดความสับสนในการนำไปใช้งาน
แต่นั่นหมายความว่าจะมีเศษสายไฟเหลือมากขึ้น
ซึ่งหมายถึงเงินที่ต้องทิ้งไป
ผมเองคงตอบไม่ได้ว่าแบบไหนดีกว่ากัน
ระหว่างการกำหนดม้วนสายไฟให้มีความยาวพอดีกับอุปกรณ์แต่ละตัว
ซึ่งจะทำให้มีเศษสายไฟเหลือน้อยสุด
แต่ต้องระวังความสับสนในการนำไปติดตั้งโดยเฉพาะถ้ามีม้วนสายไฟจำนวนมาก
กับการที่สั่งความยาวมาเผื่อไว้เป็นกลุ่ม
ๆ ซึ่งจะลดความสับสนในการจัดเก็บและการนำไปติดตั้ง
แต่จะมีสายไฟเหลือทิ้งมาก
เพราะผมเองก็เคยพบกับวิศวกรไฟฟ้าที่มีมุมมองที่แตกต่างกัน
ทั้งนี้คงเป็นเพราะประสบการณ์ของแต่ละคนด้วยว่าเคยพบกับปัญหาแบบไหนมาก่อน
ท้ายสุดนี้ต้องขอขอบคุณ บริษัท โอพีจีเทค จำกัด ที่อนุญาตให้เข้าไปถ่ายรูปในโรงงานเพื่อนำเอาเรื่องราวต่าง ๆ มาเล่าสู่กันฟังผ่านทาง Memoir นี้
ท้ายสุดนี้ต้องขอขอบคุณ บริษัท โอพีจีเทค จำกัด ที่อนุญาตให้เข้าไปถ่ายรูปในโรงงานเพื่อนำเอาเรื่องราวต่าง ๆ มาเล่าสู่กันฟังผ่านทาง Memoir นี้