เอกสารฉบับนี้แจกจ่ายเป็นการภายใน
ไม่นำเนื้อหาลง blog
บันทึกช่วยจำของกลุ่มวิจัยตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์ บันทึกความจำของวิศวกรเคมีผู้ลงมือปฏิบัติ (mo.memoir@gmail.com)
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
อันตรายจาก H2S คายซับจาก molecular sieve MO Memoir : Monday 25 February 2562
จดหมายข่าว
Safety
Alert ฉบับวันที่
๖ เดือนกันยายน ค.ศ.
๒๐๐๒
(พ.ศ.
๒๕๔๕)
นำเสนอเรื่อง
"Multiple
fatalities - H2S released from molecular sieves after
contact with water"
รายงานเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตจากแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์หรือ
H2S
ถึง
๓ รายในขณะที่ทำการถ่าย
molecular
sieves (ที่ใช้ในการดูดความชื้นจากแก๊สธรรมชาติเหลว)
ที่หมดสภาพการใช้งานแล้วลงสู่รถบรรทุก
โดยสถานที่เกิดเหตุคือ
"กระบะท้ายรถบรรทุก"
รูปที่
๑ แบบจำลองสถานที่เกิดเหตุที่วาดขึ้นตามความเข้าใจ
(บทความไม่มีรูปประกอบ)
โรงงานดังกล่าวผลิต
Lean
gas (แก๊สที่ไม่มีส่วนที่ควบแน่นเป็นของเหลว
หรือมีอยู่น้อยมาก
บางทีก็เรียกแก๊สนี้ว่า
Dry
gas) และ
Natural
Gas Liquid - NGL
(คือส่วนที่เป็นของเหลวที่ควบแน่นออกมาจากแก๊สที่ได้จากบ่อ
โดยเป็นส่วนไฮโดรคาร์บอนตั้งแต่
C3
ขึ้นไป)
โดยไฮโดรคาร์บอนที่ได้มาจากบ่อนั้นมีไอน้ำและ
H2S
ปะปนมาด้วย
กระบวนการประกอบด้วย
การเพิ่มความดันให้กับแกีส
การทำให้แก๊สเป็นของเหลว
การกำจัดความชื้น
ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการแยกเป็น
Lean
gas และ
Natural
Gas Liqiud ด้วย
cryogenic
process ต่อไป
ตัว
NGL
ที่เป็นของเหลวนั้นจะถูกนำไปผ่านเบด
molecular
sieve เพื่อกำจัดน้ำและ
H2S
ก่อนเข้าสู่กระบวนการ
cryogenic
และเมื่อ
molecular
sieve ดูดซับน้ำจนอิ่มตัวก็จะใช้แก๊สร้อนที่อุณหภูมิ
250ºC
ไล่ความชื้นออกเพื่อที่จะนำเอา
molecular
sieve กลับมาใช้งานใหม่
หลังจากไล่ความชื้นหมดแล้วก็จะลดอุณหภูมิของเบดด้วยการให้แก๊สที่เย็นไหลผ่าน
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม
ก็ยังคงต้องเปลี่ยน molecular
sieve ใหม่ทุก
ๆ ๓-๔
ปี การเปลี่ยนจะเริ่มด้วยการไล่ความชื้นออกจาก
molecular
sieve ก่อน
(เดาว่าคงทำเพื่อไล่ไฮโดรคาร์บอนที่มีจุดเดือดสูงที่ตกค้างอยู่ในตัว
molecular
sieve ออกไปด้วย)
จากนั้นจึงลดอุณหภูมิเบดให้เย็นลงด้วยการให้แก๊สเย็นไหลผ่าน
และการทำ nitrogen
purging
(แสดงว่าแก๊สเย็นที่ใช้ในการลดอุณหภูมิเบดนั้นไม่ได้เป็นแก๊สเฉื่อย)
แล้วจึงส่งคนเข้าทางด้านบนของเบดเพื่อลำเลียงเอา
molecular
sieve ออกมาและเทลงสู่กระบะท้ายรถบรรทุกที่รออยู่ทางด้านล่าง
กระบวนการนี้เคยทำมาหลายครั้งในช่วง
๒๐ ปีที่ผ่านมา
ในการลำเลียง
molecular
sieve ลงสู่ท้ายรถบรรทุกนั้น
จะเท molecular
sieve ที่นำออกมาจาก
dryer
(คือ
vessel
ที่บรรจุ
molecular
sieve) ผ่านปล่องเท
(chute)
ลงสู่กระบะท้ายรถบรรทุกที่ยกท้ายกระบะเทได้
(tipper
truck) ที่จอดรออยู่ข้างล่าง
รถบรรทุกที่จอดรอยู่นั้นมีขอบข้างสูง
ตัวกระบะท้ายรถถูกทำให้เปียกชุ่มด้วยน้ำและยังมีการทำให้
molecular
sieve ที่ตกลงมากองบนท้ายรถกระบะนั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ
ทั้งนี้เพื่อที่จะลดการที่สาร
pyrophoric
ที่อาจมีมากับตัว
molecular
sieve นั้นลุกติดไฟ
และยังช่วยไม่ให้เกิดผงผุ่นฟุ้งกระจาย
(สารประกอบซัลไฟล์บางชนิดเช่น
FeS
(ที่เกิดจากสนิมเหล็กทำปฏิกิริยากับ
H2S)
สามารถเกิดการลุกไหม้ได้เองในอากาศโดย
S2-
ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนโดยมีความร้อนคายออกมามาก
แม้ว่าอาจจะไม่เกิดการลุกติดไฟ
แต่ความร้อนที่เกิดขึ้นก็สามารถทำให้ไอเชื้อเพลิง
(ถ้ามีอยู่ในบริเวณนั้น)
ลุกติดไฟได้)
หลังจากได้ทำการเท
molecular
sieve ลงกระบะท้ายไปได้พักหนึ่ง
molecular
sieve ที่เทลงมาก็กองเป็นเนินอยู่ท้ายกระบะ
ผู้รับเหมาคนหนึ่งจึงตัดสินใจที่จะลงไปเกลี่ยกองเนินดังกล่าว
การลงไปท้ายกระบะใช้บันไดที่พาดอยู่ทางด้านหลังห้องคนขับ
หลังจากนั้นประมาณ ๑๐
นาทีก็มีผู้รับเหมาอีกคนลงไปช่วยงานคนแรก
แต่ไม่นานก็หมดสติไป
ผู้รับเหมาคนแรกจึงเข้าไปช่วยเหลือพร้อมกับผู้รับเหมาคนที่สามที่โดดลงมาช่วยจาก
platform
ของตัว
dryer
แต่ในที่สุดทั้งสามคนก็หมดสติและเสียชีวิต
ผู้รับเหมาคนที่สี่ที่ปีนขึ้นไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นก็หมดสติไปด้วย
แต่ทีมช่วยเหลือสามารถนำตัวออกมาได้ทันจึงรอดชีวิตออกมา
ผู้รับเหมาทั้ง ๔
รายที่ทำงานอยู่ทางด้านนอกนั้นไม่ได้มีอุปกรณ์ป้องกันแก๊สใด
ๆ ในระหว่างการทำงาน
จากการสอบสวนพบว่าทั้ง
๓ รายเสียชีวิตจากแก๊ส H2S
ที่สะสมอยู่ในกระบะท้ายรถที่เป็นพื้นที่กึ่งปิด
(semi-enclosed
spaceเพราะมีขอบข้างที่สูง)
โดย
H2S
นั้นคายซับออกมาจาก
molecular
sieve กล่าวคือในขั้นตอนการไล่น้ำออกจาก
molecular
sieve นั้นใช้แก๊สร้อน
(ที่เหลือจากกระบวนการผลิต)
ที่มี
H2S
ปนอยู่
830
ppm และตอนที่ทำการลดอุณหภูมิเบดให้เย็นลงหลังการไล่ความชื้น
(ซึ่งก็คงใช้แก๊สเย็นที่มี
H2S
ปนอยู่เช่นกัน)
H2S ก็จะถูก
molecular
sieve ดูดซับเอาไว้
H2S
ส่วนนี้ไม่ถูกไล่ออกในขั้นตอนการทำ
nitrogen
purging (การเอาแก๊สเฉื่อยไปไล่แก๊สเชื้อเพลิงออก)
แต่จะหลุดออกมาเมื่อ
molecular
sieve สัมผัสกับน้ำเนื่องจาก
molecular
sieve มีความชอบน้ำมากกว่า
H2S
ในเอกสารจดหมายข่าวนั้นได้สรุปความบกพร่องหลายประการที่นำไปสู่การเกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าวและนำเสนอแนวทางเพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดอีก
แต่โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าประเด็นสำคัญที่น่าจะหยิบมาพิจารณาคือ
"ทำไมงานเดียวกันนี้ทั้งนี้ทำแบบเดียวกันนี้มานาน
๒๐ ปีแล้วแต่ไม่เคยเกิดเรื่อง"
ความแตกต่างสำคัญระหว่างปีที่เกิดเหตุการณ์กับปีก่อนหน้าคือ
แก๊สที่เข้าสู่กระบวนการนั้นมี
H2S
ปนเปื้อนในปริมาณที่สูงขึ้นเรื่อย
ๆ โดยที่ผู้ทำงานไม่ทราบ
และไม่มีการให้ข้อมูลใด ๆ
จากทางผู้ผลิต molecular
sieve ด้วยว่ามันสามารถดูดซับ
H2S
เอาไว้ได้
และสามารถคายซับออกมาได้ถ้ามีน้ำเข้าไปแทนที่
ซึ่งประเด็นการคายซับนี้ทั้งตัวผู้รับเหมาและพนักงานของบริษัทนั้นต่างไม่ทราบมาก่อน
อันที่จริงเรื่องการเสียชีวิตเนื่องจากแก๊ส
H2S
เนี่ยในบ้านเราก็มีอยู่เรื่อย
ๆ เพียงแต่ว่ามักจะไม่ได้เป็นข่าวใหญ่หรือปรากฏออกมาในช่วงเวลานั้น
ๆ แล้วก็เงียบหายไป
สถานที่เกิดเหตุก็มีทั้งสถานที่ที่เห็นได้ว่าเป็นที่อับอากาศอย่างชัดเจน
(เช่นในหลุมหรือในบ่อ)
หรือเป็นสถานที่ที่เป็นที่โล่ง
แต่มีการรั่วไหลของแก๊ส
H2S
ออกมาในปริมาณมาก
(เช่นการเข้าไปปิดรอยรั่วที่ผ้าใบคลุมบ่อผลิตแก๊สชีวภาพ)
ความเป็นพิษของ
H2S
นั้นเพียงแค่ระดับไม่ถึง
1000
ppm ก็สามารถทำให้คนเสียชีวิตได้ในเวลาอันสั้น
ซึ่งแก๊สเข้มข้นมากนี้สามารถทำให้ผู้ได้รับแก๊สหมดสติอย่างรวดเร็วจนทำให้คนที่อยู่รอบข้างคิดว่าหมดสติจากสาเหตุอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับแก๊ส
จึงรีบเข้าไปช่วยเหลือ
ทำให้เกิดการเสียชีวิตตาม
ๆ กัน
ป้ายกำกับ:
อุบัติเหตุ,
ไฮโดรเจนซัลไฟด์,
H2S,
hydrogen sulfide
วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
MO ตอบคำถาม การทดลอง gas phase reaction ใน fixed-bed MO Memoir : Friday 22 February 2562
เมื่อค่ำวันวานมีอาจารย์ท่านหนึ่งจากห้องปฏิบัติการวิจัยในสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง
ที่ตั้งอยู่คนละฟากฝั่งแม่น้ำกับสถานที่ทำงานของผม
โทรมาสอบถามเรื่องปัญหาเกี่ยวกับการทำการทดลอง
อันที่จริงก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ที่ตอนวันวาเลนไทน์แล้วเขาก็เคยโทรมาปรึกษาครั้งหนึ่ง
ซึ่งจะว่าไปแล้วเรื่องที่เขาถามนั้นจะว่าไปก็เป็นเรื่องที่ผมเองก็พบเห็นมานานแล้วตั้งแต่กลับมาทำงานใหม่
ๆ เมื่อกว่า ๒๐ ปีที่แล้ว
และบางเรื่องก็เคยเขียนลง
blog
เอาไว้เหมือนกัน
และบังเอิญคราวนี้มีคำถามแบบเดียวกันมาเป็นชุด
ๆ ก็เลยขอรวบรวมเอาไว้เสียหน่อย
(เผื่อ
google
จะได้มีโอกาสหาเจอมากขึ้นเวลามีคนค้นหาคำตอบของคำถามแบบนี้)
เพราะมันเป็นเรื่องที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเขียนเอาไว้
และบางเรื่องมันเป็นเรื่องที่วิธีการแก้ปัญหานั้นได้จากประสบการณ์ที่ลงมือทำโดยตรง
ไม่ใช่ได้จากฟังคนอื่นเขาบอกเล่ามาอีกที
ปฏิกิริยาที่เขาทดลองนั้นเป็นปฏิกิริยาในเฟสแก๊สที่เกิดขึ้นใน
fixed-bed
catalytic reactor ที่อุณหภูมิสูง
ในการทดลองนั้นเขาผสมแก๊ส
๒ ตัวคือ A
และ
B
เข้าด้วยกัน
โดยแก๊ส A
มีอัตราการไหลที่ต่ำกว่าแก๊ส
B
มาก
(คือประมาณ
10%)
การวัดอัตราการไหลใช้
bubble
flow meter โดยใช้เส้นทาง
bypass
ที่ไม่ผ่าน
reactor
ส่วนแก๊สขาออกจาก
reactor
นั้นเข้าสู่ระบบเก็บตัวอย่างเพื่อวิเคราะห์ด้วยเครื่อง
gas
chromatograph (GC)
รูปข้างล่างเป็นรูปที่ผมวาดขึ้นเองจากจินตนาการที่ฟังเขาเล่าให้ฟัง
แต่ก็คิดว่าน่าจะใกล้เคียงกับของจริง
เพราะตอนที่ผมเสนอแนะวิธีแก้ปัญหาให้เขาผมก็อิงเอาจากรูปที่ผมสร้างขึ้นจากจินตนาการรูปนี้
ถ้าของจริงกับที่ผมฝันเอาไว้มันเป็นคนละเรื่องกันเลยล่ะก็
แสดงว่าวิธีแก้ปัญหาที่ผมแนะนำให้เขาไปคงจะไม่ได้ผล
รูปที่
๑ แผนผังระบบการทำปฏิกิริยา
แก๊ส A
ที่มีอัตราการไหลที่ต่ำ
(ประมาณ
10%
ของแก๊ส
B)
จ่ายมาจากถังที่ความดัน
P0
ก่อนผ่านวาล์วปรับอัตราการไหล
และผสมรวมเข้ากับแก๊ส B
ด้วยการใช้ข้อต่อ
๓ ทาง (Tee)
โดยให้แก๊สแต่ละสายเข้ามาบรรจบแบบไหลชนกันและออกตรงกลาง
(แก๊สทั้งคู่เป็น
reactant
gas ไม่มีการผสมแก๊สเฉื่อย)
การวัดอัตราการไหลใช้
bubble
flow meter โดยใช้เส้นทาง
bypass
ตัว
reactor
และวัดที่อุณหภูมิห้องและความดันบรรยากาศ
ส่วนการทำปฏิกิริยานั้นทำปฏิกิริยาที่อุณหภูมิหลายร้อยองศาเซลเซียส
แก๊สที่ออกจาก reactor
ต่อไปยังระบบเก็บตัวอย่างเพื่อวิเคราะห์ด้วยเครื่อง
GC
ทีนี้ก็ลองมาดูกันนะครับว่ามีคำถามอะไรบ้าง
และผมได้ให้ความเป็นไปอย่างไร
๑.
การนำผงตัวเร่งปฏิกิริยาไปอัดเป็นแผ่นแล้วตัดให้เป็นชิ้นเล็ก
ๆ มีผลหรือไม่ต่อผลการทดลอง
ตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธัพันธ์ที่เป็นของแข็งที่เตรียมกันในระดับห้องปฏิบัติการนั้นมักจะมาในรูปของผงละเอียด
ถ้าเป็นการทดลองกับปฏิกิริยาในเฟสของเหลว
ก็มักจะใช้ในรูปที่เป็นผงนั้นเลย
แต่ถ้าเป็นการทดลองกับปฏิกิริยาในเฟสแก๊สใน
fixed-bed
ก็เห็นมีการทำกันอยู่
๒ รูปแบบคือ รูปแบบแรกก็ใช้ในรูปที่เป็นผงนั้นเลย
และรูปแบบที่สองที่จะนำผงตัวเร่งปฏิกิริยานั้นไปอัดให้เป็นแผ่นก่อน
จากนั้นก็ตัดให้เป็นชิ้นเล็ก
ๆ (แต่ก็ยังมีขนาดที่ใหญ่กว่าอนุภาคที่เป็นผงแต่ละอนุภาคมาก)
นำไปร่อนผ่านตะแกรงเพื่อคัดขนาด
แล้วจึงค่อยนำไปใช้ในการทดลอง
คำถามแรกก็คือ
ทั้งสองรูปแบบนั้นมันให้ผลที่เหมือนกันหรือแตกต่างกัน
ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นพบว่ามันไม่เหมือนกัน
เพราะมันมีเรื่องของการแพร่
(diffusion)
เข้ามายุ่ง
ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นผงละเอียดนั้น
ทุกอนุภาคของตัวเร่งปฏิกิริยาจะสัมผัสกับแก๊สที่ไหลผ่าน
(convection)
ดังนั้นโอกาสที่จะมี
external
mass transfer resistance จึงต่ำกว่า
และถ้าหากผงตัวเร่งปฏิกิริยามีขนาดเล็กลงจนถึงระดับหนึ่งแล้ว
ปัญหาเรื่อง internal
mass transfer resistance ก็จะหมดไปด้วย
ดังนั้นถ้าการทดลองนั้นต้องการวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยาที่แท้จริง
ซึ่งอัตราการหายไปของสารตั้งต้นนั้นต้องไม่ถูกจำกัดด้วยอัตราเร็วในการแพร่
การใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาในรูปแบบที่เป็นผงละเอียดจะให้ผลที่ถูกต้องมากกว่า
การนำเอาผงตัวเร่งปฏิกิริยาไปอัดให้เป็นแผ่นแล้วตัดให้เป็นชิ้นเล็ก
ๆ
นั้นจะมีเฉพาะผงอนุภาคที่อยู่บนพื้นผิวชิ้นตัวเร่งปฏิกิริยาแต่ละชิ้นเท่านั้นที่ได้สัมผัสกับสารตั้งต้นในเฟสแก๊สแบบไม่มี
external
mass transfer resistance
ส่วนผงอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาที่อยู่ข้างในชิ้นอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยานั้น
จะได้รับเฉพาะสารตั้งต้นที่แพร่ผ่านช่องว่างระหว่างอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาแต่ละอนุภาคที่แพร่เข้าไปถึงเท่านั้น
และถ้าเป็นกรณีของปฏิกิริยาคายความร้อนด้วย
โอกาสที่สารตั้งต้นจะแพร่เข้าไปถึงผงอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาที่อยู่บริเวณตอนกลางของชิ้นตัวเร่งปฏิกิริยาแต่ละชิ้นจะน้อยลงไปอีก
(คำอธิบายตรงนี้มันอยู่ในเรื่อง
effectiveness
factor หรือค่า
)
เมื่อกว่า
๒๐ ปีที่แล้วเคยมีนิสิตปริญญาเอกคนหนึ่งมาถามผมด้วยคำถามเดียวกันนี้
(ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะเป็นผู้มีตำแหน่งใหญ่โตในสายงานวิจัยของบริษัทยักษ์ใหญ่ชั้นแนวหน้าของไทยบริษัทหนึ่ง)
ผมก็ถามเขากลับไปว่าผมก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมคุณต้องทำแบบนั้น
คุยกันไปคุยกันมาก็เลยรู้ว่าที่กลุ่มของเขาทำแบบนั้นเพราะไปลอกวิธีการจากแลปที่ญี่ปุ่นที่อาจารย์ที่ปรึกษาไปเห็นมา
(คือเห็นเขาทำอย่างนั้นก็เลยทำตามโดยไม่คิดอะไร)
และพอมีรุ่นพี่เคยใช้วิธีการนี้
(คืออัดให้เป็นแผ่นก่อนแล้วค่อยตัดเป็นชิ้นเล็ก
ๆ)
รุ่นน้องต่อ
ๆ มาก็เลยต้องทำแบบเดียวกัน
ด้วยเกรงว่าจะไม่สามารถนำผลการทดลองมาเปรียบเทียบกันได้
และมันก็เป็นอย่างนั้นจริง
เพราะเมื่อเขาทดลองใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาในรูปแบบที่เป็นผงละเอียดตามที่ผมแนะนำ
และใช้ในปริมาณที่น้อยกว่าด้วย
กลับได้ค่า conversion
สูงกว่าเมื่อใช้ในรูปแบบที่เป็นชิ้นเล็ก
ๆ
ตรงจุดนี้ผมก็ได้บอกเขาไปว่าคุณคงต้องเลือกเอาระหว่าง
การยอมเสียเวลานำตัวเร่งปฏิกิริยาของรุ่นพี่มาทำการทดลองใหม่ในรูปแบบที่เป็นผงละเอียด
เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลากับการนำผงตัวเร่งปฏิกิริยาที่เตรียมได้นั้นมาอัดเป็นแผ่น
ตัดเป็นชิ้นเล็ก และนำมาค่อนเพื่อคัดขนาด
หรือจะไม่ไปยุ่งอะไรกับผลการทดลองของรุ่นพี่
โดยมายอมเสียเวลานำผงตัวเร่งปฏิกิริยาที่เตรียมได้นั้นมาอัดเป็นแผ่น
ตัดเป็นชิ้นเล็ก แล้วนำมาร่อน
สำหรับทุกตัวเร่งปฏิกิริยาที่เตรียมขึ้นใหม่
ซึ่งมันจะเป็นวิธีการที่รุ่นน้องต้องทำสืบเนื่องต่อไปเรื่อย
ๆ โดยไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดเมื่อใด
ซึ่งสิ่งที่เขาเลือกก็คือ
....
(เชิญเดาเอาเองครับ)
ส่วนตัวผมเองนั้น
ผมไม่เคยให้นิสิตนำผงตัวเร่งปฏิกิริยาที่เตรียมได้มาขึ้นรูปให้เป็นชิ้นเล็ก
(เพราะไม่มีความจำเป็นใด
ๆ ที่ต้องทำเช่นนั้น)
แต่การใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาในรูปของผงละเอียดก็ใช่ว่าไม่มีปัญหานะ
ตรงนี้มันมีหลายประเด็นที่ต้องคำนึงอยู่เหมือนกัน
อย่างแรกก็คือถ้าหากในรูปแบบที่เป็นผงนั้นมันฟุ้งกระจายได้ง่าย
การใช้งานมันก็จะยาก
เพราะเมื่อเราชั่งน้ำหนักที่แน่นอนของมันก่อนบรรจุ
reactor
มันอาจเกิดการฟุ้งหายไปบางส่วนในขณะบรรจุได้
ทำให้น้ำหนักจริงที่ใส่
reactor
นั้นน้อยกว่าที่ชั่งได้
และก็บอกไม่ได้ด้วยว่ามันหายไปเท่าใด
ผมเองก็เคยเจอปัญหานี้กับ
support
บางตัว
(TiO2
P25) แต่แก้ปัญหาด้วยการพรมน้ำให้มันชื้นก่อน
จากนั้นนำไปอบให้แห้งและค่อยนำมาบดใหม่
ความเป็นฝุ่นฟุ้งกระจายง่ายมันก็หายไป
เนื่องด้วยตัวเร่งปฏิกิริยาในรูปของผงละเอียดนั้นไม่มีปัญหาเรื่องการแพร่เข้าถึงอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาแต่ละอนุภาค
ดังนั้นถ้าใช้น้ำหนักตัวเร่งปฏิกิริยาในการทดลองเท่ากัน
การใช้ในรูปที่เป็นผงนั้นจะให้ค่า
conversion
ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับการใช้เป็นชิ้นเล็ก
แต่ด้วยการที่มันเป็นผงละเอียดก็จะทำให้ค่า
pressure
drop คร่อมเบดตัวเร่งปฏิกิริยาสูงตามไปด้วย
ซึ่งปัญหาตรงนี้แก้ได้ด้วยการลดปริมาณที่ใช้
ซึ่งเป็นทั้งลด pressure
drop คร่อมเบด
การประหยัดปริมาณตัวเร่งปฏิกิริยาในแต่ละการทดลอง
โดยที่ยังคงรักษาระดับ
conversion
ที่สูงเอาไว้ได้
ปัญหาสำคัญอีกปัญหาหนึ่งที่มักถูกมองข้ามไปในการทำการทดลองด้วย
fixed-bed
ก็คือ
การเกิด channelling
ซึ่งหมายถึงการที่แก๊สจำนวนหนึ่งไหลผ่านบริเวณขอบผนังไปโดยไม่ไหลเข้าไปบริเวณตอนกลางของเบด
ใน
fixed-bed
นั้นบริเวณผนังจะมี
void
fraction สูงกว่าบริเวณตอนกลางเบด
ดังนั้นถ้าวัดความเร็วของแก๊สที่ไหลผ่านเบดที่ตำแหน่งแนวรัศมีต่าง
ๆ กันนั้นจะพบว่าบริเวณใกล้ผนังแก๊สจะไหลผ่านเร็วสุด
ความแตกต่างนี้จะเด่นชัดมากขึ้นถ้าหากอนุภาคของแข็งนั้นมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเบด
และ/หรือเบดมีความสูงไม่มากเมื่อเทียบกับขนาดอนุภาคของแข็งที่บรรจุอยู่
ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่อง
channelling
นี้
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของ
reactor
ต่อขนาดอนุภาคควรมีค่าไม่ต่ำกว่า
10
และถ้ามีสัดส่วนที่มากกว่านี้ก็จะทำให้
velocity
profile ของการไหลผ่าน
fixed-bed
เข้าใกล้กับ
plug
flow มากขึ้น
๒.
ควรใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาเท่าไรดี
คำตอบของคำถามนี้ก็คือใช้ในปริมาณที่ทำให้การวัดค่า
conversion
นั้นไม่น้อยเกินไปและไม่สูงเกินไป
ซึ่งตรงนี้คงต้องทำการทดลองหาเอาเอง
เพราะถ้าใช้น้อยจนกระทั่งทำให้ได้ค่า
conversion
ต่ำ
พอนำตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีความว่องไวต่ำกว่ามาทำการทดลอง
ก็จะมองเห็นความแตกต่างไม่ชัดเจน
(บอกไม่ได้ว่าเกิดจากความคลาดเคลื่อนของการทดลองหรือไม่)
แต่ถ้าใช้มากเกินไปจนทำให้ได้ค่า
converison
ที่ระดับ
100%
ก็จะบอกไม่ได้ว่าใช้ตัวเร่งปฏิกิริยามากเกินจำเป็นไปเท่าใด
คือตัวเร่งปฏิกิริยาไม่ว่าจะว่องไวมากหรือน้อย
ถ้าใส่มากถึงระดับหนึ่งมันก็จะได้ค่า
conversion
100% เหมือนกันหมด
เช่นเพื่อให้ได้
conversion
100% ต้องใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา
A
0.2 g ตัวเร่งปฏิกิริยา
B
0.3 g และตัวเร่งปฏิกิริยา
C
0.4 g แต่ถ้าในการทดลองนั้นเราใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาชนิดละ
0.5
g เราก็จะเห็นค่า
conversion
ที่ได้เป็น
100%
กับทุกตัวเร่งปฏิกิริยา
ในกรณีเช่นนี้ควรใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาในการทดลองน้อยกว่า
0.2
g เพื่อให้เห็นว่าค่า
conversion
ที่ได้จากตัวเร่งปฏิกิริยา
A
นั้นยังต่ำกว่า
100%
จะได้มั่นใจได้ว่าไม่ได้ใส่ตัวเร่งปฏิกิริยา
A
มากเกินจำเป็น
๓.
ทำไมเมื่อวัดผ่าน
bypass
แล้วอัตราการไหลลดลง
ตรงนี้ต้องขอให้พิจารณารูปที่
๑ คำถามที่เขาถามผมมาก็คือ
ก่อนเริ่มทำการทดลองนั้นวัดอัตราการไหลของแก๊ส
A
โดยใช้เส้นทาง
bypass
ได้ค่า
ๆ หนึ่ง
พอวันถัดมาเมื่อสิ้นสุดการทดลองก็วัดอัตราการไหลของแก๊ส
A
ซ้ำ
กลับพบว่ามันลดลงไปประมาณ
10%
ในเมื่อความดันด้านขาเข้าวาล์วปรับอัตราการไหล
(P0)
นั้นคงที่
และก็ไม่มีใครไปยุ่งอะไรกับวาล์วปรับอัตราการไหล
การวัดอัตราการไหลของเขานั้นใช้
bubble
flow meter ที่เป็นการวัดที่อุณหภูมิห้องและความดันบรรยากาศ
ดังนั้นถ้าอุณหภูมิของระบบท่อที่เป็นเส้นทางการไหลนั้นประมาณได้ว่าเปลี่ยนแปลงไม่มาก
และท่อก็ไม่ได้มีขนาดเล็กมาก
การเปลี่ยนแปลงถึงระดับ
10%
นี่ก็เป็นเรื่องแปลก
ซึ่งผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร
จริงอยู่แม้ว่าจะเป็นการวัดที่ความดันบรรยากาศ
แต่ถ้าเส้นทางการไหลของแก๊สมีขนาดเล็กและก่อนมาถึง
bubble
flow meter นั้นมีอุณหภูมิสูงขึ้น
มันก็เป็นไปได้ที่จะเห็นแก๊สไหลช้าลง
แต่ในระบบที่เขาเล่าให้ผมฟังนั้นคิดว่าไม่น่าเป็นเช่นนี้
ประเด็นหนึ่งที่ผมสงสัยคือการวัดด้วย
bubble
flow meter ท่อแก้วของ
bubble
flow meter ที่เขาใช้นั้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ
8
mm ซึ่งถ้าเป็นการวัดอัตราการไหลที่สูงก็ไม่มีปัญหาอะไร
แต่ถ้าเป็นการวัดอัตราการไหลที่ต่ำจะมีความคลาดเคลื่อนได้สูง
เพราะระยะเวลาที่ฟองสบู่จะเคลื่อนที่ผ่านเส้นขีดบอกปริมาตรที่เล็งอยู่นั้นค่อนข้างจะมาก
ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการจับเวลาได้มาก
(ขึ้นอยู่กับคนเล็งแต่ละคนว่าเล็งตรงตำแหน่งไหนของเส้นขีดบอกปริมาตร)
สิ่งที่ผมแนะนำให้เขาทดลองทำก็คือลองเอา
graduated
pipette ขนาดไม่เกิน
10
ml มาเป็นตัววัดปริมาตรของแก๊สที่ไหลออกมา
เพราะปิเปตที่มีขนาดเล็กจะทำให้เห็นฟองสบู่เคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น
ความคลาดเคลื่อนจากการจับเวลาเมื่อฟองสบู่เคลื่อนถึงขีดบอกปริมาตรที่กำหนดไว้ก็จะลดลงไปด้วย
๔.
ทำไมแก๊สหายไปเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น
อันนี้เป็นปัญหาที่หลายรายไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้น
เพราะตอนที่ปรับอัตรการไหลนั้นกระทำที่อุณหภูมิห้อง
และในช่วงแรกที่อุณหภูมิเบดสูงขึ้นก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร
ก็เลยคิดว่ามันไม่มีปัญหาอะไร
แต่ถ้าทดลองวัดอัตราการไหลผ่านเบดที่อุณหภูมิสูง
หรือวัดความเข้มข้นของสารตั้งต้นที่ไหลผ่านเบดที่อุณหภูมิสูง
(โดยใช้
inert
material บรรจุแทนตัวเร่งปฏิกิริยา)
ก็มีสิทธิ์ที่จะเห็นสารตั้งต้นบางตัวหายไป
ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีปฏิกิริยาใด
ๆ เกิดขึ้น
ปัญหานี้มักจะเกิดกับผู้ที่ใช้แก๊สหลายตัวมาผสมกันในระบบท่อก่อนผ่านแก๊สผสมไปยังเบดตัวเร่งปฏิกิริยา
ปัญหามันอยู่ตรงที่การต่อท่อแก๊สสองตัวเข้าด้วยกัน
คือถ้าต่อถูกวิธีมันจะไม่มีปัญหาใด
ๆ แต่ถ้าต่อไม่ถูกวิธีมันมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาได้
โดยเฉพาะเมื่อแก๊สตัวหนึ่งมีอัตราการไหลที่สูงกว่าอีกตัวหนึ่งมาก
อย่างเช่นในกรณีที่เขาถามผมมา
แก๊ส A
ที่มีอัตราการไหลเพียงแค่ประมาณ
10%
ของแก๊ส
B
นั้นหายไปเมื่ออุณหภูมิของเบดเพิ่มสูงขึ้น
(จากการวัดด้วย
GC)
สิ่งที่ผมถามเขาก็คือเขาต่อท่อแก๊สให้ผสมกันแบบไหน
คำตอบที่ได้ก็คือใช้ข้อต่อ
๓ ทาง (Tee)
โดยให้แก๊ส
A
และ
B
เข้าทางด้านตรงข้ามกัน
และให้แก๊สผสมไหลออกตรงกลางดังแสดงในรูปที่
๑
การต่อแบบนั้นถ้าเป็นกรณีที่แก๊สทั้งสองสายนั้นมีอัตราการไหลที่สูงพอ
ๆ กันก็อาจจะไม่เห็นปัญหาใด
ๆ แต่ถ้าแก๊สตัวหนึ่งไหลต่ำกว่าอีกตัวหนึ่งมาก
มีโอกาสสูงที่จะพบว่าแก๊สที่มีอัตราการไหลต่ำนั้นจะหายไปเมื่ออุณหภูมิเบดเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้เป็นเพราะความต้านทางการไหลด้าน
downstream
เพิ่มขึ้น
วิธีการที่ดีกว่าคือการให้แก๊สที่มีอัตราการไหลสูงนั้นไหลในแนวตรงของข้อต่อ
และให้แก๊สที่มีอัตราการไหลต่ำเข้าบรรจบทางด้านข้าง
เรื่องนี้เคยอธิบายไว้อย่างละเอียดใน
Memoir
ปีที่
๓ ฉบับที่ ๒๗๕ วันพุธที่ ๒๓
มีนาคม ๒๕๕๔ เรื่อง
"การใช้ข้อต่อสามทางผสมแก๊ส"
แก๊สมันไม่เหมือนของเหลวตรงที่แก๊สสามารถอัดตัวได้
ดังนั้นถ้าความต้านทางด้าน
downstream
(P1) เพิ่มสูงขึ้น
แต่ยังต่ำกว่าความดันทางด้าน
upstream
(P0) แก๊สก็ยังไหลผ่านวาล์วได้อยู่
แต่จะไปสะสมตรงในเส้นท่อก่อนจะถึงจุดผสม
การแก้ปัญหานั้นนอกจากการปรับแนวท่อใหม่
(ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรต้องทำ)
ก็อาจใช้การเพิ่มความดันด้านขาเข้าวาล์วปรับอัตราการไหลให้สูงขึ้น
แต่ก็ต้องแลกด้วยการเปิดวาล์วนั้นให้น้อยลง
ซึ่งถ้าพบว่าต้องเปิดวาล์วน้อยมาก
แสดงว่าวาล์วที่ใช้นั้นมีขนาดใหญ่เกินไป
ควรพิจารณาเปลี่ยนไปใช้วาล์วที่มีขนาดเล็กลง
แต่ก็ต้องไม่เล็กจนกระทั่งต้องเปิดวาล์วเกือบสุดจึงจะได้อัตราการไหลที่ต้องการ
สำหรับวันนี้ก็คงจะขอสรุปจบเพียงแค่นี้
ป้ายกำกับ:
การผสมแก๊ส,
เบดนิ่ง,
อัตราการไหล,
fixed-bed
วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
แนวทางหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์นิสิตรหัส ๖๐ (ตอนที่ ๖) MO Memoir : Tuesday 19 February 2562
เอกสารฉบับนี้แจกจ่ายเป็นการภายใน
ไม่นำเนื้อหาลง blog
เนื้อหาในเอกสารฉบับนี้เกี่ยวกับการสร้าง
calibration
curve ของโทลูอีน
ปิดท้ายที่ว่างของหน้าด้วยภาพบรรยากาศบนชั้น
๔ ของหอสมุดกลางเมื่อราว ๆ
๕ โมงเย็นวันวานก็แล้วกัน
ที่อ่านหนังสือมุมนี้เขาใช้ระบบเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ
กล่าวคือถ้าไม่มีคนเดินไฟมันจะปิด
มันก็เลยมีปัญหาเพราะเวลาที่ไม่มีใครเดิน
มีแต่คนนั่งอ่านหนังสือตามโต๊ะ
ไฟมันก็เลยปิดมืด
สงสัยเขาคงกลัวคนนั่งติดเก้าอี้มากเกินไป
:)
:) :)
ป้ายกำกับ:
โทลูอีน,
calibration curve
วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
UVCE case 6 Puerto Rico 2552(2009) MO Memoir : Sunday 17 February 2562
ในคืนวันศุกร์ที่
๒๓ ตุลาคม พ.ศ.
๒๕๕๒
(ค.ศ.
๒๐๐๙)
ได้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นที่คลังน้ำมัน
Caribbean
Petroleum Corporation (CAPECO) ที่เมือง
Bayamón,
Puerto Rico ในระหว่างการถ่ายน้ำมันเบนซินจากเรือบรรทุกมายังถังเก็บ
ก่อให้เกิดความเสียหายต่อถังเก็บน้ำมันจำนวนทั้งสิ้น
๑๗ ถังจาก ๔๘ ถัง
เพลิงได้ลุกไหม้อยู่นานประมาณ
๖๐ ชั่วโมงจึงสามารถดับลงได้
เรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้นำมาจากรายงานการสอบสวนฉบับสมบูรณ์เรื่อง
"FINAL
INVESTIGATION REPORT: CARIBBEAN PETROLEUM TANK TERMINAL EXPLOSION AND
MULTIPLE TANK FIRES. CARIBBEAN PETROLEUM CORPORATION (CAPECO)
BAYAMÓN, PUERTO RICO OCTOBER 23, 2009" ที่จัดทำโดย
U.S.
Chemical Safety and Hazard Investigation Board หรือที่เรียกกันย่อ
ๆ ว่า CSB
และคลิปวิดิโอเรื่อง
"Filling
Blind" ที่จำลองการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวที่จัดทำโดย
CSB
เช่นกัน
รูปที่
๑ ภาพหน้าปกรายงานการสอบสวน
แสดงให้เห็นเพลิงไหม้ที่กำลังลุกไหม้อยู่
ในการทำงานปรกตินั้น
ในแต่ละกะ (shift)
ของการทำงาน
คลังน้ำมันดังกล่าวจะมีพนักงานทำงานอยู่
๔ คน คือหัวหน้ากะ (shift
supervisor) ๑
คน tank
farm operator ๒
คน และพนักงานประจำระบบบำบัดน้ำเสียอีก
๑ คน เมื่อมีการลำเลียงน้ำมัน
tank
farm operator จะเป็นผู้ทำหน้าที่เปิด-ปิดวาล์วต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง
และเดินออกอ่านค่าระดับน้ำมันในแต่ละ
tank
ที่วัดด้วย
Float
and Tape side gauge (รูปที่
๓ และ ๔)
ทุก
๑ ชั่วโมง
แล้วรายงานระดับที่อ่านได้ไปให้หัวหน้ากะทราบเพื่อทำการคำนวณเวลาที่ต้องใช้ในการเติมน้ำมันให้เต็มแต่ละถัง
(ถังในที่นี้คือ
tank)
ซึ่งการถ่ายน้ำมันแต่ละครั้งมักจะใช้เวลานานข้ามกะกัน
นอกจากนี้ tank
farm operator ยังมีหน้าที่ตรวจสอบด้วยว่า
water
drain valve (วาล์วระบายน้ำออกจาก
dike)
นั้นปิดอยู่หรือไม่ด้วย
รูปที่
๒ แผนที่ภาพถ่ายดาวเทียม
คลังน้ำมันที่เกิดเหตุอยู่ในกรอบสีส้ม
Float and Tape side gauge ประกอบด้วยตัวทุ่นลอย
(float)
ที่มีน้ำหนักที่ผูกอยู่กับสายเทป
(tape)
น้ำหนักของตัวทุ่นลอยจะทำให้เกิดแรงดึงในสายเทปที่ปลายอีกข้างหนึ่งจะอยู่ที่อุปกรณ์แสดงระดับของเหลวในถัง
ฝั่งด้านอุปกรณ์แสดงระดับจะมีการถ่วงแรงดึงที่เกิดจากแรงดึงของสายเทป
กล่าวคือถ้าระดับของเหลวในถังลดต่ำลง
ตัวทุ่นลอยก็จะตกลง
แรงดึงในสายเทปก็จะเพิ่มขึ้นก็จะมีการผ่อนสายเทปออกมาจากอุปกรณ์แสดงระดับจนกว่าแรงดึงจะเข้าสู่สมดุลใหม่
ในทางกลับกันถ้าระดับของเหลวในถังเพิ่มขึ้น
ตัวทุ่นลอยก็จะลอยขึ้น
ทำให้แรงดึงในสายเทปลดลง
ฝั่งด้านอุปกรณ์แสดงระดับก็จะทำการม้วนเก็บสายเทปจนกระทั่งแรงดึงเข้าสู่สมดุลใหม่
ข้อเสียของระบบนี้คือมีแรงเสียดทานที่มากระหว่างระบบลูกรอก
(อย่างน้อยก็สองตัว)
ที่ใช้ในการพาดสายเทป
อุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่วงแรงดึง
และส่วนของชุดแสดงผล
ทำให้ความแม่นยำของอุปกรณ์นี้อยู่ที่ระดับประมาณ
10
mm ระบบนี้เป็นระบบเก่าและมีความแม่นยำต่ำกว่า
servo
gauge ที่ใช้การหย่อน
displacer
ลงมาโดยตรงจากด้านบนของตัว
tank
ที่ไม่มีการใช้ระบบรอก
(เรื่องของ
servo
gauge นี้ได้เล่าไว้ใน
Memoir
ฉบับที่แล้ว
(วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา)
ที่ใช้กับ
tank
ในกรณีของเหตุการณ์ที่
Buncefield
แล้วความคลาดเคลื่อนระดับ
10
mm นี่มันสำคัญแค่ไหน
ถ้าเราลองสมมุติว่าเรามีถังน้ำมันขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
50
m ระดับของเหลวที่แตกต่างกัน
1
mm หมายถึงปริมาตรที่แตกต่างกันประมาณ
2
m3 หรือ
2000
ลิตร
ถ้าตีว่าน้ำมันราคาลิตรละประมาณ
20
บาท
(ราคาไม่รวมภาษี)
ปริมาตรที่อ่านผิดไป
2000
ลิตรก็จะเทียบเท่ากับมูลค่าน้ำมันประมาณ
40000
บาท
ต่อมาได้มีการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม
เพื่อส่งค่าระดับที่วัดได้ไปยังห้องควบคุม
แต่อุปกรณ์นี้ก็มักจะมีปัญหาเป็นประจำ
ทำให้การอ่านค่าจึงยังต้องพึ่งพาการมาอ่านค่าที่ตัว
gauge
ข้างถังน้ำมันเหมือนเดิม
รูปที่
๓ การวัดระดับน้ำมันในถังใช้
Float
and Tape side gauge ที่เดิมนั้นต้องมาอ่านค่าที่ข้างถัง
แต่ต่อมามีการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมเพื่อส่งค่าที่อ่านได้ไปยังห้องควบคุม
(ภาพจากรายงานการสอบสวน)
รูปที่
๔ Float
and Tape side gauge ที่ใช้วัดระดับน้ำมัน
(ภาพจากรายงานการสอบสวน)
อุปกรณ์วัดชนิดนี้ใช้ระบบกลไก
(mechanical)
ในการหมุนเก็บและคลี่เทปที่เชื่อมต่อกับตัวทุ่นลอย
ในวันพุธที่
๑๑ ตุลาคม
ทางคลังน้ำมันต้องรับน้ำมันเบนซินที่ส่งมาทางเรือจำนวน
11.5
ล้านแกลลอน
(หน่วยแกลลอนในที่นี้คือ
US
gallon ซึ่งเท่ากับ
3.785
ลิตร)
แต่เนื่องด้วยถังน้ำมันที่มีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะรองรับน้ำมันปริมาณนี้ได้ทั้งหมด
(ถังหมายเลข
107
ที่มีความจุ
21
ล้านแกลลอน)
มีน้ำมันบรรจุอยู่แล้ว
ทำให้ทางคลังน้ำมันวางแผนที่จะแบ่งน้ำมันเข้าสู่ถังขนาดเล็กกว่าจำนวน
5
ถังด้วยกัน
และคาดว่าจะใช้เวลาในการลำเลียงนานว่า
24
ชั่วโมง
ท่อส่งน้ำมันจากเรือและแยกเข้าถังต่าง
ๆ นั้นเป็นท่อขนาด 16-18
นิ้ว
ความดันของน้ำมันที่ส่งมาอยู่ที่ประมาณ
125
psig (8 เท่าของความดันบรรยากาศ)
ในกรณีที่ต้องมีการถ่ายน้ำมันเข้าถังหลายถังต่อเนื่องกันนั้น
ทางโอเปอร์เรเตอร์จะเปิดวาล์ว
(gate
valve) เข้าถังที่ต้องการเติมเต็มที่
(fully
open) ส่วนถังถัดไปที่จะทำการเติมนั้นจะเปิดวาล์ว
(gate
valve เช่นกัน)
เอาไว้เพียงเล็กน้อยแบบที่เรียกว่า
cracked
open (รูปที่
๕)
รูปที่
๕ ถังใบบนคือถังที่กำลังถ่ายน้ำมันเข้า
และเมื่อเต็มแล้วก็จะย้ายมาถ่ายน้ำมันเข้าถังใบล่าง
ในการทำงานนี้ทางโอเปอร์เรเตอร์จะเปิดวาล์วเข้าถังที่ต้องการเติมเต็มที่
(fully
open)
ส่วนถังถัดไปที่จะทำการเติมนั้นจะเปิดวาล์วเอาไว้เพียงเล็กน้อยแบบที่เรียกว่า
cracked
open ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เปิดวาล์วได้ง่ายขึ้น
แล้วทำไมจึงต้องเปิดวาล์วเข้าถังใบถัดไปรอไว้
เหตุผลก็เพราะมันทำให้เปิดวาล์วได้ง่ายขึ้นเวลาที่จะย้ายการถ่ายน้ำมันจากถังที่กำลังจะเต็มไปยังถังใบใหม่
คำอธิบายตรงนี้คงต้องขอให้ดูรูปที่
๖ ประกอบ
สำหรับท่อขนาดใหญ่วาล์วที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์เปิด-ปิดเท่านั้น
(คือไม่ต้องการควบคุมอัตราการไหล)
มักจะเป็น
gate
valve (น้ำหนักมันเบากว่า
globe
valve ความต้านทานการไหลก็ต่ำกว่า
และทนต่อความดันได้ดีกว่า
butterfly
valve) โครงสร้างของ
gate
vale นั้นการเคลื่อนที่ของตัวแผ่น
gate
ที่เคลื่อนขึ้น-ลงนั้นจะตั้งฉากกับทิศทางการไหลของของไหลในท่อ
เวลาที่วาล์วปิดสนิทนั้นแผ่น
gate
จะถูกแรงดันของของไหลกดอัดเข้ากับ
body
seat ทำให้ยากที่จะเปิดโดยเฉพาะถ้าระบบมีความดันสูงและเป็นวาล์วขนาดใหญ่
(แรงกดเท่ากับผลคูณของความดันคูณกับพื้นที่หน้าตัดของแผ่น
gate
ซึ่งเท่ากับเส้นผ่านศูนย์กลางภายในของท่อ)
ส่วน
globe
valve
นั้นทิศทางการเคลื่อนที่ของของไหลนั้นอยู่ในแนวเดียวกับการเคลื่อนที่ของแผ่น
disc
ที่ใช้ปิดกั้นการไหล
และตัวแผ่น disc
ก็มีขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางภายในของท่อ
การเปิดจึงทำได้ง่ายกว่า
แต่การทำเช่นนี้ก็ก่อให้เกิดปัญหาในการคำนวณระยะเวลาที่น้ำมันจะเต็มแต่ละถัง
เพราะมีการวัดอัตราการไหล
ณ ตำแหน่งเดียวคือทางต้นทาง
แต่เมื่อมาถึงคลังน้ำมันการไหลจะแยกออกเป็นสองส่วน
คือส่วนใหญ่จะไหลเข้าสู่ถังที่ต้องการเติมให้เต็ม
และอีกส่วนหนึ่งจะไหลเข้าสู่ถังที่จะเติมเป็นใบถัดไป
ปัญหาก็คือการไม่ทราบว่าน้ำมันมีการแบ่งสัดส่วนการไหลไปยังแต่ละถังเท่าใด
และด้วยการที่อุปกรณ์ส่งค่าไปยังห้องควบคุมนั้นใช้งานไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ในช่วงเวลาที่มีการรับน้ำมัน
ตัวโอเปอร์เรเตอร์เองจึงต้องเดินอ่านค่าระดับน้ำมันถี่ขึ้น
รูปที่
๖ โครงสร้างของ gate
vale (ซ้าย)
นั้นการเคลื่อนที่ของตัวแผ่น
gate
(6) จะตั้งฉากกับทิศทางการไหล
เวลาที่วาล์วปิดสนิทนั้นแผ่น
gate
จะถูกกดอัดเข้ากับ
body
seat (7)
ทำให้ยากที่จะเปิดโดยเฉพาะถ้าระบบมีความดันสูงและเป็นวาล์วขนาดใหญ่
(แรงกดเท่ากับผลคูณของความดันคูณกับพื้นที่หน้าตัดของแผ่น
gate
ซึ่งเท่ากับเส้นผ่านศูนย์กลางภายในของท่อ)
ส่วน
globe
valve (ขวา)
นั้นทิศทางการเคลื่อนที่ของของไหลนั้นอยู่ในแนวเดียวกับการเคลื่อนที่ของแผ่น
disc
ที่ใช้ปิดกั้นการไหล
และตัวแผ่น disc
ก็มีขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางภายในของท่อ
การเปิดจึงทำได้ง่ายกว่า
รูปที่
๗ ถัง 409
ที่เกิดการรั่วนั้นเป็นชนิด
internal
floating roof tank ที่มีการติดตั้ง
wind
girder (ในรายงานไม่มีการกล่าวถึงว่ามีการติดตั้ง
deflector
plate เหมือนกรณีของ
Buncefield
หรือไม่)
ถังใบนี้ไม่มีการติดตั้ง
high
alarm (HA)
ซึ่งคงเป็นเพราะมันไม่มีการส่งสัญญาณค่าที่อ่านได้ไปยังห้องควบคุม
และไม่มีการติดตั้ง Independent
High Level Switch (IHLS) แต่จะว่าไปในกรณีของเหตุการ์ที่
Buncefield
ที่เกิดขึ้น
๔ ปีก่อนหน้านั้น แม้จะมีการติดตั้ง
HA
แต่พออุปกรณ์วัดระดับไม่ทำงานมันก็เลยไม่มีสัญญาณ
แถม IHLS
ติดตั้งผิดอีกก็เลยไม่ทำงานอีก
รายงานการสอบสวนของ
CSB
ไม่ได้ให้รายละเอียดการทำงานช่วงก่อนเกิดการระเบิดมากนัก
แต่พอจะสรุปได้คร่าว ๆ
ว่าในคืนวันที่ ๒๒ ตุลาคม
มีการถ่ายน้ำมันเข้าถังหมายเลข
409
ที่คาดว่าน่าจะเต็มถังเวลาประมาณ
๑.๐๐
น (ล่วงเข้าวันที่
๒๓)
เมื่อถึงเวลา
๒๓.๐๐
น (วันที่
๒๒)
tank farm operator เดินไปอ่านค่าระดับที่ถัง
409
ก็ยังไม่พบความผิดปรกติใด
ๆ แต่พอไปตรวจอีกครั้งตอนเที่ยงคืน
(รอยต่อวันที่
๒๒ และวันที่ ๒๓)
กลับพบหมอกไอน้ำมันปกคลุมทั่วบริเวณ
นั่นแสดงว่ามีการรั่วไหลของน้ำมันจากถัง
409
ในช่วงระหว่างเวลา
๒๓.๐๐
-
๒๔.๐๐
น ของคืนวันที่ ๒๒ ตุลาคม
และในเวลาประมาณ ๐๐.๒๓
น (วันที่
๒๓)
กล้องวงจรปิดจับภาพเปลวไฟที่เกิดการลุกไหม้ในบริเวณสระบำบัดน้ำเสีย
ที่วิ่งกลับไปยังบริเวณที่ตั้งถังน้ำมัน
ก่อนที่จะเกิดการระเบิดขึ้นตามมา
มีการประมาณว่ามีน้ำมันไหลล้นออกมาประมาณ
200,000
แกลลอน
(หรือประมาณเกือบ
760,000
ลิตร)
ก่อนที่จะเกิดการระเบิด
บริเวณสระบำบัดน้ำเสียนั้นถือว่าอยู่นอก
Hazadous
area
ดังนั้นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้งานในบริเวณนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเป็นชนิด
explosion
proof แต่คำถามที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ
น้ำมันรั่วไหลไปยังสระบำบัดน้ำเสียได้อย่างไร
ซึ่งต่อมาพบว่าเกิดจากการที่
water
drain valve ของ
dike
ที่เป็นที่ตั้งถัง
409
นั้นถูกเปิดทิ้งเอาไว้
รูปที่
๘ ด้วยการที่ water
drain valve ที่ใช้สำหรับระบายน้ำฝนใน
dike
นั้นถูกเปิดทิ้งเอาไว้
ทำให้เมื่อน้ำมันล้นถังออกมา
น้ำมันจึงไหลลงไปยังสระบำบัดน้ำเสีย
น้ำมันที่ลอยไปบนผิวหน้าน้ำจึงแผ่กว้างออกไปได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งเป็นทั้งการเพิ่มพื้นที่การระเหยและการแพร่กระจายของน้ำมัน
รูปที่
๙ รูปแบบต่าง ๆ การติดตั้ง
water
drain valve ที่ใช้สำหรับระบายน้ำที่ขังอยู่ใน
dike
ลงไปยังสระบำบัดน้ำเสียของ
CAPECO
ของถัง
409
คือรูปซ้ายที่ใช้วาล์วชนิด
nonrising
stem (หรือ
fixed
stem)
รูปที่
๑๐ วาล์วแบบ rising
stem (รูปบน)
นั้น
เมื่อหมุน handwheel
จะทำให้ตัว
stem
เกิดการเคลื่อนที่ขึ้นหรือลง
ซึ่งทำให้ตัวแผ่น gate
นั้นเคลื่อนที่ขึ้นหรือลงตามไปด้วย
วาล์วแบบนี้ทำให้เห็นจากภายนอกได้ง่ายว่าวาล์วนั้นเปิดหรือปิดอยู่
และก็ยังหล่อลื่นตัว stem
ได้ง่าย
แต่ก็มีข้อเสียคือสิ่งที่เลอะตัว
stem
นั้นอาจลงไปผสมกับ
process
fluid ได้เวลาที่ปิดวาล์ว
ซึ่งวาล์วชนิด nonrising
stem (รูปล่าง)
ไม่มีปัญหาเรื่องการปนเปื้อนนี้
เพราะในกรณีของวาล์วชนิด
nonrising
stem นั้นตัว
stem
เมื่อหมุน
handwheel
ตัว
stem
จะไม่มีการเคลื่อนที่ขึ้นหรือลง
มีแต่การหมุนรอบตัวเองเพียงอย่างเดียว
แต่การหมุนนี้จะไปทำให้ตัว
gate
เคลื่อนที่ขึ้นหรือลง
แต่วาล์วชนิดนี้ก็มีข้อเสียคือไม่สามารถมองจากภายนอกได้ว่าวาล์วเปิดหรือปิดอยู่
วิธีที่จะบอกได้คือต้องลองหมุนวาล์วดู
เนื่องด้วยถัง
409
มีการติดตั้ง
wind
girder (รูปที่
๗ -
ในรายงานไม่มีการกล่าวถึงว่ามีการติดตั้ง
deflector
plate ดังเช่นกรณีของ
Buncefield
หรือไม่)
ดังนั้นเมื่อน้ำมันที่ล้นออกมาทางช่อง
vent
ของส่วน
cone
roof นั้นตกลงมากระทบเข้ากับ
wind
girder น้ำมันบางส่วนจะเกิดการกระเด็นกลายเป็นหยดน้ำมันเล็ก
ๆ ซึ่งทำให้ระเหยกลายเป็นไอได้ง่ายขึ้น
ในขณะที่ส่วนที่เหลือจะตกลงสู่พื้นภายใน
dike
(รูปที่
๘)
ตามขั้นตอนการปฏิบัติงานของ
CAPECO
นั้น
โอเปอร์เรเตอร์ในช่วงกะกลางวันต้องมาตรวจสอบ
water
drain valve ของแต่ละ
dike
ว่าเปิดหรือปิดอยู่
ซึ่งต้องทำด้วยการลองหมุนเปิดและปิดวาล์ว
แต่เนื่องจากการติดตั้ง
drain
valve นั้นมีการติดตั้งกันหลากหลายรูปแบบและมีการใช้วาล์วต่างชนิดกัน
(รูปที่
๙)
โดยเฉพาะการใช้
gate
valve ชนิด
nonrising
stem มาใช้เป็น
water
drain valve
ทำให้ไม่สามารถบอกได้ว่าวาล์วนั้นเปิดหรือปิดอยู่ด้วยการมอง
และต้องใช้การทดลองหมุนวาล์วด้วยตนเองว่าวาล์วนั้นเปิดหรือปิดอยู่
แต่ในทางปฏิบัตินั้นการตรวจสอบว่าวาล์วเปิดหรือปิดอยู่นั้นโอเปอร์เรเตอร์ทำด้วยการ
"มองจากรถที่ขับผ่าน"
เท่านั้นเอง
และในคืนที่เกิดเหตุนั้น
water
drain valve ของ
dike
ที่เป็นที่ตั้งของถัง
409
ก็ถูกเปิดทิ้งเอาไว้
ส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของน้ำมันลงสู่สระบำบัดน้ำเสีย
ที่ทำให้น้ำมันแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็ว
(เพราะน้ำมันลอยบนผิวหน้าน้ำ)
และยังระเหยได้เร็วขึ้นด้วย
(เพราะพื้นที่ผิวมากขึ้น)
รูปที่
๑๑ ภาพเหตุการณ์ในวันที่
๒๓ ตุลาคม
ปี
๒๕๔๒ alarm
ทำงานถูกต้อง
แต่โอเปอร์เรเตอร์คิดว่า
alarm
ผิด
บวกกับ water
drain valve เปิดอยู่
ปี
๒๕๔๘ อุปกรณ์วัดไม่ทำงาน
alarm
ก็ไม่ทำงาน
แถม IHLS
ไม่ทำงานเพราะติดตั้งผิด
ปี
๒๕๕๒ ไม่มีการติดตั้ง alarm
แถม water
drain valve เปิดอยู่
ครั้งต่อก็คงได้แต่รอดูกันว่าจะเกิดในรูปแบบไหน
ที่ใด และเมื่อใด
ป้ายกำกับ:
การระเบิด,
ถัง,
ไฟไหม้,
อุบัติเหตุ,
UVCE
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ตัวเร่งปฏิกิริยาและการทดสอบ
- การกำจัดสีเมทิลีนบลู
- การคำนวณพื้นที่ผิวแบบ Single point BET
- การคำนวณพื้นที่ผิวแบบ Single point BET ตอนที่ ๒ ผลกระทบจากความเข้มข้นไนโตรเจนที่ใช้
- การจำแนกตำแหน่งที่เป็นกรด Brönsted และ Lewis บนพื้นผิวของแข็งด้วยเทคนิค Infrared spectroscopy และ Adsorbed probe molecules
- การจำแนกตำแหน่งที่เป็นเบส Brönsted และ Lewis บนพื้นผิวของแข็งด้วยเทคนิค Infrared spectroscopy และ Adsorbed probe molecules
- การใช้ข้อต่อสามทางผสมแก๊ส
- การใช้ Avicel PH-101 เป็น catalyst support
- การดูดซับบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๑ ขั้นตอนของการเกิดปฏิกิริยาบนตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์
- การดูดซับบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๒ การดูดซับบนพื้นผิวของแข็ง
- การดูดซับบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๓ แบบจำลองไอโซเทอมการดูดซับของ Freundlich
- การดูดซับบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๔ แบบจำลองไอโซเทอมการดูดซับของ Langmuir
- การดูดซับบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๕ แบบจำลองไอโซเทอมการดูดซับของ Temkin
- การดูดซับบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๖ แบบจำลองไอโซเทอมการดูดซับของ BET
- การดูดซับบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๗ ตัวอย่างไอโซเทอมการดูดซับของ BET
- การดูดซับบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๘ ตัวอย่างไอโซเทอมการดูดซับของ BET (๒)
- การดูดซับบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๙ ตัวอย่างไอโซเทอมการดูดซับของ BET (๓)
- การเตรียมตัวอย่างตัวเร่งปฏิกิริยาแบบผงให้เป็นแผ่นบาง
- การทดสอบตัวเร่งปฏิกิริยา - ผลแตกต่างหรือไม่แตกต่าง
- การทำปฏิกิริยา ๓ เฟสใน stirred reactor
- การบรรจุ inert material ใน fixed-bed
- การปรับ WHSV
- การปั่นกวนของแข็งให้แขวนลอยในของเหลว ตอนที่ ๑ ผลของความหนาแน่นที่แตกต่าง
- การปั่นกวนของแข็งให้แขวนลอยในของเหลว ตอนที่ ๒ ขนาดของ magnetic bar กับเส้นผ่านศูนย์กลางภาชนะ
- การปั่นกวนของแข็งให้แขวนลอยในของเหลว ตอนที่ ๓ ผลของรูปร่างภาชนะ
- การผสมแก๊สอัตราการไหลต่ำเข้ากับแก๊สอัตราการไหลสูง
- การระบุชนิดโลหะออกไซด์
- การลาก smooth line เชื่อมจุด
- การเลือกค่า WHSV (Weight Hourly Space Velocity) สำหรับการทดลอง
- การวัดความเป็นกรดบนพื้นผิวของแข็ง (อีกครั้ง)
- การวัดปริมาณตำแหน่งที่เป็นกรด-เบสบนพื้นผิวของแข็งด้วย GC
- การวัดปริมาณตำแหน่งที่เป็นกรด-เบสบนพื้นผิวของแข็งด้วย GC (๒)
- การวัดพื้นที่ผิว BET
- การวิเคราะห์ความเป็นกรดบนพื้นผิวของแข็ง ด้วยเทคนิคการดูดซับ Probe molecule (๑)
- การวิเคราะห์ความเป็นกรดบนพื้นผิวของแข็ง ด้วยเทคนิคการดูดซับ Probe molecule (๒)
- การวิเคราะห์ความเป็นกรดบนพื้นผิวของแข็ง ด้วยเทคนิคการดูดซับ Probe molecule (๓)
- การวิเคราะห์ความเป็นกรดบนพื้นผิวของแข็ง ด้วยเทคนิคการดูดซับ Probe molecule (๔)
- การวิเคราะห์ความเป็นกรดบนพื้นผิวของแข็ง ด้วยเทคนิคการดูดซับ Probe molecule (๕)
- การวิเคราะห์ความเป็นกรดบนพื้นผิวของแข็ง ด้วยเทคนิคการดูดซับ Probe molecule (๖)
- การไหลผ่าน Straightening vane และโมโนลิท (Monolith)
- เก็บตกจากการประชุมวิชาการ ๒๕๕๗ ตอนที่ ๑
- เก็บตกจากการประชุมวิชาการ ๒๕๕๗ ตอนที่ ๒
- ข้อควรระวังเมื่อใช้ออกซิเจนความเข้มข้นสูง
- ข้อพึงระวังในการแปลผลการทดลอง
- ค่า signal to noise ratio ที่ต่ำที่สุด
- จลนศาสตร์การเกิดปฏิกิริยาบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๑ Volcano principle
- จลนศาสตร์การเกิดปฏิกิริยาบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๒ แบบจำลอง Langmuir
- จลนศาสตร์การเกิดปฏิกิริยาบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๓ แบบจำลอง Langmuir-Hinshelwood
- จลนศาสตร์การเกิดปฏิกิริยาบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๔ แบบจำลอง Eley-Rideal
- จลนศาสตร์การเกิดปฏิกิริยาบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๕ แบบจำลอง REDOX
- ตอบคำถามเรื่องการเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยา
- ตัวเลขมันสวย แต่เชื่อไม่ได้
- ตัวเลขไม่ได้ผิดหรอก คุณเข้าใจนิยามไม่สมบูรณ์ต่างหาก
- ตัวไหนดีกว่ากัน (Catalyst)
- แต่ละจุดควรต่างกันเท่าใด
- ท่อแก๊สระบบ acetylene hydrogenation
- น้ำหนักหายได้อย่างไร
- ปฏิกิริยาการเติมไฮโดรเจนและการแทนที่ไฮโดรเจนของอะเซทิลีน
- ปฏิกิริยาอันดับ 1 หรือปฏิกิริยาอันดับ 2
- ปฏิกิริยาเอกพันธ์และปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ในเบดนิ่ง
- ปั๊มสูบไนโตรเจนเหลวจากถังเก็บ
- ผลของแก๊สเฉื่อยต่อการเกิดปฏิกิริยา
- เผาในเตาแบบไหนดี (Calcination)
- พลังงานกระตุ้นกับปฏิกิริยาคายความร้อนในเครื่องปฏิกรณ์เบดนิ่ง
- เมื่อแก๊สรั่วที่ rotameter
- เมื่อพีคออกซิเจนของระบบ DeNOx หายไป
- เมื่อเส้น Desorption isotherm ต่ำกว่าเส้น Adsorption isotherm
- เมื่อ base line เครื่อง chemisorb ไม่นิ่ง
- เมื่อ Mass Flow Controller คุมการไหลไม่ได้
- เรื่องของสุญญากาศกับ XPS
- สแกนกี่รอบดี
- สมดุลความร้อนรอบ Laboratory scale fixed-bed reactor
- สรุปการประชุมวันพฤหัสบดีที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๓
- เส้น Cu Kα มี ๒ เส้น
- เห็นอะไรไม่สมเหตุสมผลไหมครับ
- อย่าลืมดูแกน Y
- อย่าให้ค่า R-squared (Coefficient of Determination) หลอกคุณได้
- อุณหภูมิกับการไหลของแก๊สผ่าน fixed-bed
- อุณหภูมิและการดูดซับ
- BET Adsorption-Desorption Isotherm Type I และ Type IV
- ChemiSorb 2750 : การเตรียมตัวอย่างเพื่อการวัดพื้นที่ผิว BET
- ChemiSorb 2750 : การวัดพื้นที่ผิวแบบ Single point BET
- ChemiSorb 2750 : ผลของอัตราการไหลต่อความแรงสัญญาณ
- Distribution functions
- Electron Spin Resonance (ESR)
- GHSV หรือ WHSV
- Ion-induced reduction ขณะทำการวิเคราะห์ด้วย XPS
- MO ตอบคำถาม การทดลอง gas phase reaction ใน fixed-bed
- MO ตอบคำถาม การวัดความเป็นกรด-เบสบนพื้นผิวของแข็ง
- Monolayer หรือความหนาเพียงชั้นอะตอมเดียว
- NH3-TPD - การลาก base line
- NH3-TPD - การลาก base line (๒)
- NH3-TPD - การไล่น้ำและการวาดกราฟข้อมูล
- NH3-TPD ตอน ตัวอย่างผลการวิเคราะห์ ๑
- NH3-TPD ตอน ตัวอย่างผลการวิเคราะห์ ๒
- Physisorption isotherms Type I และ Type IV
- Scherrer's equation
- Scherrer's equation (ตอนที่ 2)
- Scherrer's equation (ตอนที่ ๓)
- Scherrer's equation (ตอนที่ ๔)
- Supported metal catalyst และ Supported metal oxide catalyst
- Temperature programmed reduction ด้วยไฮโดรเจน (H2-TPR)
- Temperature programmed reduction ด้วยไฮโดรเจน (H2-TPR) ภาค ๒
- UV-Vis - peak fitting
- XPS ตอน การแยกพีค Mo และ W
- XPS ตอน จำนวนรอบการสแกน
- XRD - peak fitting
คณิตศาสตร์สำหรับวิศวกรรมเคมี
- การแก้ปัญหาสมการเชิงอนุพันธ์สามัญปัญหาเงื่อนไขค่าเริ่มต้นด้วยระเบียบวิธี Bogacki-Shampine และ Predictor-Evaluator-Corrector-Evaluator (PECE)
- การแก้ปัญหาสมการอนุพันธ์สามัญ ด้วย ODE solvers ของ GNU Octave ตอนที่ ๑
- การแก้ปัญหาสมการอนุพันธ์สามัญ ด้วย ODE solvers ของ GNU Octave ตอนที่ ๒
- การแก้ปัญหาสมการอนุพันธ์สามัญ ด้วย ODE solvers ของ GNU Octave ตอนที่ ๓
- การแก้สมการเชิงอนุพันธ์สามัญด้วยการใช้ Integrating factor
- การแก้สมการอนุพันธ์ด้วยฟังก์ชันพหุนาม (๑)
- การแก้สมการอนุพันธ์ด้วยฟังก์ชันพหุนาม (๑๐)
- การแก้สมการอนุพันธ์ด้วยฟังก์ชันพหุนาม (๑๑)
- การแก้สมการอนุพันธ์ด้วยฟังก์ชันพหุนาม (๑๒)
- การแก้สมการอนุพันธ์ด้วยฟังก์ชันพหุนาม (๑๓)
- การแก้สมการอนุพันธ์ด้วยฟังก์ชันพหุนาม (๒)
- การแก้สมการอนุพันธ์ด้วยฟังก์ชันพหุนาม (๓)
- การแก้สมการอนุพันธ์ด้วยฟังก์ชันพหุนาม (๔)
- การแก้สมการอนุพันธ์ด้วยฟังก์ชันพหุนาม (๕)
- การแก้สมการอนุพันธ์ด้วยฟังก์ชันพหุนาม (๖)
- การแก้สมการอนุพันธ์ด้วยฟังก์ชันพหุนาม (๗)
- การแก้สมการอนุพันธ์ด้วยฟังก์ชันพหุนาม (๘)
- การแก้สมการอนุพันธ์ด้วยฟังก์ชันพหุนาม (๙)
- การคำนวณค่าฟังก์ชันพหุนาม
- การปรับเรียบ (Smoothing) ข้อมูล (ตอนที่ ๑)
- การปรับเรียบ (Smoothing) ข้อมูล (ตอนที่ ๒)
- การปรับเรียบ (Smoothing) ข้อมูล (ตอนที่ ๓)
- การหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร x และ y
- ข้อพึงระวังในการใช้ฟังก์ชันพหุนามในการประมาณค่าในช่วง
- ข้อพึงระวังในการใช้ฟังก์ชันพหุนามในการประมาณค่าในช่วง (๒)
- ข้อพึงระวังในการใช้ฟังก์ชันพหุนามในการประมาณค่าในช่วง (๒) (pdf)
- ข้อพึงระวังในการใช้ฟังก์ชันพหุนามในการประมาณค่าในช่วง (๓)
- ข้อสอบเก่าชุดที่ ๑
- ข้อสอบเก่าชุดที่ ๒
- ค่าคลาดเคลื่อน (error)
- จำนวนที่น้อยที่สุดที่เมื่อบวกกับ 1 แล้วได้ผลลัพธ์ไม่ใช่ 1
- ใช่ว่าคอมพิวเตอร์จะคิดเลขถูกเสมอไป
- ตัวเลขที่เท่ากันแต่ไม่เท่ากัน
- ตัวอย่างการแก้ปัญหา สมการพีชคณิตไม่เชิงเส้นด้วยระเบียบวิธีนิวตัน-ราฟสัน
- ตัวอย่างการแก้ปัญหา สมการพีชคณิตไม่เชิงเส้นด้วยระเบียบวิธี Müller และ Inverse quadratic interpolation
- ตัวอย่างการแก้ปัญหา สมการพีชคณิตไม่เชิงเส้นด้วยระเบียบวิธี successive iteration
- ตัวอย่างการแก้ปัญหา สมการพีชคณิตไม่เชิงเส้นด้วยระเบียบวิธี successive iteration (pdf)
- ตัวอย่างการแก้ปัญหา สมการพีชคณิตไม่เชิงเส้นด้วย Function fzero ของ GNU Octave
- ตัวอย่างการคำนวณหาพื้นที่ใต้กราฟ ด้วยระเบียบวิธี Gaussian quadrature
- ตัวอย่างการคำนวณหาพื้นที่ใต้กราฟ ด้วยระเบียบวิธี Gaussian quadrature (pdf)
- ตัวอย่างผลของรูปแบบสมการต่อคำตอบของ ODE-IVP
- ตัวอย่างเพิ่มเติมบทที่ ๑
- ตัวอย่างเพิ่มเติมบทที่ ๒
- ตัวอย่างเพิ่มเติมบทที่ ๓
- ตัวอย่างเพิ่มเติมบทที่ ๔
- ทบทวนเรื่องการคูณเมทริกซ์
- ทบทวนเรื่อง Taylor's series
- ทศนิยมลงท้ายด้วยเลข 5 จะปัดขึ้นหรือปัดลง
- บทที่ ๑ การคำนวณตัวเลขในระบบทศนิยม
- บทที่ ๒ การแก้ปัญหาระบบสมการพีชคณิตเชิงเส้น
- บทที่ ๓ การแก้ปัญหาระบบสมการพีชคณิตไม่เชิงเส้น
- บทที่ ๔ การประมาณค่าในช่วง
- บทที่ ๕ การหาค่าอนุพันธ์
- บทที่ ๖ การหาค่าอินทิกรัล
- บทที่ ๗ การแก้ปัญหาสมการเชิงอนุพันธ์สามัญ ระบบสมการปัญหาเงื่อนไขค่าเริ่มต้น
- บทที่ ๘ การแก้ปัญหาสมการเชิงอนุพันธ์สามัญ ระบบสมการปัญหาเงื่อนไขค่าขอบเขต
- บทที่ ๙ การแก้ปัญหาสมการเชิงอนุพันธ์ย่อย
- ปฏิกิริยาคายความร้อนใน CSTR (ตอนที่ ๑)
- ปฏิกิริยาคายความร้อนใน CSTR (ตอนที่ ๒)
- เปรียบเทียบการแก้ปัญหาสมการพีชคณิตไม่เชิงเส้นด้วย solver ของ GNU Octave
- เปรียบเทียบการแก้ Stiff equation ด้วยระเบียบวิธี Runge-Kutta และ Adam-Bashforth
- เปรียบเทียบระเบียบวิธี Runge-Kutta
- เปรียบเทียบ Gauss elimination ที่มีและไม่มีการทำ Pivoting
- เปรียบเทียบ Gauss elimination ที่มีและไม่มีการทำ Pivoting (Spreadsheet)
- ฟังก์ชันแกมมา (Gamma function) และ ฟังก์ชันเบสเซล (Bessel function)
- เมื่อ 1 ไม่เท่ากับ 0.1 x 10
- ระเบียบวิธี Implicit Euler และ Crank-Nicholson กับ Stiff equation
- เลขฐาน ๑๐ เลขฐาน ๒ จำนวนเต็ม จำนวนจริง
- Distribution functions
- LU decomposition ร่วมกับ Iterative improvement
- LU decomposition ร่วมกับ Iterative improvement (pdf)
- LU decomposition ร่วมกับ Iterative improvement (Spreadsheet)
- Machine precision กับ Machine accuracy
เคมีสำหรับวิศวกรเคมี
- กรด-เบส : อ่อน-แก่
- กรด-เบส : อะไรควรอยู่ในบิวเรต
- กราฟการไทเทรตกรดกำมะถัน (H2SO4)
- กราฟการไทเทรตกรดกำมะถัน (H2SO4) ตอนที่ ๒
- กราฟการไทเทรตกรดที่ให้โปรตอนได้ ๒ ตัว
- กราฟการไทเทรตกรดที่ให้โปรตอนได้ ๓ ตัว
- กราฟการไทเทรตกรดไฮโปคลอรัส (HOCl)
- กราฟอุณหภูมิการกลั่นของน้ำมันเบนซิน (Gasoline distillation curve)
- กลิ่นกับอันตรายของสารเคมี
- การกำจัดสีเมทิลีนบลู
- การเกิดปฏิกิริยาเคมี
- การเจือจางไฮโดรคาร์บอนในน้ำ
- การใช้ pH probe
- การใช้ Tetraethyl lead นอกเหนือไปจากการเพิ่มเลขออกเทน
- การดูดกลืนคลื่นแสงของแก้ว Pyrex และ Duran
- การดูดกลืนแสงสีแดง
- การเตรียมสารละลายด้วยขวดวัดปริมาตร
- การเตรียมหมู่เอมีนและปฏิกิริยาของหมู่เอมีน (การสังเคราะห์ฟีนิลบิวตาโซน)
- การทำน้ำให้บริสุทธิ์สำหรับห้องปฏิบัติการ
- การทำปฏิกิริยาของโพรพิลีนออกไซด์ (1,2-Propylene oxide) ตอนที่ ๑
- การทำปฏิกิริยาของโพรพิลีนออกไซด์ (1,2-Propylene oxide) ตอนที่ ๒
- การทำปฏิกิริยาของหมู่ Epoxide ในโครงสร้าง Graphene oxide
- การทำปฏิกิริยาต่อเนื่องของผลิตภัณฑ์
- การเทของเหลวใส่บิวเรต
- การน๊อคของเครื่องยนต์แก๊สโซลีน และสารเพิ่มเลขออกเทนของน้ำมัน
- การเปลี่ยนพลาสติกเป็นน้ำมัน
- การเปลี่ยนเอทานอล (Ethanol) ไปเป็นอะเซทัลดีไฮด์ (Acetaldehyde)
- การเรียกชื่อสารเคมี
- การลดการระเหยของของเหลว
- การละลายของแก๊สในเฮกเซน (Ethylene polymerisation)
- การละลายเข้าด้วยกันของโมเลกุลมีขั้ว-ไม่มีขั้ว
- การวัดความเป็นกรดบนพื้นผิวของแข็ง (อีกครั้ง)
- การวัดปริมาณ-ความแรงของตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิว
- การวัดปริมาณตำแหน่งที่เป็นกรด-เบสบนพื้นผิวของแข็งด้วย GC
- การวัดปริมาตรของเหลว
- การหาความเข้มข้นสารละลายมาตรฐานกรด
- การหาจุดสมมูลของการไทเทรตจากกราฟการไทเทรต
- การอ่านผลการทดลองการไทเทรตกรด-เบส
- การอ่านผลการทดลองการไทเทรตกรด-เบส (ตอนที่ ๒)
- การอ่านผลการทดลองการไทเทรตกรด-เบส (ตอนที่ ๓)
- แก๊สมัสตาร์ดกับกลิ่นทุเรียน
- ข้อควรระวังเมื่อใช้ออกซิเจนความเข้มข้นสูง
- คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากับงานเคมีวิเคราะห์
- ความกระด้าง (Hardness) ของน้ำกับปริมาณของแข็งทั้งหมด ที่ละลายอยู่ (Total Dissolved Solid - TDS)
- ความดันกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี
- ความเป็นกรดของหมู่ไฮดรอกซิล (Hydroxyl group) ตอนที่ ๑
- ความเป็นกรดของหมู่ไฮดรอกซิล (Hydroxyl group) ตอนที่ ๒
- ความเป็นกรดของอัลฟาไฮโดรเจนอะตอม (alpha-Hydrogen atom) ตอน กรดบาร์บิทูริก (Barbituric acid)
- ความเป็นกรดของอัลฟาไฮโดรเจนอะตอม (alpha-Hydrogen atoms)
- ความเป็นขั้วบวกของอะตอม C และการทำปฏิกิริยาของอีพิคลอโรไฮดริน (epichlorohydrin)
- ความเป็นไอออนิก (Percentage ionic character)
- ความสัมพันธ์ระหว่างสีกับชนิดและปริมาณธาตุ
- ความสำคัญของเคมีวิเคราะห์และเคมีอินทรีย์ในงานวิศวกรรมเคมี
- ความเห็นที่ไม่ลงรอยกับโดเรมี่
- ค้างที่ปลายปิเปตไม่เท่ากัน
- คำตอบของ Cubic equation of state
- จากกลีเซอรอล (glycerol) ไปเป็นอีพิคลอโรไฮดริน (epichlorohydrin)
- จากเบนซาลดีไฮด์ (Benzaldehyde) ไปเป็นกรดเบนซิลิก (Benzilic acid)
- จากโอเลฟินส์ถึงพอลิอีเทอร์ (From olefins to polyethers)
- จาก Acetone เป็น Pinacolone
- จาก Alkanes ไปเป็น Aramids
- จาก Aniline ไปเป็น Methyl orange
- จาก Benzene ไปเป็น Butter yellow
- จาก Hexane ไปเป็น Nylon
- จาก Toluene และ m-Xylene ไปเป็นยาชา
- ดำหรือขาว
- ตกค้างเพราะเปียกพื้นผิว
- ตอบคำถามแบบแทงกั๊ก
- ตอบคำถามให้ชัดเจนและครอบคลุม
- ตำราสอนการใช้ปิเปตเมื่อ ๓๓ ปีที่แล้ว
- ไตรเอทานอลเอมีน (Triethanolamine)
- ถ่านแก๊ส หินแก๊ส แก๊สก้อน
- ทอดไข่เจียวให้อร่อยต้องใช้น้ำมันหมู
- ทำไมน้ำกระด้างจึงมีฟอง
- ที่แขวนกล้วย
- เท่ากับเท่าไร
- โทลูอีน (Toluene)
- ไทโอนีลคลอไรด์ (Thionyl chloride)
- นานาสาระเคมีวิเคราะห์
- น้ำด่าง น้ำอัลคาไลน์ น้ำดื่ม
- น้ำดื่ม (คิดสักนิดก่อนกดแชร์ เรื่องที่ ๑๑)
- น้ำตาลทราย ซูคราโลส และยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย
- น้ำบริสุทธิ์ (Purified water)
- ไนโตรเจนเป็นแก๊สเฉื่อยหรือไม่
- บีกเกอร์ 250 ml
- แบบทดสอบก่อนเริ่มเรียนวิชาเคมีสำหรับนิสิตวิศวกรรมเคมี
- ปฏิกิริยาการเติมไฮโดรเจนและการแทนที่ไฮโดรเจนของอะเซทิลีน (Hydrogenation and replacement of acetylenic hydrogen)
- ปฏิกิริยาการผลิต Vinyl chloride
- ปฏิกิริยาการออกซิไดซ์
- ปฏิกิริยา alpha halogenation และการสังเคราะห์ tertiary amine
- ปฏิกิริยา ammoxidation หมู่เมทิลที่เกาะอยู่กับวงแหวนเบนซีน
- ปฏิกิริยา Benzene alkylation
- ปฏิกิริยา Dehydroxylation
- ปฏิกิริยา Electrophilic substitution ของ m-Xylene
- ปฏิกิริยา Nucleophilic substitution ของสารประกอบ Organic halides
- ประโยชน์ของ Nitric oxide ในทางการแพทย์
- ปัญหาการสร้าง calibration curve ของ ICP
- ปัญหาการหาความเข้มข้นสารละลายกรด
- ปัญหาของไฮโดรคาร์บอนไม่อิ่มตัว
- โป้ง ชี้ กลาง นาง ก้อย
- ผลของค่าพีเอชต่อสีของสารละลายเปอร์แมงกาเนต
- ผลของอุณหภูมิต่อการแทนที่ตำแหน่งที่ 2 บนวงแหวนเบนซีน
- ฝึกงานภาคฤดูร้อน ๒๕๕๓ ตอนที่ ๑ อธิบายศัพท์
- พีคเหมือนกันก็แปลว่ามีหมู่ฟังก์ชันเหมือนกัน
- ฟลูออรีนหายไปไหน
- ฟอสฟอรัสออกซีคลอไรด์ (Phosphorus Oxychloride)
- ฟีนอล แอซีโทน แอสไพริน พาราเซตามอล สิว โรคหัวใจ และงู
- มุมมองที่ถูกจำกัด
- เมทานอลกับเจลล้างมือ
- เมื่อคิดในรูปของ ...
- เมื่อตำรายังพลาดได้ (Free radical polymerisation)
- เมื่อน้ำเพิ่มปริมาตรเองได้
- เมื่อหมู่คาร์บอนิล (carbonyl) ทำปฏิกิริยากันเอง
- รังสีเอ็กซ์
- เรื่องของสไตรีน (คิดสักนิดก่อนกด Share เรื่องที่ ๑)
- แลปการไทเทรตกรด-เบส ภาคการศึกษาต้น ปีการศึกษา ๒๕๖๐
- ศัพท์เทคนิค-เคมีวิเคราะห์
- สรุปคำถาม-ตอบการสอบวันศุกร์ที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๒
- สีหายไม่ได้หมายความว่าสารหาย
- เสถียรภาพของอนุมูลอิสระ (๑)
- เสถียรภาพของอนุมูลอิสระ (๒)
- เสถียรภาพของอนุมูลอิสระ (๓)
- หมู่ทำให้เกิดสี (chromophore) และหมู่เร่งสี (auxochrome)
- หลอกด้วยข้อสอบเก่า
- อะเซทิลีน กลีเซอรีน และไทออล
- อะโรมาติก : การผลิต การใช้ประโยชน์ และปัญหา
- อัลคิลเอมีน (Alkyl amines) และ อัลคิลอัลคานอลเอมีน (Alkyl alkanolamines)
- อีเทอร์กับการเกิดสารประกอบเปอร์ออกไซด์
- อุณหภูมิ อัตราการเกิดปฏิกิริยา สมดุลเคมี
- เอา 2,2-dimethylbutane (neohexane) ไปทำอะไรดี
- เอาเบนซีนกับเอทานอลไปทำอะไรดี
- เอา isopentane ไปทำอะไรดี
- เอา maleic anhydride ไปทำอะไรดี
- เอา pentane ไปทำอะไรดี
- ไอโซเมอร์ (Isomer)
- ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์กับพอลิโพรพิลีน
- Acentric factor
- Aldol condensation กับ Cannizzaro reaction
- Aldol condesation ระหว่าง Benzaldehyde กับ Acetone
- A-Level เคมี ปี ๖๖ ข้อพอลิเอทิลีน
- Beilstein test กับเตาแก๊สที่บ้าน
- Benzaldehyde กับปฏิกิริยา Nitroaldol
- BOD และ COD
- BOD หรือ DO
- Carbocation - การเกิดและเสถียรภาพ
- Carbocation - การทำปฏิกิริยา
- Carbocation ตอนที่ ๓ การจำแนกประเภท-เสถียรภาพ
- Chloropicrin (Trichloronitromethane)
- Compressibility factor กับ Joule-Thomson effect
- Conjugated double bonds กับ Aromaticity
- Cubic centimetre กับ Specific gravity
- Dehydration, Esterification และ Friedle-Crafts Acylation
- Electrophilic addition ของอัลคีน
- Electrophilic addition ของอัลคีน (๒)
- Electrophilic addition ของ conjugated diene
- Electrophilic substitution ตำแหน่งที่ 1 บนวงแหวนเบนซีน
- Electrophilic substitution ตำแหน่งที่ 2 บนวงแหวนเบนซีน ตอน ผลของอุณหภูมิการทำปฏิกิริยา
- Electrophilic substitution ตำแหน่งที่ 3 บนวงแหวนเบนซีน
- Electrophilic substitution ตำแหน่งที่ 3 บนวงแหวนเบนซีน ตอน การสังเคราะห์ 2,4-Dinitrophenol
- Esterification of hydroxyl group
- Gibbs Free Energy กับการเกิดปฏิกิริยาและการดูดซับ
- Halogenation ของ alkane
- Halogenation ของ alkane (๒)
- HCl ก่อน ตามด้วย H2SO4 แล้วจึงเป็น HNO3
- I2 ในสารละลาย KI กับไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัว
- Infrared spectrum interpretation
- Interferometer
- IR spectra ของโทลูอีน (Toluene) เอทิลเบนซีน (Ethylbenzene) โพรพิลเบนซีน (Propylbenzene) และคิวมีน (Cumene)
- IR spectra ของเบนซีน (Benzene) และไซลีน (Xylenes)
- IR spectra ของเพนทีน (Pentenes)
- Kjeldahl nitrogen determination method
- Malayan emergency, สงครามเวียดนาม, Seveso และหัวหิน
- MO ตอบคำถาม การวัดความเป็นกรด-เบสบนพื้นผิวของแข็ง
- Nucleophile กับ Electrophile
- PAT2 เคมี ปี ๖๕ ข้อการไทเทรตกรดเบส
- Peng-Robinson Equation of State
- Phenol, Ether และ Dioxin
- Phospharic acid กับ Anhydrous phosphoric acid และ Potassium dioxide
- pH Probe
- Picric acid (2,4,6-Trinitrophenol) และ Chloropicrin
- PV diagram กับการอัดแก๊ส
- Pyrophoric substance
- Reactions of hydroxyl group
- Reactions of hydroxyl group (ตอนที่ ๒)
- Redlich-Kwong Equation of State
- Redlich-Kwong Equation of State (ตอนที่ ๒)
- Soave-Redlich-Kwong Equation of State
- Standard x-ray powder diffraction pattern ของ TiO2
- Sulphur monochloride และ Sulphur dichloride
- Thermal cracking - Thermal decomposition
- Thiols, Thioethers และ Dimethyl thioether
- Van der Waals' Equation of State
- Vulcanisation
ประสบการณ์ Gas chromatograph/Chromatogram
- 6 Port sampling valve
- กระดาษความร้อน (thermal paper) มี ๒ หน้า
- การแก้ปัญหา packing ในคอลัมน์ GC อัดตัวแน่น
- การฉีดแก๊สเข้า GC ด้วยวาล์วเก็บตัวอย่าง
- การฉีดตัวอย่างที่เป็นของเหลวด้วย syringe
- การฉีด GC
- การใช้ syringe ฉีดตัวอย่างที่เป็นแก๊ส
- การดึงเศษท่อทองแดงที่หักคา tube fitting ออก
- การตั้งอุณหภูมิคอลัมน์ GC
- การติดตั้ง Integrator ให้กับ GC-8A เพื่อวัด CO2
- การเตรียมคอลัมน์ GC ก่อนการใช้งาน
- การปรับความสูงพีค GC
- การวัดปริมาณไฮโดรเจนด้วย GC-TCD
- ข้อสังเกตเกี่ยวกับ FPD (ตอนที่ ๒)
- ข้อสังเกตเกี่ยวกับ FPD (Flame Photometric Detector)
- โครมาโทกราฟแยกสารได้อย่างไร
- ชนิดคอลัมน์ GC
- ตรวจโครมาโทแกรม ก่อนอ่านต้วเลข
- ตัวอย่างการแยกพีค GC ที่ไม่เหมาะสม
- ทำความรู้จักกับ Chromatogram ตอนที่ ๑
- ทำความรู้จักกับ Chromatogram ตอนที่ ๒
- ทำความรู้จักกับ Chromatogram ตอนที่ ๓
- ทำความรู้จักกับ Chromatogram ตอนที่ ๔
- ทำความรู้จักกับ Chromatogram ตอนที่ ๕
- ทำความรู้จักกับ Chromatogram ตอนที่ ๖
- ทำไมพีคจึงลากหาง
- ผลกระทบของน้ำที่มีต่อการวัดคาร์บอนไดออกไซด์ ตอนที่ ๑
- ผลกระทบของน้ำที่มีต่อการวัดคาร์บอนไดออกไซด์ ตอนที่ ๒
- ผลกระทบของน้ำที่มีต่อการวัดคาร์บอนไดออกไซด์ ตอนที่ ๓
- พีคที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างน้ำกับ packing ในคอลัมน์ GC
- พีคประหลาดจากการใช้อากาศน้อยไปหน่อย
- มันไม่เท่ากันนะ
- เมื่อความแรงของพีค GC ลดลง
- เมื่อจุดไฟ FID ไม่ได้
- เมื่อพีค GC หายไป
- เมื่อพีค GC ออกมาผิดเวลา
- เมื่อพีค GC ออกมาผิดเวลา(อีกแล้ว)
- เมื่อเพิ่มความดันอากาศให้กับ FID ไม่ได้
- เมื่อ GC ถ่านหมด
- เมื่อ GC มีพีคประหลาด
- ลากให้ผ่านหรือไม่ให้ผ่าน
- สัญญาณจาก carrier gas รั่วผ่าน septum
- สารพัดปัญหา GC
- สิ่งปนเปื้อนในน้ำ DI
- สิ่งปนเปื้อนในน้ำ DI (ตอนที่ ๒)
- Chromatograph principles and practices
- Flame Ionisation Detector
- GC-2014 ECD & PDD ตอนที่ ๗ ข้อสังเกตเกี่ยวกับ ECD (Electron Capture Detector)
- GC detector
- GC - peak fitting ตอนที่ ๑ การหาพื้นที่พีคที่เหลื่อมทับ
- GC principle
- LC detector
- LC principle
- MO ตอบคำถาม การแยกพีค GC ด้วยโปรแกรม fityk
- MO ตอบคำถาม สารพัดปัญหาโครมาโทแกรม
- Relative Response Factors (RRF) ของสารอินทรีย์ กับ Flame Ionisation Detector (FID)
- Thermal Conductivity Detector
- Thermal Conductivity Detector ภาค 2
สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items - DUI)
- การก่อการร้ายด้วยแก๊สซาริน (Sarin) ในรถไฟใต้ดินกรุงโตเกียว MO Memoir : Friday 6 September 2567
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๑๐ ฟังก์ชันเข้ารหัสรีโมทเครื่องปรับอากาศ
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๑๑ License key
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๑๒ สารเคมี (Chemicals)
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๑๓ ไม่ตรงตามตัวอักษร (สารเคมี)
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๑๔ ไม่ตรงตามตัวอักษร (Heat exchanger)
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๑๕ Sony PlayStation
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๑๖ เส้นใยคาร์บอน (Carbon fibre)
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๑๗ The Red Team : Centrifugal separator
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๑๘ The Blue Team : Spray drying equipment
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๑๙ เครื่องสลายนิ่วในไตด้วยคลื่นกระแทก (Lithotripter)
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๑ ตัวเก็บประจุ (Capacitor)
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๒๐ เรซินแลกเปลี่ยนไอออน (Ion-exchange resin)
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๒๑ ไม่ตรงตามตัวอักษร (Aluminium tube)
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๒๒ เครื่องกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้า (Defibrillator)
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๒๓ เครื่องยนต์ดีเซล
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๒ เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน (Heat Exchanger)
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๓ เครื่องแปลงความถี่ไฟฟ้า (Frequency Changer)
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๔ อุปกรณ์เข้ารหัส (Encoding Device)
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๕ Insulated Gate Bipolar Transistor (IGBT)
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๖ Toshiba-Kongsberg Incident
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๗ รายงานผลการทดสอบอุปกรณ์
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๘ Drawing อุปกรณ์
- การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๙ ซอร์ฟแวร์ควบคุมการทำงานอุปกรณ์
- เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนสำหรับเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์
- แคลเซียม, แมกนีเซียม และบิสมัท กับการผลิตอาวุธทำลายล้างสูง
- สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items : DUI) ตอนที่ ๑
- สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items : DUI) ตอนที่ ๑๐
- สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items : DUI) ตอนที่ ๒
- สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items : DUI) ตอนที่ ๓
- สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items : DUI) ตอนที่ ๔
- สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items : DUI) ตอนที่ ๕
- สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items : DUI) ตอนที่ ๖
- สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items : DUI) ตอนที่ ๗
- สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items : DUI) ตอนที่ ๘
- สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items : DUI) ตอนที่ ๙
API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks
- API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๑)
- API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๑๐)
- API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๑๑)
- API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๑๒)
- API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๑๓)
- API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๑๔)
- API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๑๕)
- API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๒)
- API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๓)
- API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๔)
- API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๕)
- API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๖)
- API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๗)
- API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๘)
- API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๙)
โน๊ตเพลง
- "กำลังใจ" และ "ถึงเพื่อน"
- "ใกล้รุ่ง" และ "อาทิตย์อับแสง"
- "คนดีไม่มีวันตาย" "หนึ่งในร้อย (A Major) และ "น้ำตาแสงใต้ (A Major)"
- "ความฝันอันสูงสุด" และ "ยามเย็น"
- "จงรัก" และ "ความรักไม่รู้จบ"
- "ฉันยังคอย" และ "ดุจบิดามารดร"
- "ชาวดง" และ "ชุมนุมลูกเสือไทย"
- "ตัดใจไม่ลง" และ "ลาสาวแม่กลอง"
- "เติมใจให้กัน" และ "HOME"
- "แต่ปางก่อน" "ความรักไม่รู้จบ" "ไฟเสน่หา" และ "แสนรัก"
- "ทะเลใจ" "วิมานดิน" และ "เพียงแค่ใจเรารักกัน"
- "ที่สุดของหัวใจ" "รักล้นใจ" และ "รักในซีเมเจอร์"
- "ธรณีกรรแสง" และ "Blowin' in the wind"
- "นางฟ้าจำแลง" "อุษาสวาท" และ "หนี้รัก"
- "แผ่นดินของเรา" และ "แสงเทียน"
- "พรปีใหม่" และ "สายฝน"
- "พี่ชายที่แสนดี" "หลับตา" และ "หากรู้สักนิด"
- เพลงของโรงเรียนเซนต์คาเบรียล
- "มหาจุฬาลงกรณ์" "ยูงทอง" และ "ลาภูพิงค์"
- "ยังจำไว้" "บทเรียนสอนใจ" และ "ความในใจ"
- "ร่มจามจุรี" และ "เงาไม้"
- "ลมหนาว" และ "ชะตาชีวิต"
- "ลองรัก" และ "วอลซ์นาวี"
- "ลาแล้วจามจุรี"
- "วันเวลา" และ "โลกทั้งใบให้นายคนเดียว"
- "วิหคเหินลม" และ "พรานทะเล"
- "สายชล" และ "เธอ"
- "สายใย" และ "ความรัก"
- "สายลม" และ "ไกลกังวล"
- "สายลมเหนือ" และ "เดียวดายกลางสายลม"
- "หน้าที่ทหารเรือ" และ "ทหารพระนเรศวร"
- "หนึ่งในร้อย" และ "น้ำตาแสงใต้"
- "หากันจนเจอ" และ "ลมหายใจของกันและกัน"