พจนานุกรม
Oxford
Advanced Learner's Dictionary of Current English ฉบับปีค.ศ.
๑๙๘๘
ให้ความหมายของคำว่า
"spon-ta-neous"
เอาไว้ว่า
"adj.
(คุณศัพท์
คือคำที่ขยายคำนาม)
done, happening from natural impulse, not caused or suggested by sth
or sb outside" โดยคำ
"spontaneously"
เป็น
adv.
(กริยาวิเศษณ์
คือคำที่ขยายคำกิริยา)
ถ้าแปลเป็นไทยก็คงมีความหมายว่า
"เกิดขึ้นได้เอง"
ทีนี้ขอให้ลองพิจารณาข้อความในรูปข้างล่างที่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเห็นมีการกดแชร์กันทางหน้า
facebook
กันหลายรายก่อนนะครับว่าเห็นแล้วรู้สึกอย่างไร
(รูปต้นฉบับอยู่ในหน้าเว็บของต่างประเทศเว็นหนึ่ง
และมีเว็บเพจทาง facebook
รายหนึ่งนำมาประกอบบทความที่มีการกดแชร์กัน)
รูปจาก
https://socratic.org/questions/how-is-gibbs-free-energy-related-to-enthalpy-and-entropy
อันที่จริงเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับ
Gibbs
Free Energy
หรือที่แปลเป็นไทยว่าพลังงานเสรีกิบส์กับการเกิดปฏิกิริยาเคมีนั้นเคยอธิบายเอาไว้เมื่อหลายปีที่แล้วใน
Memoir
ปีที่
๓ ฉบับที่ ๒๔๐ วันศุกร์ที่
๗ มกราคม ๒๕๕๔ เรื่อง "อุณหภูมิ อัตราการเกิดปฏิกิริยา สมดุลเคมี"
ที่ได้อธิบายเอาไว้ว่า
Gibbs
Free Energy
นั้นมันบอกเพียงแค่ปฏิกิริยาเคมีจะดำเนินไปข้างหน้าได้มากน้อยเท่าใด
"ถ้า"
ปฏิกิริยานั้นเกิดได้
ต้องขอเน้นยำตรงคำว่า "ถ้า"
(ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็คงใช้คำว่า
"if")
มันไม่ได้บอกนะครับว่าถ้าค่าผลการคำนวณแล้วออกมาว่า
∆G
ของปฏิกิริยาเป็นลบ
ปฏิกิริยาจะเกิดได้เองหรือเกิดได้ทันที
เพราะปฏิกิริยาจะ
"เกิดได้หรือไม่ได้"
นั้นมันขึ้นอยู่กับ
"พลังงานกระตุ้น"
หรือ
"activation
energy"
และดูเหมือนว่าความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนตรงนี้มันมีอยู่ไม่น้อยในตัวผู้สอนที่ส่งผลกระทบถึงตัวผู้เรียนด้วย
อันที่จริงใน
Memoir
ฉบับที่
๒๔๐ นั้นก็ได้ยกตัวอย่างปฏิกิริยาที่ให้ค่า
∆G
เป็นลบที่อุณหภูมิห้อง
แต่ในความเป็นจริงนั้นปฏิกิริยานั้นไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้
มาวันนี้ก็ขอยกตัวอย่างง่าย
ๆ เพิ่มเติมหน่อยก็แล้วกัน
โดยค่า Stand
Gibbs free enery of formation ที่นำมาใช้ในการคำนวณค่า
∆G
ของปฏิกิริยาที่ใช้ในที่นี้ได้มาจากเว็บ
en.wikipedia.org
(ที่เขาเอามาจากหนังสือ
CRC
Handbook of Chemistry and Physics อีกที)
โดยเป็นค่าที่อุณหภูมิ
25ºC
และหน่วยเป็น
kJ/mol
(ในวงเล็บหลังสารแต่ละตัวคือสถานะของสารนั้นเมื่อ
s
- solid, l - liquid และ
g
- gas และตัวเลขที่ตามมาคือค่า
∆G
of formation ของสารนั้น)
๑.
ปฏิกิริยาระหว่างคาร์บอน
C
และแก๊สออกซิเจน
O2
C
(s, 0) + O2 (g, 0) →
CO2 (g, -394.39) ∆G
= -394.39
๒.
ปฏิกิริยาระหว่างเอทานอล
(C2H5OH)
และแก๊สออกซิเจน
O2
C2H5OH
(l, -174.8) + 3O2 (g, 0) →
2CO2 (g, -394.39) + 3H2O (g, -228.61) ∆G
= -1299.81
๓.
ปฏิกิริยาระหว่างกลูโคส
(C6H12O6)
และแก๊สออกซิเจน
O2
C6H12O6
(s, -910.56) + 6O2 (g, 0) →
6CO2 (g, -394.39) + 6H2O (g, -228.61) ∆G
= -2827.44
๔
การระเหยของน้ำที่อุณหภูมิ
25ºC
H2O
(l, -237.14) →
H2O (g, -228.61) ∆G
= 8.53
สามปฏิกิริยาแรกให้ค่า
∆G
ออกมาติดลบ
ซึ่งถ้าเอาไปคำนวณค่าคงที่สมดุลเคมี
(Keq)
จากสมการ
∆G
= -RTln(Keq)
จะเห็นว่าปฏิกิริยาควรดำเนินไปข้างหน้าได้อย่างสมบูรณ์
แต่ในความเป็นจริงในทางปฏิบัตินั้นเรียกได้ว่าปฏิกิริยาดังกล่าวไม่เกิด
เว้นแต่จะมีการใส่พลังงานกระตุ้นเข้าไปให้มันเริ่มเกิด
เช่นให้ความร้อนจนมันเริ่มเผาไหม้
จากนั้นความร้อนจากปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นก็จะถ่ายทอดให้กับโมเลกุบสารตั้งต้นที่อยู่รอบข้าง
ทำให้สารตั้งต้นที่อยู่รอบข้างบริเวณที่เกิดปฏิกิริยามีอุณหภูมิสูงขึ้น
(หรือมีพลังงานจลน์มากขึ้น)
ปฏิกิริยาจึงดำเนินต่อเนื่องไปได้ด้วยตนเอง
สำหรับปฏิกิริยาที่
๔ นั้นแม้ว่าจะให้ค่า ∆G
เป็นบวก
แต่กลับสามารถเกิดได้เองที่อุณหภูมิ
25ºC
เพราะถ้าน้ำระเหยไม่ได้ที่อุณหภูมิห้อง
(ซึ่งจะเกิดได้เมื่ออากาศมีความชื้นจนอิ่มตัวเช่นในช่วงฝนตก)
เราก็คงตากผ้าไม่มีวันแห้ง
ส่วนเรื่องผลของอุณหภูมิที่มีต่อการดูดซับนั้นก็เลยเล่าเอาไว้ใน
Memoir
ปีที่
๔ ฉบับที่ ๓๗๕ วันพุธที่ ๑๔
ธันวาคม ๒๕๕๔ เรื่อง
"อุณหภูมิและการดูดซับ"
ซึ่งเป็นกรณีที่ของแข็งที่เป็นสารดูดซับนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากการเปลี่ยนอุณหภูมิ
และโมเลกุลที่ถูกพื้นผิวดูดซับเอาไว้นั้นไม่ได้เกิดปฏิกิริยากับพื้นผิวแบบ
"ผันกลับไม่ได้"
และแม้ว่าการดูดซับนั้นจะเป็นปฏิกิริยาคายความร้อนที่น่าจะเกิดได้น้อยลงที่อุณหภูมิสูง
แต่การแพร่ซึมของของเหลวเข้าไปในรูพรุนนั้นมันเกิดได้ดีขึ้นที่อุณหภูมิสูง
(ของเหลวมีความหนืดน้อยลง)
จึงทำให้มีโอกาสที่จะเห็นการดูดซับนั้นเกิดได้ดีขึ้นที่อุณหภูมิสูง
โดยเฉพาะเมื่อโมเลกุลสารที่ถูกดูดซับนั้นเกิดปฏิกิริยากับพื้นผิวแบบ
"ผันกลับไม่ได้"
เพราะอุณหภูมิที่สูงทำให้การแพร่นั้นเกิดได้ดีขึ้น
และการดูดซับแบบผันกลับไม่ได้ทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนการดูดซับไปข้างหน้าตลอดเวลาจนกว่าพื้นผิวจะอิ่มตัว
การทดสอบเรื่องนี้ทำได้ไม่ยากหรอกครับ
ลองเอาไข่ที่ต้มแล้วใส่แช่ลงในน้ำพะโล้เย็น
ๆ แล้วดูว่าน้ำพะโล้มันซึมเข้าไปในเนื้อไข่ได้ลึกแค่ไหน
หรือเอาไข่พะโล้ที่น้ำพะโล้ซึมเข้าไปลึกแล้วมาต้มใหม่ในน้ำร้อนธรรมดาเพื่อดูว่าไข่จะกลับมาขาวเหมือนเดิมหรือไม่ก็ได้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น