พื้นฐานความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่จะเล่าใน
Memoir
ฉบับนี้อ่านได้จาก
Memoir
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๖๓๘ วันอาทิตย์ที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ เรื่อง
"ถังความดัน
หอ stripper
และการลดอุณหภูมิเนื่องจากการระเหยของของเหลว"
เอกสารที่ใช้ในการเรียบเรียงบทความฉบับนี้ได้แก่
1.
The Feyzin Disaster, Loss Prevention Buletin, vol 77, 1987.
2.
BLEVE in an LPG storage facility at a rafinery January 4, 1966
Feyzin France, sheet updated Feb 2008.
(http://www.aria.developpement-durable.gouv.fr/ressources/1_feyzin_gc_ang.pdf)
(ผมสะกดชื่อบทความตามที่ปรากฏในบทความนะ
คือเขาสะกดเป็น rafinery
แทนที่จะเป็น
refinery)
3.
Fire and explosion of LPG tanks at Feyzin, France. Failure
knowledge database - 100 selected cases.
(http://shippai.jst.go.jp/en/)
ในวันอังคารที่
๔ มกราคมปีค.ศ.
๑๙๖๖
(พ.ศ.
๒๕๐๙)
ได้เกิดเหตุการแก๊ส
LPG
(Liquified Petroleum Gas) รั่วไหลจากถังเก็บ
ณ เมือง Feyzin
ประเทศฝรั่งเศส
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิต
๑๘ ราย โดย ๑๑
รายเป็นพนักงานดับเพลิงที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ควบคุมเพลิง
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดการทบทวนวิธีการปฏิบัติหน้าที่ในการเก็บตัวอย่าง
การผจญเพลิง การออกแบบระบบลดอุณหภูมิถังเก็บ
ฯลฯ และได้กลายเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญกรณีหนึ่งในสาขาวิศวกรรมเคมี
รูปที่
๑
แสดงแผนผังบริเวณที่เกิดเหตุและภาพมุมกว้างแสดงความเสียหายโดยรวมของบริเวณที่เกิดเหตุ
ในการปฏิบัติงานของโรงกลั่นแห่งนี้
จะมีการเก็บตัวอย่าง LPG
จากถังลูกโลก
(spherical
tank) ไปทำการวิเคราะห์ทุก
๓ ถึง ๕ วัน
แต่เนื่องจากการออกแบบกระบวนการผลิตของโรงกลั่น
จึงทำให้มีสารละลาย NaOH
(caustic soda - หรือโซดาไฟ)
เข้าไปในถังเก็บ
และจะแยกชั้นออกมาอยู่ที่กันถัง
(เพราะน้ำมีความหนาแน่นสูงกว่า
LPG
และไม่ละลายใน
LPG)
ดังนั้นก่อนการเก็บตัวอย่างจึงต้องมีการระบายน้ำที่ก้นถังทิ้งเสียก่อน
รูปที่
๒ แสดงแผนผังระบบท่อและวาล์วสำหรับการระบายสารละลาย
NaOH
ทิ้งก่อนเก็บตัวอย่าง
LPG
และท่อแยกสำหรับเก็บตัวอย่าง
ระบบท่อต่อออกจากถังเป็นท่อขนาด
2
นิ้ว
ระบบท่อดังกล่าวมีการติดตั้งวาล์วขนาด
2
นิ้วต่ออนุกรมกันอยู่สองตัว
โดยที่ท่อสั้น ๆ ที่เชื่อมระหว่างวาล์ว
2
นิ้ว
(ใน
ref
1 เรียกท่อนี้ว่า
spool
piece ซึ่งคำศัพท์นี้ในทาง
piping
หมายถึงชิ้นส่วนท่อสั้น
ๆ ที่ผ่านประกอบเป็นรูปร่างต่าง
ๆ สำหรับติดตั้งทำนองเดียวกับชิ้นส่วนจิ๊กซอร์)
ทั้งสองตัวนั้นจะมีท่อแยกขนาด
3/4
นิ้วที่มีวาล์วขนาด
3/4
นิ้วติดตั้งอยู่หนึ่งตัว
ท่อ 3/4
นิ้วนี้มีไว้สำหรับเก็บตัวอย่าง
LPG
วาล์วทั้งสามตัวนี้
(2
นิ้ว
2
ตัวและ
3/4
นิ้ว
1
ตัว)
ไม่ได้มีการระบุว่าเป็นวาล์วชนิดไหน
แต่ใน ref.
1 กล่าวว่าสำหรับวาล์ว
2
นิ้วนั้นไม่ได้มีการติดตั้งประแจหมุนวาล์ว
(valve
spanner) คาไว้ที่ตัววาล์ว
แต่จะใช้วิธีให้ไปเบิกมาใช้งานเมื่อต้องการเปิดวาล์วดังกล่าว
ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาหมุนเปิดวาล์วดังกล่าวเล่น
จากข้อมูลนี้ทำให้สงสัยว่าวาล์วขนาด
2
นิ้วทั้งสองตัวนั้นคงจะเป็นชนิด
ball
valve เพราะถ้าเป็น
gate
หรือ
globe
valve ควรจะใช้คำว่า
wheel
มากกว่า
spanner
ส่วนวาล์วขนาด
3/4
นิ้วนั้นไม่มีข้อมูลที่จะระบุได้ว่าเป็นวาล์วชนิดไหน
รูปที่
๑ แผนผังบริเวณที่เกิดเหตุ
รูปบนมาจาก figure
1.4 ของ
ref
1. ส่วนรูปล่างมาจาก
figure
7 ของ
ref.
2 รูปทั้งสองเป็นการมองจากคนละด้านกัน
ในส่วนของถังเก็บ LPG
นั้นมีทั้งชนิด
spherical
type และ
bullet
type ส่วนถังน้ำมันที่เห็นในรูปเป็นชนิด
floating
roof tank
รูปที่
๒ แผนผังท่อและวาล์วสำหรับการระบายสารละลาย
NaOH
ทิ้งจากก้นถังและสำหรับเก็บตัวอย่าง
LPG
ไปทำการวิเคราะห์
(ภาพจาก
ref.
1) pipe ขนาด
2
นิ้วมีเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกประมาณ
2.375
นิ้วและเส้นผ่านศูนย์กลางภายในประมาณ
2.0
นิ้วสำหรับท่อ
schedule
no. 40 พึงสังเกตระยะความสูงของก้นถังจากพื้น
(ประมาณ
1.37
เมตร)
นั้นต่ำกว่าความสูงของผู้ใหญ่ทั่วไป
(1.6-1.8
เมตร)
ทำให้พนักงานที่เข้าไปปฏิบัติงานเก็บตัวอย่างต้องก้มตัวลงเพื่อปฏิบัติงาน
เนื่องจากวาล์วมีขนาดใหญ่
ดังนั้นการเปิดวาล์วเพื่อการระบายน้ำจึงจะเปิดวาล์วเพียงเล็กน้อย
ในสภาพที่อากาศเย็นร่วมกับการที่อาจมีแก๊ส
LPG
รั่วไหลออกมาพร้อมกับน้ำที่ระบายทิ้งในขณะที่เปิดวาล์วเพื่อระบายน้ำนั้น
จะทำให้อุณหภูมิบริเวณตัววาล์วนั้นลดต่ำลง
(จากการที่
LGP
ขยายตัวเมื่อไหลผ่านรูขนาดเล็ก
เรื่องนี้เคยอธิบายไว้ใน
Memoir
วันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ แล้ว)
จนกระทั่งทำให้น้ำที่ระบายออกมานั้นแข็งตัวเป็นน้ำแข็งอุดตันวาล์วเอาไว้ได้
และเมื่อมีน้ำแข็งอุดตันวาล์ว
จะทำให้ไม่สามารถหมุนเปิด-ปิดวาล์วดังกล่าวได้
ดังนั้นเพื่อป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าว
จึงได้มีการกำหนดระเบียบวิธีปฏิบัติในการระบายสารละลาย
NaOH
ออกจากถังดังนี้
(ก)
สวมประแจหมุนวาล์วเข้ากับวาล์ว
2
นิ้วทั้งสองตัวนั้น
(ข)
เปิดวาล์ว
2
นิ้ว
"ตัวบน"
ที่อยู่ใกล้กับก้นถังลูกโลกจนเปิดเต็มที่
(ค) ค่อย ๆ ปรับอัตราการระบายของเหลวทิ้งทีละน้อย (เท่าที่จำเป็น) ด้วยการค่อย ๆ เปิดวาล์ว 2 นิ้ว "ตัวล่าง" หรือวาล์ว 3/4 นิ้วที่ใช้สำหรับเก็บตัวอย่าง LPG
เช้าวันเกิดเหตุนั้น
พนักงานต้องไปทำการเก็บตัวอย่างแก๊สโพรเพนที่ถังลูกโลกใบหนึ่ง
(หมายเลขถังในเอกสารต่างฉบับกันมีความแตกต่างกันอยู่
ใน ref.
1 บอกว่าแค่ว่าเป็นหมายเลข
443
แต่ใน
ref.
2 นั้นบอกว่าเป็นเบอร์
T
61443 ซึ่งจะเรียกย่อ
ๆ ว่า 443
ดังนั้นจึงสรุปว่าเป็นถังใบเดียวกัน)
ทีมพนักงานที่ไปเป็นตัวอย่างนั้นประกอบด้วยพนักงาน
3
คนคือพนักงานปฏิบัติงาน
(ที่เราเรียกว่าโอเปอร์เรเตอร์)
1 คน
เจ้าหน้าที่แลปวิเคราะห์
1
คนและพนักงานดับเพลิงอีก
1
คน
พนักงานปฏิบัติงานนั้นมีประแจหมุนวาล์วไปเพียงอันเดียว
(แทนที่จะมีสองอันสำหรับวาล์ว
2
นิ้วสองตัว)
เมื่อไปถึงถังที่จะเก็บตัวอย่าง
พนักงานปฏิบัติงานได้กระทำดังนี้
๑.
เปิดวาล์ว
2
นิ้ว
"ตัวล่าง"
จน
"เกือบ"
เต็มที่
(ตรงนี้
ref.
1 ใช้คำว่า
almost
fully)
ซึ่งตรงนี้เป็นการกระทำแตกต่างไปจากระเบียบวิธีปฏิบัติที่วางไว้คือต้องเปิดวาล์ว
2
นิ้ว
"ตัวบน"
ไม่ใช่ตัวล่าง
๒.
จากนั้นจึงค่อย
ๆ เปิดวาล์ว 2
นิ้ว
"ตัวบน"
(ระเบียบวิธีปฏิบัติที่วางไว้คือต้องเป็นตัวล่าง)
เพื่อจะระบายสารละลาย
NaOH
ออกจากถังเก็บ
ในการนี้พนักงานต้อง "ถอด"
ประแจหมุนวาล์วจากวาล์วตัวล่างไปใช้กับวาล์วตัวบน
(เพราะมีประแจหมุนวาล์วติดมือไปเพียงอันเดียว)
ตรงนี้เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เกิดเป็นประเด็นถกเถียงกันได้ว่า
สิ่งที่พนักงานคนดังกล่าวกระทำนั้นเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามวิธีการ
(เพราะลืมหรืออะไรก็ตามแต่)
หรือว่าวิธีการที่วางไว้นั้นไม่เหมาะสม
เพราะถ้าดูจากความสูงของพื้นที่ปฏิบัติงาน
ก็
ทำให้เกิดคำถามได้ว่าการให้ไปปรับวาล์วตัวล่างที่อยู่ใกล้กับพื้นนั้นมีความสะดวกในการปฏิบัติหรือไม่
(เช่นทำให้เปิดวาล์วได้ไม่ค่อยสะดวก
หรือของเหลวที่ไหลออกมานั้นอาจพุ่งลงกระทบพื้นและกระเด็นเข้าหน้าของพนักงานได้)
เมื่อเปิดวาล์วตัวบนเพียงเล็กน้อย
ปรากฏว่ามีของเหลวไหลออกมาเพียงเล็กน้อยตามด้วยแก๊สในปริมาณเล็กน้อย
พนักงานจึงปิดวาล์วตัวบนอีกครั้งและเปิดอีกครั้งหนึ่ง
(ตรงนี้เข้าใจว่าน่าจะเปิดเพียงเล็กน้อย)
ปรากฏว่ามีของเหลวไหลออกมาเพียงไม่กี่หยดและไม่มีอะไรไหลออกมา
พนักงานคนดังกล่าวจึงตัดสินใจเปิดวาล์ว
2
นิ้วตัวบนเต็มที่
จากนั้นก็มีเสียงดัง (ใน
ref.
1 ใช้คำว่า
deflagration)
ตามด้วยกระแสโพรเพนที่ฉีดออกมาจากถังอย่างรุนแรงกระจายไปทั่วบริเวณ
จนทำให้พนักงานที่เข้าไปเปิดวาล์วได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้าและแขนจากความเย็นของแก๊สที่ฉีดออกมา
และในจังหวะที่เขาถอดหลังออกมานั้นก็ได้ดึงเอาประแจหมุนวาล์วออกจากตำแหน่ง
จากนั้นพนักงานปฏิบัติการและพนักงานดับเพลิงพยายามจะเข้าไปปิดวาล์วที่เพื่อหยุดการไหลของแก๊ส
แต่ไม่สำเร็จ (นับว่าเป็นการกระทำที่เสี่ยงมาก
เพราะต้องเข้าไปอยู่ในหมอกแก๊สโพรเพนที่รั่วออกมาจากถังอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งในช่วงเลานี้ถ้าเกิดการระเบิดขึ้นเมื่อใด
พนักงานทั้งหมดจะโดนไฟครอกทันที)
จึงได้ออกจากบริเวณดังกล่าวเพื่อไปยังจุดแจ้งเหตุ
(ห่างออกไปประมาณ
800
เมตร)
ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ
6.40
น
(ในช่วงเช้า)
ช่วงเวลาต่อจากนั้นเป็นความพยายามของพนักงานดับเพลิงที่จะปิดแก๊สที่รั่วไหลและปิดกั้นเส้นทางในถนนบริเวณใกล้เคียง
แต่ปรากฏว่ามีมีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งผ่านเข้าไปในหมอกแก๊สโพรเพน
ห่างจากถังแก๊สที่รั่วออกมาประมาณ
160
เมตร
(เหตุการณ์ตอนนี้ใน
ref.
1 และ
ref.
2 บรรยายไว้แตกต่างกัน)
ทำให้เกิดการจุดระเบิดแก๊สโพรเพนที่รั่วออกมานั้น
(คนขับรถยนต์คันดังกล่าวถูกไฟครอกเสียชีวิต
ส่วนสาเหตุการจุดระเบิดนั้นใน
ref.
1 บอกว่าเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่บกพร่อง
แต่ใน ref.
2 บอกว่าเป็นชิ้นส่วนที่ร้อนของตัวรถ)
ทำให้เกิดเปลวไฟวิ่งย้อนไปยังถังแก๊สโพรเพน
443
ที่มีแก๊สรั่วออกมา
เกิดเป็นเปลวไฟพุ่งสูงขึ้นไปประมาณ
60
เมตร
ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 7.15
น
(ดูรูปที่
๓)
เหตุการณ์ต่อจากนั้นเป็นความพยายามที่จะควบคุมเพลิง
ด้วยการใช้น้ำฉีดหล่อเลี้ยงไปยังถังข้างเคียงและถัง
443ไม่ให้ร้อน
การเข้ามาช่วยเหลือของหน่วยดับเพลิงต่าง
ๆ รายละเอียดตรงจุดนี้ในเอกสาร
ref.
1 และ
2เขียนไว้ชัดเจนแล้ว
ไม่ขอนำมากล่าวซ้ำ
แต่ผลที่เกิดขึ้นคือมีการแย่งน้ำใช้กันจนทำให้เกิดปัญหาน้ำไม่พอใช้ในการหล่อเลี้ยงถังทุกใบ
เวลาประมาณ
7.45
น
วาล์วระบายความดันขนาด 4
นิ้วบนถัง
443
เปิดออก
เนื่องจากความดันในถังสูงขึ้นจากการโดนไฟครอก
แก๊สที่รั่วออกมานั้นลุกติดไฟทันที
ทำให้เกิดเป็นเปลวไฟขนาด
10
เมตร
ตรงนี้ต้องขออธิบายหน่อย
คือการระบายความดันในกรณีที่ความดันในถังสูงผิดปรกติไม่มากและเป็นชั่วขณะ
(เช่นจากอุณหภูมิอากาศที่ร้อนหรือการปฏิบัติงาน)
แก๊สที่ออกจากวาล์วระบายความดันของถังจะส่งไปยังระบบ
flare
ได้
แต่ถ้าเป็นกรณีเช่นไฟลุกไหม้ที่ตัวถังแล้ว
จะยอมให้แก๊สที่รั่วออกมานั้นออกสู่บรรยากาศโดยตรงได้
(แก๊สที่รั่วออกอาจมีปริมาณมากเกินกว่าที่ระบบ
flare
จะรับได้)
เมื่อแก๊สรั่วออกมาก็จะลุกติดไฟทันที
ที่สำคัญคืออย่าให้เปลวไฟที่เกิดจากแก๊สที่รั่วออกมาจากวาล์วระบายความดันสัมผัสกับโลหะที่เป็นผนังของตัวถังโดยตรงหรือถังข้างเคียง
และต้องป้องกันไม่ให้ผนังถังร้อนเกินไปด้วยการใช้น้ำหล่อเย็น
แนวปฏิบัติเช่นนี้ปัจจุบันผมก็ยังเห็นมีการใช้งานอยู่
ช่วงระหว่างเวลา
7.45-8.30
น
นั้นมีพนักงานเข้าระงับเหตุอยู่
158
นายในบริเวณ
100-120
เมตรรอบตัวถัง
443
เมื่อเห็นวาล์วระบายความดันของถัง
443
เปิดออก
พนักงานดับเพลิงจึงได้
"ยุติ"
การฉีดน้ำเข้าหล่อเลี้ยงถัง
443
(ในขณะนั้นน้ำมีไม่พอใช้)
ด้วยเข้าใจว่าวาล์วระบายความดันที่เปิดออกจะสามารถป้องกันไม่ให้ถัง
443
ระเบิดได้ด้วยการลดความดันภายในถังด้วยการปล่อยให้แก๊สรั่วไหลออกมา
แต่ถึงกระนั้นปัญหาน้ำขาดแคลนและมีความดันต่ำก็ยังคงมีอยู่
ทำให้พนักงานดับเพลิงต้องเข้าไปฉีดน้ำใกล้ถัง
แต่ความร้อนจากเปลวไฟก็ทำให้เข้าใกล้ได้ไม่เกิน
40
เมตรจากตัวถัง
เวลาประมาณ
8.40-8.45
น
ผนังของถัง 443
ก็แตกออก
โพรเพนประมาณ 340
m3 (ที่เป็นของเหลว)
รั่วออกมาจากถังทันที
เมื่อความดันลดลงประกอบกับอุณหภูมิที่สูง
ก็ทำให้โพรเพนที่เป็นของเหลวนั้นกลายเป็นไอปกคลุมบริเวณดังกล่าวและลุกติดไฟอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่วินาที
กลายเป็นลูกไฟขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ
250
เมตรและสูงประมาณ
400
เมตร
(สนามฟุตบอลมาตรฐานมีความยาวประมาณ
100
เมตร
ดังนั้นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเปลวไฟจะครอบคลุมพื้นที่สนามฟุตบอลได้ถึงสองสนาม)
เศษชิ้นส่วนจากการระเบิดนั้นยังส่งผลให้ถังแก๊สที่อยู่บริเวณข้างเคียงได้รับความเสียหาย
ปลดปล่อยแก๊สให้รั่วออกมาอีก
ทำให้บริเวณเพลิงไหม้ขยายตัวออกไปในบริเวณกว้าง
ในบรรดาผู้เสียชีวิต 18
รายนั้น
11
รายเป็นพนักงานดับเพลิงที่เข้าไปดับเพลิงในบริเวณถังดังกล่าว
(เข้าใจว่าน่าจะเสียชีวิตในขณะที่เกิดการระเบิด)
ความร้อนแรงจากเปลวไฟนั้นเผาพลาญร่างผู้เสียชีวิตบางรายจนเหลือเพียงคราบคาร์บอนบนพื้น
(รูปที่
๔)
เวลาประมาณ
8.55
น
ก็ได้ถอนกำลังออกจากบริเวณถังเก็บที่เกิดไฟไหม้
เหตุการณ์ต่อจากนี้ไปเป็นอย่างไรบ้างนั้น
ขอให้ไปอ่านเอาเองใน ref.
ที่ส่งเป็นไฟล์แนบมาให้
(หรือไม่ก็ไปดาวน์โหลดจากเว็บได้
สำหรับ ref.
1 นั้นเข้าไปได้ที่
www.en.wikipedia.org
แล้วค้นดูคำว่า
Feyzin
ดู
จะมี link
ไปยังบทความดังกล่าว
แต่เป็นเวอร์ชันจัดรูปแบบใหม่
ที่ผมส่งมาให้เป็นฉบับเวอร์ชันดั้งเดิม)
สถานการณ์กลับเข้าสู่การควบคุมได้อีกครั้งในเย็นวันพุธที่
๕ มกราคม แม้ว่าในขณะนั้นยังมีไฟไหม้อยู่บางส่วนก็ตาม
รูปที่
๔ คราบคาร์บอนบนพื้นของผู้เสียชีวิตรายหนึ่ง
(จาก
ref.
1)
หลังเหตุการณ์ครั้งนั้นคำถามที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ
ทำให้ถัง 443
จึงเกิดการระเบิดได้
ในช่วงแรกมีอยู่สองทฤษฎีที่เป็นที่ถกเถียงกันก็คือ
๑.
วาล์วระบายความดันมีขนาดเล็กเกินไป
๒.
ความร้อนที่เกิดจากเปลวไฟที่เผาผนังโลหะถังส่วนที่อยู่เหนือผิวของเหลวโดยตรง
ทำให้ความแข็งแรงของโลหะลดลง
ประกอบกับความดันในถังที่สูงขึ้น
ทำให้ถังแตกออก
ทฤษฎีทั้งสองเป็นที่ถกเถียงกันหลังเหตุการณ์ผ่านไปหลายปี
กว่าจะได้ข้อยุติว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ถังเกิดการระเบิดคือการที่ความร้อนที่เกิดจากเปลวไฟที่เผาผนังโลหะถังส่วนที่อยู่เหนือผิวของเหลวโดยตรง
ทำให้ความแข็งแรงของโลหะลดลง
ประกอบกับความดันในถังที่สูงขึ้น
ทำให้ถังแตกออก
การระเบิดรูปแบบเช่นนี้มีชื่อเรียกว่า
Boiling
Liquid Expansion Vapour Explosion หรือย่อสั้น
ๆ ว่า "BLEVE"
จุดแตกต่างระหว่าง
BLEVE
กับ
Unconfined
Vapour Cloud Explosion (UVCE) คือ
ในกรณีของ UVCE
นั้นไอสารที่รั่วไหลออกมา
(ต้องรั่วออกมาเป็นปริมาณมากด้วย
แต่จะรั่วออกมาอย่างรวดเร็วหรือค่อย
ๆ รั่วออกมานั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
ไม่ได้เกิดการลุกไหม้ทันที่
แต่มีการแผ่ออกไปเป็นบริเวณกว้างก่อนเกิดการระเบิด
ความเสียหายจาก UVCE
นั้นเกิดจากคลื่นกระแทกจากการระเบิดเป็นหลัก
แต่ในกรณีของ BLEVE
นั้นเป็นการรั่วไหลออกมาในปริมาณมากในระยะเวลาอันสั้น
และเกิดการลุกไหม้ติดไฟทันที
ความเสียหายหลักจาก BLEVE
นั้นคือเปลวไฟที่เกิดขึ้นจะมีขนาดใหญ่มากและมีการแผ่รังสีความร้อนที่สูงมาก
มีบันทึกหนึ่งกล่าวว่าในขณะที่เกิด
BLEVE
นั้น
พนักงานดับเพลิงที่อยู่คู่กันสองราย
รายหนึ่งหลบเข้าที่กำบังทัน
(ไม่ได้รับความร้อนจากการแผ่รังสีที่เดินทางเป็นเส้นตรงเหมือนแสง)
รอดชีวิต
ส่วนอีกรายที่หลบไม่ทันและรับความร้อนจากการแผ่รังสีเข้าไปนั้นเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
ในกรณีของภาชนะโลหะที่บรรจุของเหลวอยู่นั้น
ถ้ามีไฟเผาเนื้อโลหะบริเวณที่อยู่ใต้ระดับผิวของเหลว
อุณหภูมิของเนื้อโลหะจะสูงขึ้นและส่งผ่านความร้อนไปยังของเหลวที่บรรจุอยู่
และเมื่อของเหลวเริ่มเดือด
การเดือดของของเหลวนั้นจะดึงเอาความร้อนจากเนื้อโลหะไปมาก
ดังนั้นจึงประมาณได้ว่าอุณหภูมิของเนื้อโลหะนั้นจะอยู่ที่ประมาณจุดเดือดของของเหลว
แต่ถ้าไฟเผาเนื้อโลหะบริเวณที่อยู่เหนือผิวระดับของเหลว
สิ่งที่เนื้อโลหะทำได้คือการระบายความร้อนไปยังอีกฟากหนึ่งที่มีแต่แก๊ส
แต่เนื่องจากแก๊สระบายความร้อนได้ไม่ดี
จึงทำให้อุณหภูมิเนื้อโลหะเพิ่มสูงขึ้นมาก
และเมื่อโลหะมีอุณหภูมิสูงขึ้น
ความแข็งแรงจะลดลง
ประกอบกับการที่ความดันในถังเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากของเหลวระเหยกลายเป็นแก๊สในปริมาณมาก
ดังนั้นเมื่อถึงระดับหนึ่งเนื้อโลหะก็จะฉีกขาดออก
ทำให้ของเหลวในถังรั่วไหลออกมาข้างนอกในปริมาณมากทันที
(ดูรูปที่
๕ ข้างล่างประกอบ)
รูปที่
๕ รูปภาพอธิบายการเกิดปรากฏการณ์
BLEVE
(จาก
ref.
3)
จะเห็นว่าวาล์วระบายความดันนั้นจะพ่นแก๊สขึ้นไปในแนวดิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้เปลวไฟจากแก๊สที่ลุกไหม้ไปลนตัวมันเองหรือถังที่อยู่ข้างเคียง
หลังเหตุการณ์ดังกล่าวก็ได้มีการออกแนวปฏิบัติเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำอีก
(แต่มันก็เกิดอยู่ดี)
เช่น
1.
หุ้มฉนวนความร้อนทนไฟไหม้ให้กับตัวถังและส่วนขา
เพื่อลดความร้อนที่จะส่งผ่านไปยังเนื้อโลหะเวลาโดนไฟครอก
การป้องกันส่วนขาก็เพื่อป้องกันไม่ให้ถังล้มลงมา
2.
จัดหาน้ำฉีดหล่อเลี้ยงในปริมาณที่เพียงพอ
3.
บริเวณพื้นใต้ถังควรที่จะมีการลาดเอียง
เพื่อให้เชื้อเพลิงที่รั่วไหลออกมานั้นไหลพ้นจากก้นถัง
เวลาที่เชื้อเพลิงนั้นเกิดการลุกไหม้จะได้ไม่เกิดเปลวไฟครอกที่ก้นถังโดยตรง
4.
ติดตั้งวาล์วเพิ่มเพื่อระบายความดัน
โดยวาล์วนั้นสามารถสั่งเปิดจากระยะไกลได้
เพื่อลดความดันในถังโดยไม่ต้องรอให้
safety
valve ทำงาน
5.
วาล์วระบายของเหลวนั้นไม่ควรเป็นวาล์วขนาดใหญ่
ควรติดตั้งในบริเวณที่เข้าปฏิบัติงานได้ง่าย
(เช่นไม่อยู่ใต้ตัวถัง
แต่เดินท่อออกมายังด้านนอก)
และควรใช้วาล์วชนิดที่ใช้แรงสปริงบังคับให้วาล์วปิดตลอดเวลา
(ต้องใช้แรงคนไปโยกก้านเพื่อให้วาล์วเปิด
แต่ถ้าปล่อยมือ
วาล์วก็จะกลับคืนสู่ตำแหน่งปิด)
รูปที่
๖ การป้องกันไม่ให้ถังระเบิดจากการโดนไฟครอก
(จาก
ref.
1) บทเรียนที่ได้จากเหตุการณ์ที่เมือง
Feyzin
รูปต่าง
ๆ ในหน้าถัดไปนั้นผมนำมาจาก
www.corbisimages.com
และ
www.historicimages.com
ต่างเป็นภาพบริเวณถังเก็บเชื้อเพลิงที่เกิดเพลิงไหม้
ส่วนจะเป็นบริเวณไหนบ้างนั้นก็ลองเพียงดูกันเอาเองก็แล้วกัน
Memoir
ฉบับนี้เป็นฉบับปิดท้ายปีที่
๕ ในรอบปีที่ ๕ นี้เริ่มตั้งแต่ฉบับที่
๔๗๕ มาจนถึงฉบับที่ ๖๔๐
รวมทั้งสิ้น ๑๖๖ ฉบับ ๗๒๖
หน้า A4
ฉบับถัดไปจะเป็นฉบับเริ่มต้นปีที่
๖ แล้ว ซึ่งถ้าไม่มีเหตุการณ์ใดเข้าแทรก
ฉบับถัดไปจะเป็นเรื่องการระเบิดของโรงงานในประเทศไทยที่เกิดขึ้นเมื่อ
๒๕ ปีที่แล้ว
ซึ่งเรื่องนี้ผมเคยเล่าไว้แล้วแต่ยังมีบางจุดที่ยังไม่ชัดเจน
เพิ่งจะได้ทราบข้อมูลชัดเจนมาเมื่อปลายเดือนที่แล้วนี้เอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น