ในช่วงระหว่างที่พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล
มีอีเมล์มาถามคำถามเกี่ยวกับปฏิกิริยา
pyrolysis
ซึ่งในระหว่างนั้นผมก็ได้ตอบคำถามของเขาไปแล้วส่วนหนึ่งเท่าที่จะมีแรงตอบ
(มันนอนอยู่เฉย
ๆ ทั้งวันทั้งคืนบนเตียงโดยไม่มีอะไรทำก็น่าเบื่อเหมือนกัน)
ในที่นี้ก็เลยขอเอาคำถามที่เขาถามมา
(มีการจัดย่อหน้า
แก้ไขข้อความ และเว้นวรรคใหม่เล็กน้อย)
มาให้อ่านกัน
ส่วนคำตอบส่วนที่ผมตอบเขาไปนั้นเป็นคำตอบแบบคนที่ทำ
pyrolysis
อยู่แล้วอ่านแล้วคงเข้าใจ
แต่คนที่ไม่มีพื้นความรู้อาจจะไม่รู้เรื่อง
ผมก็เลยขอเอามาเขียนใหม่เพื่อให้คนอื่นได้ประโยชน์ด้วย
อีเมล์ฉบับแรกมาเมื่อวันจันทร์ที่
๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ใจความดังนี้
วันที่ :
จันทร์
15
กรกฎาคม
2556,
22:53
เรื่อง :
ขอรบกวนสอบถามเรื่อง
ตัวเร่งปฏิกิริยาออกไซด์ค่ะ
สวัสดีค่ะอาจารย์ (ขออนุญาตเรียกอาจารย์นะคะ) หนูได้ติดตามอ่านบล็อกของอาจารย์เป็นครั้งคราว ซึ่งให้ความรู้ด้านเคมีเยอะมาก ๆ ๆ ค่ะ แต่ตอนนี้หนูมีข้อสงสัยเกี่ยวตัวเร่ง ปฏิกิริยาออกไซด์น่ะค่ะ
คือว่า ในการนำเอาขยะ มาใช้กระบวนการไพโรไลซิส ซึ่งจะเกิด Tar (Tar ที่มีออกซิเจนเป็นองค์ประกอบ) ออกมาด้วย แล้วมีการใช้ Calcined Dolomite (CaOMgO) ในงานวิจัยบอกว่า ช่วยให้เกิดการ cracking และ deoxygenation ของ tar ได้มากขึ้น
หนูอยากทราบว่า CaOMgO มีบทบาทในทางเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาซึ่งช่วยให้เกิด cracking และ deoxygenation อย่างไรคะ ถ้าตามความเข้าใจของหนูนะคะ Tar มีการดูดซับ บนผิวของ CaOMgO แล้วมีเวลาอยู่ใน reactor นานขึ้น จึงเกิดการ Cracking และ deoxygenation ได้มากขึ้นใช่ไหมคะ หรือว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่เกิดปฏิกิริยาอย่างอื่นด้วย
หนูพยายามหาอ่าน
เปเปอร์ที่ใช้ Dolomite
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
แต่ก็กล่าวเพียงว่าใช้แล้ว
Tar
ลดลง
แต่ไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นจึงทำให้น้อยลง
หนูจึงได้อีเมลล์หาอาจารย์มาด้วยเหตุนี้ค่ะ
ขอความกรุณาด้วยนะคะ แล้วที่นำ
Dolomite
ไป
calcine
ให้
CO2
ออกมา
นี่เพื่อเพิ่ม active
sites ในการดูดซับใช่ไหมคะ
ขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
หลังจากตอบฉบับแรกไปก็มีอีเมล์ฉบับที่สองมาอีกเมื่อวันพุธที่
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ใจความดังนี้
วันที่
:
17 กรกฎาคม
2556,
17:49
เรื่อง :
RE: ขอรบกวนสอบถามเรื่อง
ตัวเร่งปฏิกิริยาออกไซด์ค่ะ
ขอขอบคุณอาจารย์มากนะคะ
แล้วก็ต้องขออภัยด้วยค่ะที่รบกวนเวลาพักผ่อนส่วนตัว
ค่ะ ในกระบวนต้องการเปลี่ยนสารตั้งต้นที่เป็นของแข็งไปเป็น Syngas โดยตัวอย่างขยะที่นำมาเป็นสารตั้งต้น ส่วนใหญ่เป็นชีวมวลค่ะเป็นพวกเศษอาหาร ไม้ มีพลาสติกและสิ่งทอประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์
ส่วนการที่ tar ลดลง จากการที่อ่านเปเปอร์หนูเข้าใจว่า tar ถูกทำลาย จึงทำให้ผลิตภัณฑ์แก๊สมากขึ้นด้วยค่ะ
ดังรูปที่แนบมาแสดงการการเกิดปฏิกิริยาของ
Tar
โดยใช้
Ni/Dolomite
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยามีสมการบอกไว้แบบนี้ค่ะ
NiO
+ H2 -------> Ni(0) + H2O (1)
Ni(0)
+ CxHy(tar) -------> NiCx + Hy
(2)
NiCx
+ Hy + steam -------> Ni + CO + H2
(3)
ตอนมีนิกเกิลอยู่กับ
Dolomite
หนูก็พอเข้าใจได้ค่ะ
แต่ในเปเปอร์ที่หนูอ่านอยู่
เขาไม่ได้ใช้นิกเกิลด้วย
มีเพียง CaO
และ
MgO
ในเปเปอร์หลาย
ๆ ฉบับก็ให้ผลการทดลอง tar
ก็ลดลง
แต่ไม่ได้บอกว่าเกิดขึ้นอย่างไร
หนูอยากทราบว่า
หากไม่มีนิกเกิลแล้ว
จะสามารถอธิบายในทำนองเดียวกันกับตอนมีนิกเกิลด้วยได้ไหมคะ
คือ tar จะถูกดูดซับบน active surface ของ CaO และ MgO ได้ แล้วเมื่อเจอน้ำจึงทำปฏิกิริยา steam reforming ให้ CO และ H2 ออกมา หรือทำปฏิกิริยา cracking (อุณหภูมิการทำปฏิกิริยาใน reactor 750-900ºC)
อีกอย่างแล้วทำไมในที่นี้เขาจึงเขียนว่า Dolomite เป็นตัวซัพพอร์ตคะ
ขอขอบคุณอีกครั้งค่ะ
และขอให้สุขภาพอาจารย์เป็นปกติโดยไวนะคะ
ด้วยความนับถือ
ส่วนคำตอบที่ตอบไปนั้น
มีรายละเอียดดังข้างล่าง
(มีการขยายความเพิ่มขึ้นจากคำตอบจริงที่ตอบไป)
ผมเอาคำตอบที่ตอบอีเมล์ทั้งสองฉบับมาเขียนใหม่
Pyrolysis
เป็นกระบวนการทำให้สารเคมีสลายตัวด้วยความร้อน
สำหรับสารอินทรีย์กระบวนการนี้จะทำให้โมเลกุลสารอินทรีย์ที่มีขนาดใหญ่นั้นแตกตัวออกเป็นโมเลกุลที่เล็กลง
โมเลกุลขนาดเล็กที่เกิดขึ้นนั้นอาจหลุดออกจากระบบในรูปของโมเลกุลอิสระ
หรือมีการจับรวมตัวกันเป็นโมเลกุลที่ใหญ่ขึ้นก็ได้
ขึ้นอยู่กับภาวะการเกิดปฏิกิริยา
เช่นในปฏิกิริยา ethane
cracking หรือ
propane
cracking ที่เกิดในภาวะแก๊สนั้น
จะมีการใส่ไอน้ำผสมเข้าไปกับสารตั้งต้น
บทบาทหน้าที่ของไอน้ำมีทั้ง
(ก)
ให้ความร้อนเบื้องต้นแก่สารตั้งต้นก่อนที่จะเข้าไปรับความร้อนใน
furnace
(ข)
ลดความเข้มข้นของสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ที่เกิด
ทำให้โอกาสที่ผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจะจับตัวเป็นโมเลกุลที่ใหญ่ขึ้นนั้นลดลง
และ (ค)
ทำปฏิกิริยากับ
coke
(สารประกอบคาร์บอนโมเลกุลใหญ่ที่เป็นของแข็ง)
เพื่อให้
coke
สลายตัวกลายเป็นแก๊สไป
Thermal cracking ก็เป็นการทำให้สารสลายตัวด้วยความร้อน คำ ๆ นี้จะเห็นใช้กันในวงการกลั่นน้ำนันและปิโตรเคมี การผลิตโอเลฟินส์จากไฮโดรคาร์บอน การผลิตน้ำมันเบน (พวกเบนซินและดีเซล) จากน้ำมันหนักก็ใช้ปฏิกิริยา thermal cracking นี้ ในกรณีเหล่านี้จะทำปฏิกิริยาในภาวะที่ไม่มีแก๊สออกซิเจนในระบบ ความร้อนที่ต้องใช้ในการทำปฏิกิริยาจะเป็นแหล่งพลังงานภายนอกที่จ่ายให้กับเครื่องปฏิกรณ์
Gasification ถ้าแปลออกมาตรง ๆ ก็คือการทำให้เป็นแก๊ส ศัพท์นี้เรามักจะใช้ในกรณีที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นแก๊ส (ที่อุณหภูมิห้อง) เป็นหลัก สารตั้งต้นอาจเป็นของเหลว (เช่นไฮโดรคาร์บอน) หรือของแข็ง (เช่นถ่านหิน) ก็ได้ ปฏิกิริยานี้อาจเกิดในภาวะที่ไม่มีออกซิเจนหรือมีออกซิเจนจำกัดก็ได้
ในการทำให้โมเลกุลขนาดใหญ่แตกตัวเป็นโมเลกุลที่เล็กลงนั้น
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความไม่อิ่มตัวเพิ่มสูงขึ้น
(เช่นการทำให้ไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวแตกตัว
จะได้สารประกอบโอเลฟินส์เกิดขึ้น)
ถ้าหากผลิตภัณฑ์ที่ได้นั้นมีขนาดเล็กก็มักจะหลุดรอดลอยออกไปเป็นแก๊ส
โอกาสที่จะจับรวมตัวกันเป็นโมเลกุลใหญ่จะน้อย
แต่ของแข็งและ/หรือของเหลวที่ตกค้างอยู่จะมีโอกาสมากกว่าที่จะจับตัวกันเป็นโมเลกุลที่ใหญ่ขึ้น
สำหรับพวกสารอินทรีย์แล้วโครงสร้างสุดท้ายที่มีความไม่อิ่มตัวสูงสุดที่คาดหวังได้คงจะเป็นแกรไฟต์
(C)
ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ได้จะมีสารอะไรบ้างนั้นก็ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของสารตั้งต้นที่มีอยู่ในระบบ
เช่นในกระบวนการ thermal
cracking ของอีเทนหรือโพรเพน
(มีแต่อะตอม
C
กับ
H)
ที่มีการเติมไอน้ำเข้าไปในระบบด้วย
ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจึงมี
CO
CO2 CH3OH ได้
(ออกซิเจนมาจากไอน้ำ)
ปฏิกิริยา
pyrolysis
นี้มีการนำมาใช้กับขยะที่เป็นสารประกอบอินทรีย์เพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์แก๊สเชื้อเพลิง
โดยหลักการแล้วจะทำในภาวะที่ไม่มีออกซิเจนหรือมีออกซิเจนจำกัด
ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดปฏิกิริยาการเผาไหม้
(combustion)
ความร้อนที่ใช้ในปฏิกิริยานั้นอาจเป็นแหล่งความร้อนจากภายนอก
หรือการให้สารอินทรีย์บางส่วนเกิดการเผาไหม้เพื่อผลิตความร้อนขึ้นในระบบ
ในกรณีหลังนี้ปฏิกิริยา
pyrolysis
จะเกิดในภาวะที่มีการป้อนออกซิเจนเข้าไปอย่างจำกัด
เพื่อให้เผาไหม้สารอินทรีย์ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
(เพียงเพื่อผลิตความร้อน)
เพื่อให้ความร้อนที่เกิดขึ้นไปทำให้สารอินทรีย์ส่วนที่เหลือเกิดการสลายตัว
ในที่นี้ผมขอใช้คำว่า
"ขยะที่เป็นสารอินทรีย์"
แทนคำว่า
"ขยะชีวมวล"
เพราะที่ผ่านมานั้นเห็นว่าคำว่าขยะชีวมวลอาจทำให้บางคนเข้าใจความหมายแตกต่างกัน
ขยะชีวมวลที่เป็นของเหลือทิ้งจากผลิตผลทางการเกษตรจากการปลูกพืชต่าง
ๆ (เช่น
ลำต้น กิ่ง ใบ)
จะมีองค์ประกอบพวกเซลลูโลสเป็นหลัก
ในขณะที่ขยะบางแบบที่ทิ้งจากอาคารบ้านเรือนนั้นอาจเป็นพวกขยะพลาสติก
(มันก็ผลิตขึ้นจากสารประกอบอินทรีย์)
แต่การที่สายโซ่เซลลูโลสและสายโซ่พอลิเมอร์นั้นมันแตกต่างกัน
ดังนั้นจึงควรต้องระวังในการนำผลการทดลองที่ได้จากขยะชนิดหนึ่งไปใช้กับขยะอีกชนิดหนึ่ง
เพราะพฤติกรรมการสลายตัวนั้นมันไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
และผลิตภัณฑ์ที่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันด้วย
แม้แต่ตัวพลาสติกเองก็ยังมีความแตกต่างกันเพราะพลาสติกหลัก
ๆ ที่ใช้กันในบ้านเรือนนั้นมีทั้ง
พอลิเอทิลีน (PE)
พอลิโพรพิลีน
(PP)
พอลิสไตรีน
(PS)
พอลิไวนิลคลอไรด์
(PVC)
และพอลิเอทิลีนเทอฟาทาเลต
(PET)
ซึ่งต่างมีการสลายตัวที่ยาก-ง่ายแตกต่างกันและได้ผลิตภัณฑ์ต่างกัน
พวก PE
PP PS นั้นมีแต่อะตอม
C
กับ
H
พวก
PVC
จะมีอะตอม
C
H และ
Cl
ส่วน
PET
นั้นจะมีอะตอม
C
H และ
O
ในโมเลกุล
พลาสติกพวกไนลอนก็จะมีอะตอม
N
เพิ่มขึ้นมาอีก
ขยะที่เป็นกล่องนม กล่องน้ำผลไม้
ถุงพลาสติกบรรจุอาหารที่เป็นพลาสติกลามิเนตหลายชั้น
ก็มีชั้นของโลหะอะลูมิเนียมด้วย
ในขณะที่ขยะที่เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาตินั้นจะมีอะตอม
C
H และ
O
เป็นหลัก
และยังอาจมีแร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบอยู่ในตัวพืชด้วย
เรื่องการสลายตัวของพลาสติกนี้เคยเล่าเอาไว้ใน
Memoir
ปีที่
๔ ฉบับที่ ๓๗๘ วันพฤหัสบดีที่
๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ เรื่อง
"การเปลี่ยนพลาสติกเป็นน้ำมัน"
เอาไว้บ้างแล้ว
ซึ่งตรงนั้นได้กล่าวเอาไว้บ้างแล้วว่าการสลายตัวของพลาสติกนั้นขึ้นอยู่กับโครงสร้างของพลาสติกอย่างไรบ้าง
ในความเห็นของผมนั้นถ้าเป็นพวก
PE
หรือ
PP
น่าจะทำ
pyrolysis
ได้ง่ายกว่าตัวอื่น
สมมุติว่าในปฏิกิริยาหนึ่งนั้น
สาร A
สามารถสลายตัวไปเป็นผลิตภัณฑ์
B
หรือ
C
ได้โดยตรง
(ปฏิกิริยาคู่ขนาน)
และพบว่าถ้าเติมสาร
M
ลงไปแล้วทำให้การเกิด
B
"ดีขึ้น"
จะอธิบายบทบาทหน้าที่ของสาร
M
ในปฏิกิริยาดังกล่าวได้อย่างไร
ตรงนี้เราก็ต้องมาพิจารณาดูก่อนว่าคำว่า
"ดีขึ้น"
นั้น
นิยามอย่างไร
ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองจากเมื่อเติมสาร
M
แล้วพบว่าการเกิด
B
"ดีขึ้น"
เมื่อเทียบกับ
"C"
เป็นเมื่อเติมสาร
M
แล้วพบว่าสัดส่วนของ
B
ต่อ
C
ในผลิตภัณฑ์ที่ได้
(หรือค่าการเลือกเกิด
-
selectivity นั่นเอง)
สูงขึ้น
เราก็จะสามารถตั้งสมมุติฐานได้ดังนี้
(นิยามของค่า
selectivity
คือปริมาณผลิตภัณฑ์ชนิดใดชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นต่อปริมาณผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ซึ่งในตัวอย่างนี้คือ
B/(B+C))
๑.
การเกิด
B
เพิ่มมากขึ้นในขณะที่การเกิด
C
คงที่
๒.
การเกิด
B
เพิ่มมากขึ้นในขณะที่การเกิด
C
ลดลง
๓.
การเกิด
B
เพิ่มมากขึ้นและการเกิด
C
ก็เพิ่มมากขึ้นด้วย
แต่การเกิด B
เพิ่มในอัตราที่สูงกว่า
๔.
การเกิด
B
คงที่
แต่การเกิด C
ลดลง
๕.
การเกิด
B
ลดลง
และการเกิด C
ก็ลดลงด้วย
แต่การเกิด C
นั้นลดลงมากกว่า
สิ่งที่เราต้องนำมาพิจารณาว่าเป็นไปตามกรณีใดคือค่า
conversion
(ค่าการเปลี่ยนคือ
ปริมาณสารตั้งต้นที่ทำปฏิกิริยาไปต่อปริมาณสารตั้งต้นทั้งหมด)
ในกรณีที่
๑ และ ๓ นั้นเราจะเห็นค่า
conversion
เพิ่มขึ้น
ในกรณีที่
๒ นั้นเราจะเห็นค่า conversion
เพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้
ขึ้นอยู่กับว่าปฏิกิริยาการเกิด
B
ที่เพิ่มขึ้นกับปฏิกิริยาการเกิด
C
ที่ลดลงนั้น
อันไหนโดดเด่นมากกว่ากัน
ในกรณีที่
๔ และ ๕ นั้นค่า conversion
จะลดลง
สิ่งที่ผมต้องการบอกให้ต้องคำนึงถึงก็คือ
เวลาที่เราเติมสารใดสารหนึ่งเข้าไปในระบบแล้วเห็นการเกิด
C
ลดลง
(ลดลงเมื่อเทียบกับปริมาณ
A
ทั้งหมดที่เกิดปฏิกิริยา)
ก็อย่าด่วนสรุปว่าสารที่เติมเข้าไปนั้นจะไปยับยั้งการเกิด
C
เสมอไป
มันอาจจะ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการเกิด
C
หรือเข้าไปช่วยเพิ่มการเกิด
C
หรือไปลดการเกิด
C
ก็ได้ทั้งนั้น
CaO
และ
MgO
ไม่ใช่
cracking
catalyst ซึ่ง
cracking
catalyst นั้นเป็นกรด
แต่กรดก็สามารถทำให้โมเลกุลไม่อิ่มตัวโมเลกุลเล็กต่อกันเป็นโมเลกุลใหญ่ขึ้น
(เช่นพอลิเมอร์ไรซ์เซชันหรือ
alkylation)
ในระหว่างการ
pyrolysis
ก็จะเกิดพวกโมเลกุลไม่อิ่มตัวเหล่านี้เกิดขึ้น
ที่ผมสงสัยคือ CaO
และ
MgO
ที่เป็นเบสทั้งสองตัวอาจเข้าไปสะเทินกรดที่ทำให้โมเลกุลเล็กรวมตัวเป็น
tar
(มองในแง่หนึ่ง
carbocation
ก็จัดว่าเป็นกรดลิวอิสที่แรงเหมือนกัน)
ในภาวะมี
H2
สูง
Ni
เป็น
hydrogenation
cat คือเติม
H2
ไปที่พันธะ
C=C
ให้เป็น
C-C
ที่แตกหักเป็นโมเลกุลเล็กลงได้ง่ายกว่า
ในภาวะ
H2
ต่ำ
Ni
ทำให้โมเลกุลเล็กต่อกันกลายเป็น
coke
ได้
ในขณะเดียวกัน Ni ก็เป็น steam reforming cat ทำให้ไฮโดรคาร์บอนทำปฏิกิริยากับน้ำ สลายตัวเป็นโมเลกุลเล็กลงได้
กรดที่แรงมากจะเป็น cracking catalyst ทำให้พันธะ C-C แตกหักได้ง่าย กลายเป็นโมเลกุลที่เล็กลง
กรดที่มีความแรงรองลงมาทำใหเกิด cracking ไม่ได้ แต่ทำให้โมเลกุลที่มีพันธะ C=C ต่อกันเป็นโมเลกุลใหญ่ได้
กรดที่มีความแรงมากนั้นสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาที่ต้องการกรดที่มีความแรงต่ำกว่าได้ แต่กรดที่มีความแรงต่ำไม่สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาที่ต้องการกรดที่มีความแรงสูงได้ ส่วนปฏิกิริยาใดต้องการกรดที่มีความแรงเท่าใดนั้นดูตัวอย่างได้จากตารางที่ 1 ในหน้าถัดไป
ในกรณีที่ถามมานั้นคาดว่า cracking เกิดจากอุณหภูมิเป็นหลัก (thermal cracking) ไม่ใช่จากกรด (catalytic cracking) แต่อาจมีกรดเกิดขึ้นในระหว่างการสลายตัว ส่วนกรดที่เกิดจะมีความแรงเท่าใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับขยะที่นำมาเผาว่าประกอบด้วยธาตุอะไรบ้าง
ตารางที่
1
ความแรงของกรดที่ต้องการในการทำให้เกิดปฏิกิริยา
(เรียงจากต่ำไปสูง)
จากหนังสือ
Satterfield,C.N.,"Heterogeneous
catalysis in industrial practice", 2nd
Ed.,McGraw Hill, 199
-
HR ที่ต้องการ
< +4 Dehydration of alcohols < +0.82 Cis-trans isomerisation of olefins < -6.63 Double-bond migration
Alkylation of aromatics
Isomerisation of alkylaromatics
Transalkylation of alkylaromatics < -11.5 Cracking of alkylaromatics < -11.63 Skeletal isomerisation < -16.0 Cracking of paraffins
ในส่วนตัวนั้นจะลองตั้งสมมุติฐานเล่น
ๆ ดูว่า CaO
และ
MgO
มีบทบาทตรงไปจับกับโมเลกุลที่เป็นกรด
ทำให้ยับยั้งการเชื่อมต่อเป็นโมเลกุลใหญ่
เช่น tar
ก็เลยเห็นการเกิด
tar
ลดลง
หรือไม่ก็อาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำให้
cabocation
มีเสถียรภาพมากขึ้น
ส่วนความจริงจะเป็นอย่างไรนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะยังไม่คิดจะศึกษาทางด้านนี้
คำว่า
support
ในทางตัวเร่งปฏิกิริยานั้นเป็นตัวช่วยในการกระจายตัว
active
species ซึ่งในกรณีของคำถามที่ถามมานั้น
active
species คือ
Ni
ส่วนใหญ่ในทางปฏิบัตินั้น
support
จะไม่มีส่วนยุ่งเกี่ยวในการทำปฏิกิริยา
แต่ก็มีหลายปฏิกิริยาเหมือนกันที่
support
มีส่วนร่วมในการทำปฏิกิริยา
สิ่งหนึ่งที่เป็นที่ทราบกันก็คือ
support
ที่มีความเป็นกรดบนพื้นผิวสูง
(เช่นพวก
Al2O3)
จะสามารถเร่งปฏิกิริยาการเกิด
coke
(ซึ่งเป็นปฏิกิริยาข้างเคียงที่ไม่เป็นที่ต้องการ)
ให้สะสมบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาได้
การแก้ปัญหาตรงนี้กระทำได้ด้วยการสะเทินตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิว
support
หรือการใช้
support
ที่มีพื้นผิวเป็นเบส
เท่าที่เคยทดสอบนั้น
CaO
เป็นออกไซด์ที่ทนต่ออุณหภูมิสูง
แต่ MgO
นั้นสามารถสลายตัวให้แก๊สออกซิเจนออกมาได้ในระดับหนึ่ง
โดยไอออน Mg2+
จะถูกรีดิวซ์กลายเป็น
Mg0
ได้ที่อุณหภูมิที่สูงพอ
(แม้ว่าจะเผาในอากาศ)
แต่จะไม่ถูกรีดิวซ์ทั้งหมด
(ดู
Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๗๗ วันศุกร์ที่ ๑๓
พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เรื่อง
"น้ำหนักหายได้อย่างไร")
ส่วน
Mg0
ที่เกิดขึ้นนั้นจะมีบทบาทอย่างไรในการทำปฏิกิริยาหรือไม่นั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะไม่เคยทดลอง
เขียนไปเขียนมาดูเหมือนว่าผมจะไม่ได้ตอบคำถามอะไรเขาสักเท่าใด
คงทำได้เพียงให้ข้อคิดเห็นเท่านั้นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น