เรื่องมันเริ่มจากปีที่แล้วที่อาจารย์สอนวิทยาศาสตร์มอบหมายงานให้นักเรียนชั้นป.
๔
สังเกตและบันทึกพฤติกรรมสัตว์มีกระดูกสันหลังเป็นเวลา
๑ เดือน
ลูกสาวคนเล็กผมพอได้รับงานมาก็อยากได้ตัวโน้นตัวนี้มาเลี้ยง
(ทั้งหมา
แฮมเตอร์ และชูการ์ไรเดอร์)
ตัวผมกับภรรยาก็ต้องคอยเตือนว่าจะหาอะไรมาเลี้ยงมันไม่จบแค่เดือนเดียวนะ
ม้นต้องเลี้ยงยาวต่อกันไปจนกว่ามันจะตาย
และที่สำคัญก็คือการเลี้ยงส้ตว์ไม่มีวันหยุด
จะปิดบ้านไปเที่ยวไหนต่อไหลหลายวันโดยปล่อยให้สัตว์อยู่เฝ้าบ้านไม่ได้
ต้องมีคนหาอาหารและน้ำให้มันกินด้วย
สุดท้ายก็ไปลงที่กระต่าย
สาเหตุที่ยอมให้เลี้ยงกระต่ายก็เพราะรอบ
ๆ บ้านนั้นมีส่วนที่เป็นพื้นดินอยู่เยอะ
มีหญ้าและต้นไม้ต่าง ๆ
ขึ้นทั่วไปหมด
โดยเฉพาะต้นกระถินและพืชผักสวนครัวหลายอย่างที่เอาใบและดอกมาให้กระต่ายกินได้
(พวก
กระเพรา ยอดแค ดอกอัญชัญ
ตำลึง ฯลฯ)
ก็เลยคิดว่าจะเลี้ยงแบบปล่อยให้มันวิ่งไปรอบ
ๆ บ้านหาที่อยู่ของมันกันเอง
กระต่ายคู่แรกไปซื้อมาจากสนามหลวง
๒ ราคาตัวละ ๙๐ บาท เป็นลูกกระต่ายเล็ก
ๆ อายุประมาณ ๑-๒
เดือน ต้องซื้อกรงและซื้ออาหารมาให้มันด้วย
ลูกสาวคนเล็กตั้งชื่อตัวผู้ว่า
"ใหญ่"
และตัวเมียว่า
"จิ๋ว"
ตอนแรกต้องเลี้ยงไว้ในกรงก่อนเพราะกลัวว่าแมวจากบ้านข้าง
ๆ จะมาลากเอามันไป
พอมันมีอายุสัก
๖ เดือนก็พาไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคกลัวน้ำ
จากนั้นก็ปล่อยให้มันอยู่นอกกรง
ให้มันวิ่งเล่นได้เองอย่างอิสระรอบ
ๆ บ้าน
ส่วนอาหารมันจะมากินที่จานหรือหาใบไม้กินเองก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของมัน
ไม่ทันไรเจ้าจิ๋วก็คลอดลูกครอกแรกออกมา
๔ ตัว มันใช้โพรงที่ขุดลงไปใต้ถุนบ้านเป็นรัง
ลูกครอกนี้พอออกมาวิ่งเล่นได้ไม่นานปรากฏว่าถูกแมวลากไป
๑ ตัว ไปตามเอากลับมาได้แต่ก็บาดเจ็บและตาย
ก็เลยเหลือแค่ ๓ ตัว
อยู่ไปสักพักก็หายไปอีก ๑
ตัว คือหายไปแบบไม่มีซากให้เห็นว่าหายไปได้อย่างไร
ก็เลยสงสัยว่าคงเป็นผลงานของแมวอีก
ต่อมาเจ้าจิ๋วก็คลอดลูกครอกที่สองอีก
๔ ตัว ลูกครอกนี้ก็เช่นเดียวกันกับครอกแรกคือถูกแมวลากเอาไป
๑ ตัว ตามกลับมาได้แต่ก็ตายในวันรุ่งขึ้น
และก็มีหายสาบสูญไปอีก ๑
ตัว คือหายไปแบบไม่มีร่องรอยให้เห็นว่าหายไปได้อย่างไร
ดังนั้นในขณะนั้นที่บ้านก็เลยเหลือกระต่ายอยู่
๖ ตัว
ต่อมาก็พบกับปัญหาที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจนถึงทุกวันนี้
คือลูกกระต่ายทั้ง ๔ ตัวนั้นค่อย
ๆ หายไปทีละตัวแบบไม่เหลือซากให้เห็น
แถมตัวพ่อกระต่ายก็พบนอนตายตัวแข็งอยู่ในบ้านตอนเช้า
ที่เคยสงสัยว่าลูกกระต่ายที่หายไปนั้นเป็นฝีมือของแมวก็ไม่น่าจะใช่
เพราะมันตัวโตเกินกว่าที่แมวจะคาบและกระโดยขึ้นรั้วเอาไปได้
แถมแมวของบ้านข้าง ๆ
ที่เคยมาป้วนเปี้ยนเฝ้ากระต่ายที่บ้านนั้นก็หายไปด้วย
(แบบไม่มีร่องรอยให้เห็น)
การหายตัวไปนั้นมีทั้งในช่วงกลางคืน
คือตอนค่ำยังเห็นอยู่
แต่พอรุ่งเช้าก็ไม่เห็นแล้ว
และในช่วงกลางวันคือตอนเช้ายังเห็นอยู่
แต่พอสาย ๆ ก็หายไปแล้ว
กระต่ายหายไปทีไรลูกสาวคนเล็กก็ร้องไห้ใหญ่
ต้องคอยปลอบ
มีการคุยกับเพื่อนบ้านบ้างเหมือนกันว่ามีตัวอะไรที่จะเอากระต่ายไปแบบไม่ทิ้งร่องรอยได้บ้าง
เท่าที่เคยเห็นในบริเวณสวนรกร้างที่อยู่นอกรั้วข้างบ้านนั้นก็มีตัวตะกวดเดินอยู่
แต่อยู่มากว่า ๓๐
ปีแล้วก็ไม่เคยเห็นมันเข้ามาเดินในบ้าน
เห็นแต่ไปนอนบนต้นมะพร้าวในสวน
ว่ายน้ำอยู่ในท้องร่องสวน
หรืออย่างมาก็มานอนบนรั้ว
สัตว์อีกชนิดที่มีการพบกันในสวนข้างบ้านคืองูเหลือม
แต่ตัวนี้นาน ๆ พบที
และไม่เคยมีปรากฏว่าเคยโฉบเข้ามาใกล้แถบบ้าน
งูที่เข้าบ้านจะเป็นพวกงูเขียวหางไหม้กับงูดินซะมากกว่า
จะว่าเป็นนกขนาดใหญ่โฉบไปนั้นก็ไม่แน่ใจ
เพราะจะว่าไปไม่เคยเห็นหรือได้ยินเสียงนกกลางคืนมาหากินแถวบ้าน
ที่มีอยู่จะเป็นพวกนกหากินกลางวันซะมากกว่า
ตอนนั้นผมยังสงสัยว่าอาจเป็นตะกวดที่เข้ามาจับกระต่ายกิน
ก็เลยอุตสาห์เอาปืนลูกกรดที่ปรกติเก็บใส่กระเป๋าล็อกกุญแจเอาไว้มาเตรียมพร้อม
กะว่าเห็นตัวจะจะเมื่อไรจะจัดการมันซะที
แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีตัวอะไรโผล่เข้ามาให้เห็น
แต่กระต่ายก็ยังหายไปอยู่
ตอนที่เจ้าใหญ่ตายนั้นเจ้าจิ๋วกำลังท้องครอกที่สามอยู่
และยังมีลูกครอกที่สองหลงเหลืออยู่
๑ ตัว
ตอนคลอดลูกครอกที่สามนี้เจ้าจิ๋วขุดโพรงลงไปใต้กองใบไม้ที่กองไว้เหนือกองทราย
คือตัวบ้านนั้นสร้างขึ้นบนท้องร่องสวนเดิม
มีการถมทั้งเศษหิน ดิน
และทราย
ลงไปในคูร่องสวนและปรับระดับพื้นดินเดิมให้สูงเท่าระดับถนน
ดังนั้นสนามรอบบ้านบางตำแหน่งนั้นจะมีลักษณะเป็นบ่อทรายอยู่
ทำให้กระต่ายขุดโพรงได้ง่าย
เจ้าจิ๋วมันไปคลอดลูกในโพรงที่มันขุด
แล้วก็ไปให้นมลูกเป็นระยะ
พอให้นมเสร็จมันก็จะขุดทรายปิดปากโพรงเอาไว้
ออกมาหาอะไรกินและก็นอนเฝ้าบริเวณใกล้ปากโพรง
พอจะให้นมลูกทีก็ไปขุดเปิดปากโพรงใหม่
ลูกครอกนี้มีทั้งสิ้น ๖ ตัว
ลูกมันอยู่ในโพรงนานเท่าไรก็ไม่รู้
มารู้เอาว่ามันมีลูกครอกนี้ก็เมื่อมันโตพอจะออกมาวิ่งเล่นนอกโพรงได้
สรุปว่าในเวลาไม่ถึงปีเจ้าจิ่วออกลูกถึง
๑๔ ต้ว
ทีนี้ก็เกิดเหตุการณ์ซ้ำเดิมอีก
คือลูกครอกนี้หายไปในคืนเดืยวพร้อมกัน
๔ ตัวแบบไม่มีร่องรอยใด ๆ
ไม่กี่วันถัดมาลูกครอกที่สามก็หายตัวไปอีกหนึ่งตัวและลูกครอกที่สองที่มีเหลืออยู่ตัวเดียวนั้นก็หายไปอีกแบบไม่มีร่องรอยเช่นเดียวกัน
และไม่กี่วันต่อมาเจ้าจิ๋วก็หายไปแบบไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน
รูปที่
๑ (บน)
ลูกกระต่ายครอกที่สามของเจ้าจิ่วโผล่หน้าออกมาจากโพรง
(ล่าง)
เจ้าจิ๋วกำลังให้นมลูก
พอเหลือกระต่ายอยู่ตัวเดียวก็เลยไปซื้อมาใหม่อีก
๒ ตัวให้มันอยู่เป็นเพื่อนกัน
คราวนี้ตั้งชื่อตัวที่เป็นลูกครอกที่สามที่เหลืออยู่เดียวว่า
"ห่อหมก"
แต่มันจะเรียกว่าเจ้า
"จ้อน"
ที่ซื้อมาใหม่สองตัวนั้นตั้งชื่อให้ว่า
"แจงลอน"
กับ
"ทอดมัน"
คราวนี้เลี้ยงอยู่ในกรงแล้ว
คือกลางคืนจับใส่กรงเล็ก
กลางวันปล่อยให้วิ่งเล่นในกรงใหญ่ที่ทำไว้ข้างบ้าน
เลี้ยงไม่ทันไรปราฏกว่าเจ้าทอดมันมีอาการขนร่วง
พาไปหาหมอ หมอบอกว่าติดเชื้อราก็ให้ยามากินและทา
แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้นเจ้าทอดมันก็ตาย
(แจงลอนเป็นชื่ออาหารทางจังหวัดชลบุรี
ทำเหมือนกับทอดมันแต่จะหวานกว่าและบางทีก็ใส่มะพร้าวด้วย
แต่แทนที่จะใช้การปั้นเป็นแผ่นแล้วนำไปทอด
กลับใช้วิธีปิ้งแทน
คือจะเอาไปปั้นเป็นก้อนกลม
ๆ รอบ ๆ ไม้ไผ่หรืออ้อยคล้าย
ๆ ลูกชิ้นเสียบไม้
แล้วนำไปปิ้งให้สุก)
เจ้าห่อหมกกับแจงลอนนั้นพอโตขึ้นสักพักก็ต้องเอาไปปล่อยไว้ในกรงใหญ่ข้างบ้าน
กรงข้างบ้านนี้แยกเป็นสองส่วนคือส่วนหนึ่งมีตัวกรงที่ปิดมิดชิดรอบด้านสำหรับขังมันไว้ตอนกลางคืน
พอกลางวันก็ปล่อยให้มันออกมานอกกรงนี้แต่ให้อยู่ในขอบเขตรั้วกั้นอีกชั้นหนึ่ง
บริเวณติดกันนั้นกั้นรั้วเอาไว้ปลูกต้นไม้สำหรับให้กระต่ายวิ่งเล่น
เหตุที่ต้องกั้นเอาไว้ก่อนก็เพราะกลัวว่ากระต่ายจะมากินต้นไม้จนตายก่อนที่ต้นไม้จะมีโอกาสโต
แต่ท่าทางเจ้าห่อหมกมันจะชอบมาวิ่งเล่นทางด้านนี้มาก
เพราะในช่วงแรกเห็นมันพยายามทั้งปีนและกระโดดข้ามรั้วข้ามมาอีกฝั่งให้ได้
แต่สุดท้ายมันก็พบวิธีการใหม่ที่สบายกว่า
ก็คือขุดโพรงมุดลอดใต้รั้วเอง
ที่มันขุดได้คงเป็นเพราะบริเวณนี้เป็นตำแหน่งที่ใช้ทราบถมพื้น
ตอนแรกก็เห็นมันไปลองขุดที่มุมอื่นก่อน
แต่ขุดลงไปไม่ได้เพราะไปเจอกับเศษปูนที่ช่างเทเอาไว้ตอนสร้างบ้าน
มันเพิ่งจะมาเจอตำแหน่งที่เหมาะสม
คือขุดลอดจากรั้วฝั่งหนึ่งมาโผล่ใต้โคนต้นเผือกที่ปลูกเอาไว้
(ไม่รู้ว่าม้นจะขุดลงไปกินหัวเผือกที่ปลูกเอาไว้ด้วยหรือเปล่า)
ดังนั้นในตอนนี้พื้นที่วิ่งเล่นของเจ้าห่อหมกและแจงลอนก็เลยกว้างมากขึ้น
รูปที่
๒ (บน)
โพรงที่เจ้าห่อหมกและแจงลอนขุดลอดรั้วไปอีกฝั่งหนึ่ง
(ล่าง)
รั้วอยู่ทางซ้าย
แต่มันไม่ได้ขุดแค่ลอดรั้วได้
กลับมีการขุดรูลึกลงไปทางด้านขวาอีก
มุดใต้ต้นเผือกที่ปลูกเอาไว้
Memoir
ฉบับนี้ไม่มีสาระอะไร
ที่เขียนก็เพราะเห็นเจ้าห่อหมกมันอุตส่าห์ขุดโพรงสำหรับการเดินทางของมันได้สำเร็จ
ก็เลยถ่ายรูปเอามาฝาก
เขียนค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
เช้าวันนี้ไปถ่ายรูปจะเอามาประกอบบันทึก
ปรากฏว่าไม่เห็นทั้งเจ้าห่อหมกและแจงลอง
เรียกก็ไม่ออกมา
ไม่รู้ว่ามันเข้าไปนอนในบ้านใหม่ของมัน
หรือหายไปอย่างไม่มีร่องรอยอีกแล้ว
เมื่อวานก็ยังเห็นอยู่เลย
อันที่จริงช่วงนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลมีคนอีเมล์มาถามเรื่อง
Pyrolysis
ซึ่งผมก็ได้ให้ความเห็นจากมุมมองของผมให้กับเขาไปบางส่วนแล้ว
แต่มันยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมเห็นว่าน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้พิจารณากัน
(ผมไม่ได้ให้คำตอบแบบฟันธง
แต่ให้พิจารณาสมมุติฐานที่เป็นไปได้ทั้งหมดก่อน
จากนั้นจึงค่อยดูผลการทดลองหรือวิธีการทดลองประกอบว่าสมมุติฐานไหนไม่น่าเป็นจริง)
ก็เลยคิดว่าจะเอาเรื่องนี้มาเขียนเป็นเรื่องยาวสักที
และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็มีอีเมล์มาถามเรื่องพีคประหลาดปรากฏบนโครมาโทแกรมของ
GC
อีก
ซึ่งผมก็ได้ให้คำแนะนำไป
แต่ยังไม่มีคำตอบกลับมา
ก็เลยยังไม่รู้ว่าเรื่องมันจะลงเอยอย่างไร
ถ้ามีความคืบหน้าอย่างไรก็คงมีการนำเอาเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังอีกที
ท้ายสุดก็ขอฝากข้อมูลที่ไม่เหมือนกับนิทานอีสปว่าทำไมกระต่ายจึงวิ่งแข่งแพ้เต่า
เป็นการโต้กลอนตอบโต้ระหว่างคนสองคน
คนหนึ่งแต่งกลอนให้กระต่าย
อีกคนหนึ่งแต่กลอนให้เต่า
(จำมาจากเทปตลกของคุณเด๋อ
ดอกสะเดา
ในอดีตนั้นคณะตลกก็มีการออกเทปคาสเซสบันทึกเสียงเช่นเดียวกันกับนักร้อง
เทปแบบนี้จะเรียกว่าเทปตลก
แยกจากเทปเพลง)
กระต่ายน้อย
วิ่งลิ่ว ปลิวทะยาน
เต่าก็คลาน
ช้าช้า มาข้างหลัง
กระต่ายน้อย
เห็นหลักชัย ดีใจจัง
เต่าตามหลัง
เหาะโด่ง ลงหลักชัย
กระต่ายไม่ได้ขี้เกียจหรอก
เต่าต่างหากที่ขี้โกง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น