"ตามมุมมองของผมนั้น
การเรียนการสอนภาคปฏิบัติเริ่มต้นจาก
การทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
จากนั้นจึงให้ลงมือปฏิบัติภายใต้การกำกับดูแล
และถ้าเห็นว่ามีฝีมือแล้วจึงค่อยปล่อยให้ลงมือทำงานเองได้โดยไม่ต้องมีใครคอยควบคุม
ถ้าจะให้เปรียบเทียบผมว่านักวิจัยก็เหมือนกับหมอผ่าตัด
หมอผ่าตัดหลังจากวางมีดเลิกเข้าห้องผ่าตัดเมื่อไร
แม้ว่าหลังจากวางมีดแล้วต่อให้เขามี
paper
ตีพิมพ์จำนวนมากติดต่อกันหลายปี
คุณจะยังไว้ใจให้เขาผ่าตัดคุณหรือไม่
คุณจะยังคิดว่าเขายังคงเป็นหมอผ่าตัดที่เชี่ยวชาญอีกหรือไม่
การมาลงมือปฏิบัติด้วยตนเองมันทำให้ทราบถึงปัญหาที่แท้จริง
ทราบถึงข้อจำกัดที่มีของการทำงาน
ถ้ามีเวลาก็จะโอกาสมาลงมือทำบ้างเหมือนกัน
จะได้ไม่ลืมว่ามันต้องทำอย่างไร
จะได้เอาไว้สอนคนอื่นต่อได้
"นักวิจัย"
ก็เช่นกัน
เมื่อใดก็ตามที่เขาไม่ได้ลงมาสัมผัสกับงานภาคปฏิบัติ
ทำเพียงแค่นั่งรับฟังงานที่คนอื่นทำไว้แล้วนั่งวิพากย์วิจารณ์เพื่อเขียนเป็นบทความที่มีชื่อตนเองปรากฏอยู่
ผมเห็นว่าคน ๆ นั้นหมดสภาพเป็นนักวิจัยแล้ว
เป็นเพียงได้แค่ "นักวิจารณ์"
เท่านั้นเอง"
นั่นเป็นคำตอบที่ผมเคยตอบคำถามให้กับผู้ที่ถามผม
ตอนที่เขาเห็นผมลงมาทำแลปว่า
ทำไมจึงมาลงมือทำแลปด้วยตนเอง
หรือตอนที่เขาเห็นผมลงมากำกับการทำการทดลองของนิสิตด้วยตนเอง
ความสำคัญของการได้ลงมือทำด้วยตนเองนั้น
ก็ได้มีผู้เปรียบเปรยเอาไว้ตามคำกล่าวว่า
"สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ
สิบมือคลำไม่เท่าทำเอง"
ถ้าว่ากันตามคำกล่าวนี้
คนที่นั่งฟังคนอื่นสิบคนพูด
ก็รู้สู้การได้ไปเห็นเพียงครั้งเดียวไม่ได้
และการได้เฝ้าดูสิบครั้ง
ก็ยังไม่เท่ากับการได้ลงมือปฏิบัติเพียงครั้งเดียว
ถ้าจะเทียบกันตามสัดส่วนนี้ก็คงเป็นว่าคนที่นั่งฟังคนอื่น
๑๐๐ คนพูด
ก็คงจะได้ความรู้ที่สู้ไม่ได้กับการที่ได้ลงมือปฏิบัติเพียงครั้งเดียว
ด้วยเหตุนี้ในแต่ละปีที่กลุ่มเรามีสมาชิกใหม่เข้ามา
ผมถึงบอกว่าต่อให้คุณนั่งอ่าน
Memoir
ที่ผมเขียนย้อนหลังจนหมด
(ซึ่งมันก็เหมือนกับการฟังผมเล่าเรื่อง)
มันก็สู้ไม่ได้กับการที่คุณได้มาเฝ้าดูการทำงานของรุ่นพี่
และความรู้ที่ได้จากการเฝ้าดูการทำงานมันก็เทียบไม่ได้กับการได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
เพราะมันมีอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างที่มันไม่ได้เขียนบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
หรือไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรได้ชัดเจน
เพราะมันเป็นความรู้สึกที่ต้องลงมาสัมผัสด้วยตนเอง
อย่างเช่นกรณีของการสอนการฉีด
GC
ที่ได้ทำกันไปในช่วงวันอังคารและวันพุธที่ผ่านมาสองวันนี้
เราเริ่มจากการจุดไฟให้กับ
Flame
ionisation detector (FID) ที่ดูเหมือนว่ามันจะง่ายแต่ก็ไม่ง่าย
การฉีดสารที่กว่าจะทำซ้ำได้
ไม่ว่าจะเป็นคนเดิมฉีด
หรือเปลี่ยนคนฉีด
การทดลองปรับแต่งความไวในการวัดของ
detector
การทดสอบผลของอุณหภูมิที่มีต่อการเคลื่อนตัวของสารผ่านคอลัมน์
(ที่กระทำไปเมื่อวาน)
และการทดลองหาสภาวะที่เหมาะสมในการแยกสารผสมระหว่างเอทานอล
(จุดเดือดประมาณ
78ºC)
กับ
2-โพรพานอล
(จุดเดือดประมาณ
83ºC)
ที่ทำไปในวันนี้
Memoir
ฉบับนี้ก็เลยถือโอกาสนำเอาบางภาพของ
workshop
วันนี้มาลงบันทึกไว้
ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปแล้วเจอกันอีกทีปีหน้า
(ก็หลังปีใหม่นั่นแหละ)
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนว่าสมาชิกที่เข้ามาร่วม
workshop
ในวันนี้ทั้งสามคนรู้สึกก็คือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น