๓๐
ปีที่แล้วตอนที่เข้าเรียนวิศว
ทั้งรุ่นมีประมาณ ๔๒๐ คน
เกรดเทอมแรกออกมาปรากฏว่าติด
"โปร"
(คือได้เกรดเฉลี่ยต่ำกว่า
๒.๐๐
กันซะครึ่งคณะ ในขณะที่ผลการเรียนนิสิตปี
๑ ของคณะอื่นในมหาวิทยาลัยมีการกระจายตัวแบบ
normal
distribution curve จะมีแต่ของคณะวิศวที่แหละที่เป็น
exponential
decay (คือพวกที่เกรดต่ำ
ๆ มีเยอะมาก ในขณะที่พวกที่ได้เกรดสูงแทบจะไม่มี)
พวกที่เรียนจบภายในเวลา
๔ ปีก็มีเพียงแค่ประมาณ ๓๐๐
คนเห็นจะได้
(รุ่นผมทั้งรุ่นรวมกันทุกภาควิชามีเกียรตินิยมอันดับ
๑ เพียงแค่ ๗ คน และเกียรตินิยมอันดับ
๒ เพียงแค่ ๒๐ คนเศษ)
ที่เหลือก็ทยอยกันจบในปีที่
๕-๘
เรียกว่าใช้เวลาในมหาวิทยาลัยกันเต็มที่
วิชาพื้นฐานวิศวกรรมศาสตร์ที่ทุกคนต้องเรียนก็ใช่ย่อย
โดยเฉพาะวิชา Statics,
Dynamic และ
Mechanics
of materials นี่สมัยผมเรียนก็เรียนแยกกันเป็น
๓ วิชา วิชาละ ๓ หน่วยกิต
วิชาเหล่านี้แต่ก่อนถึงเวลาสอบก็มีข้อสอบอยู่ประมาณ
๖ ข้อ ให้เวลาทำ ๓ ชั่วโมง
เนื่องจากเป็นวิชาที่มีคนเรียนกันมาก
คนสอนก็เลยมีมากไปด้วย
ตอนที่ผมกลับมาทำงานใหม่
ๆ (ก็เมื่อเกือบ
๒๐ ปีที่แล้ว)
เคยได้ยินอาจารย์ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่าเวลาออกข้อสอบทีอาจารย์หัวหน้าวิชาก็จะมอบหมายให้อาจารย์ให้อาจารย์
๖ คนไปออกข้อสอบกันคนละข้อ
โดยมอบหัวข้อไปให้ว่าให้ใครไปออกข้อสอบตรงเนื้อหาส่วนไหน
เรื่องมันก็สนุกตรงนี้แหละครับ
แต่ละคนก็กลัวว่าข้อสอบที่ตัวเองออกมานั้นจะโดยเพื่อนฝูงเยาะเย้ยว่า
กระจอกบ้าง ง่ายเกินไปบ้าง
ฯลฯ ก็เลยสรรหาข้อสอบชนิดที่เรียกว่าจะให้เป็นสุดยอดในเรื่องนั้น
ๆ
มีอยู่ปีหนึ่งตอนที่ผมยังทำหน้าที่เป็นกรรมการประจำห้องสอบไล่ของคณะ
วันหนึ่งที่มีการสอบวิชาเหล่านี้
(จำไม่ได้ว่าเป็นวิชาอะไร
จำได้แต่ว่ามีเพียง ๖ ข้อ)
อาจารย์หัวหน้าวิชาก็และมาที่ห้องสอบไล่
ขอดูข้อสอบหน่อยว่าที่มอบหมายให้อาจารย์ผู้ร่วมสอนแต่ละท่านไปออกข้อสอบนั้น
ข้อสอบออกมามีหน้าตาอย่างไรบ้าง
อาจารย์หัวหน้าวิชาแกเอาข้อสอบไปพลิกดูไปมาสักครู่หนึ่ง
แล้วก็พูดออกมาว่า
"กูยังทำไม่ได้เลย"
อาจารย์ผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งที่ประจำภาควิชาเดียวกัน
(ท่านเป็นนายทะเบียนคณะในขณะนั้น)
ท่านก็เลยขอดูข้อสอบบ้าง
พร้อมกับบอกว่าทำได้ ๒ ข้อ
(จากทั้งหมด
๖ ข้อที่ให้เวลาทำ ๓ ชั่วโมง)
ก็เก่งแล้ว
จากการฟังการสนทนาในวันนั้นก็เลยทำให้รู้ว่าวิชาเหล่านี้บางปีตัดเกรด
C
กันที่คะแนนไม่ถึง
๓๐ จากเต็ม ๑๐๐
เรื่องเด็กวิศวในสมัยนั้นจบมาเกรดต่ำก็เป็นเรื่องธรรมดา
บางบริษัทที่กำหนดเกรดขั้นต่ำว่าผู้ที่จะรับเข้าทำงานต้องจบมาด้วยเกรดเฉี่ยไม่ต่ำกว่า
๒.๗๐
ก็ยังมีปัญหากับภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล
ถึงขนาดจัดโปรโมชันให้กับภาควิชานี้มาแล้วก็มี
คือกำหนดไว้ว่าสำหรับผู้จบการศึกษาสาขาใด
ๆ ก็ตามเขาจะพิจารณาเฉพาะคนที่จบมาด้วยเกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า
๒.๗๐
แต่ถ้าเป็นภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลจะกำหนดไว้เพียงแค่
๒.๕๐
แล้วสำหรับวิศวกรรมเคมีล่ะ
จำได้แต่ว่าปีที่ผมจบการศึกษานั้น
มีบริษัททำงานทางด้านปิโตรเคมีเปิดใหม่หลายบริษัท
และมีการกำหนดเกรดขั้นต่ำไว้ด้วยว่าต้องไม่ต่ำกว่า
๒.๗๐
แล้วผลออกมาเป็นอย่างไรหรือครับ
ก็ไม่มีใครไปสมัครเลย
เพราะคนที่จบด้วยเกรดไม่ต่ำกว่านั้นรวมกันทุกสถาบันทั้งประเทศแล้วก็มีไม่เท่าไร
แถมได้งานกันหมดแล้วด้วย
สุดท้ายก็เลยมีการแก้ไขว่าจบด้วยเกรดเท่าไรก็ได้ขอให้ไปสมัครเถอะ
เพื่อผมรายหนึ่งไปสัมภาษณ์งานที่บริษัทดังกล่าวมาเล่าให้ฟังว่า
ตอนสัมภาษณ์นั้นผู้สัมภาษณ์เขาบอกตรง
ๆ เลยครับว่า "ผมลำบากใจที่จะรับคุณเข้าทำงาน
เพราะเกรดคุณต่ำเหลือเกิน"
แต่เขาก็ได้ทำงานที่บริษัทนั้นนะครับ
คงเป็นเพราะว่าตอนเรียนหนังสือนั้นเขาได้เป็นถึง
"หัวหน้านิสิตคณะวิศว"
คงเป็นเพราะเหตุนี้มั้งครับ
สมัยก่อนจึงมักจะมีเพลงแปลงเนื้อที่บ่งบอกถึงความในใจของนิสิตวิศวอยู่หลายเพลง
อย่างเพลงที่นำเนื้อร้องมาให้ดูในวันนี้ก็เป็นอีกเพลงหนึ่งที่นำทำนองมาจากเพลง
"หิ้วกระเป๋า"
ที่ขับร้องโดย
แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์ ตอน ๔
โมงเย็นวันนี้เห็นนิสิตปี
๒ สองเทอร์โมเสร็จแล้วก็กลัวว่าจะเครียดกับข้อสอบ
งั้นก็ขอเชิญมาพักผ่อนด้วยการร้องเพลงกันอีกสักเพลงจะเป็นไร
เพลงนี้ผมก็เรียนมาจากรุ่นพี่ตอนเชียร์เย็นเช่นเดิมครับ
เพลง
"หิ้วกระเป๋า"
โดย
แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์
https://www.youtube.com/watch?v=7qJgOWovWMg
เก็บหนังสือยัดใส่กระเป๋า
ลาแล้วหนาคอร์สเก่า
คอร์สที่เคยเรียนมา
กุศลไม่พอ
ขอไปเรียนเอาคอร์สหน้า F
แม่งทุกวิชา
ช่างมันเถอะหนาคอร์สนี้
อีกสามวันใบเกรดจะมา
กลัวน้ำตานองหน้า อยู่ไปเห็นท่าไม่ดี
โปร
ๆ ไทร์ ๆ ผมชอกช้ำใจทุกที
ผมเดินออกจากที่นี้
ไม่มีจุดหมายปลายทาง
*โลกหมุนให้เรา
เรียนกันชั่วครู่ชั่วคราว
แต่เราก็โดดทุกหน
เรียนตั้งหลายคน
ไม่รู้เรื่องเลยสักคน
อาจารย์ท่านบ่น ท่านหาว่าเราเป็นคนไม่ดี
หิ้วกระเป๋าก้าวลงบันได
เดินก้มหน้าร้องไห้
ไม่รู้จะไปไหนดี
เดินไปเดินมา
ถึงหน้าประตูบัญชี เจอรุ่นพี่พอดี
ชวนพี่ไปก๊งเหล้าเลย
*
ซ้ำ
หมายเหตุ
:
๑.
ผลสอบในแต่ละภาคการศึกษาของนิสิตแต่ละรายจะพิมพ์ออกมาเป็นกระดาษขนาดเล็กกว่า
A5
เล็กน้อยเรียกกันว่า
"ใบเกรด"
แต่ก่อนนิสิตจะต้องไปรับที่ทะเบียนคณะ
๒.
เดิมตลาดสามย่านตั้งอยู่ตรงที่เป็นจตุรัสจามจุรีในปัจจุบัน
นิสิตจะไปกินข้าวที่ตลาดสามย่านก็จะเดินออกทางประตูทางเดินให้คนออก
เรียกกันว่าประตูบัญชี
ซึ่งเป็นประตูสำหรับคนเดินที่เคยเปิดให้เดินเข้าออกระหว่างมหาวิทยาลัยกับจตุรัสจามจุรี
ก่อนที่จะมีการทำประตูใหม่เพิ่มขึ้นมาเพื่อให้ช่องทางเดินเข้า-ออกมหาวิทยาลัยตรงกับประตูทางเข้าออกจตุรัสจามจุรี
ที่ผมจำได้คือช่วงก่อนปี
๒๕๓๒ ตลาดสามย่านยังอยู่ที่นั่น
ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ฝั่งตรงข้ามที่อยู่ข้างคณะนิสิตศาสตร์ที่ปัจจุบันนี้เป็นที่ว่างโล่ง
ก่อนจะย้ายอีกทีไปอยู่ทางด้านหลังสนามกีฬา
ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น