ปีพ.ศ.
๒๕๒๑
ประเทศไทยมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการศึกษาในโรงเรียนใหม่
จากเดิมที่แบ่งเป็น
ชั้นประถมศึกษาตอนต้นคือ
ป.
๑
ถึง ป.
๔
ชั้นประถมศึกษาตอนปลายคือ
ป.
๕
ถึง ป.
๗
ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นคือ
ม.ศ.
๑
ถึงม.ศ.
๓
และ
ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายคือ
ม.ศ.
๔
และ ม.ศ
๕
มาเป็นรูปแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันคือ
ชั้นประถมศึกษาตอนต้นคือ
ป.
๑
ถึง ป.
๓
ชั้นประถมศึกษาตอนปลายคือ
ป.
๔
ถึง ป.
๖
ชั้นมัธยมต้นคือ
ม.
๑
ถึงม.
๓
และ (เอาคำว่า
ศึกษา ออกไป)
ชั้นมัธยมปลายคือ
ม.
๔
ถึง ม.
๖
นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการคิดคะแนนสอบ
จากเดิมที่คิดเป็นเปอร์เซนต์คะแนนทุกวิชารวมกัน
สิ้นปีการศึกษาใครได้ไม่ถึง
50%
ก็ต้องตกซ้ำชั้นเรียนใหม่ทุกวิชา
มาเป็นวิธีคิดแบบเกรด
มีการสอบซ่อมเฉพาะวิชาที่เรียนไม่ผ่านเท่านั้น
ไม่มีการตกซ้ำชั้น
ผมเป็นนักเรียนรุ่นแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงนั้น
เรียนกันมาเรื่อย ๆ
จนกระทั่งจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย
วิชาที่สอบก็มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง
คือจากเดิมพวกที่เรียนสายวิทยาศาสตร์ก็จะมีการสอบเฉพาะวิชา
คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี
ภาษาอังกฤษ ชีววิทยา
(สำหรับพวกที่สมัครเข้าเรียนหมอ
หรือวิทยาศาสตร์
ส่วนวิศวไม่คิดคะแนนในส่วนนี้)
และความถนัดเฉพาะทางของแต่ละสาขาวิชา
เป็นการเพิ่มการสอบวิชา
สามัญ ๑ เข้ามาอีก ๑ วิชา
(ถ้าเป็นด้านสายศิลปจะเป็นสามัญ
๒)
โดยเป็นข้อสอบที่รวมเอาเนื้อหาวิชาภาษาไทยและสังคมศึกษา
(อันนี้รวมภูมิศาตร์และประวัติศาสตร์เอาไว้ด้วย)
และให้มีความสำคัญเทียบเท่ากับวิชาหลักวิชาอื่นด้วย
ตอนนั้นใครต่อใครจำนวนไม่น้อยก็แปลกใจว่าทำไมจะเรียนหมอหรือวิศว
ต้องวัดความรู้ทางด้านสังคมและภาษาไทยได้ด้วย
ทำเอานักเรียนที่จะสอบเอนทรานซ์กันตอนนั้นงงไปหมด
แต่ตรงนี้เขาก็ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะว่าประสบกับปัญหาผู้ที่เรียนจบไปแล้วทำงานกับคนไม่เป็น
เพราะขาดทักษะความรู้ทางด้านภาษาและสังคม
อันที่จริงการเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
(หรือมัธยมปลายในช่วงถัดมา
ซึ่งต่อไปในความนี้จะขอเรียกรวม
ๆ ว่ามัธยมปลายก็แล้วกัน)
มันมีปัญหามาก่อนหน้านั้น
คือพอนักเรียนเข้าเรียนชั้นมัธยมปลายแล้ว
ตัวนักเรียนเองจะมุ่งเรียนเฉพาะวิชาที่ต้องใช้สอบเข้ามหาวิทยาลัยในสาขาที่ตัวเองต้องการเรียน
โดยจะทิ้งวิชาอื่นกัน
หรือแม้แต่ทางโรงเรียนเองที่มีหน้าที่ต้องจัดสอนให้ครบทุกวิชา
ก็จะเน้นการสอนหนักไปทางวิชาที่นักเรียนต้องใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
หรือแม้แต่ทางตัวมหาวิทยาลัยเองก็มองว่าการคัดเลือกผู้เข้าเรียนนั้นควรพิจารณาเฉพาะศาสตร์สำคัญที่ต้องใช้ในการเรียนต่อ
"เฉพาะทางสาขาวิชาชีพนั้น"
ผลก็คือคณะวิศวบางมหาวิทยาลัยไม่เอาคะแนนวิชาเคมี
โรงเรียนหลายโรงเรียนไม่จัดสอนวิชาชีววิทยาให้กับนักเรียนที่คิดจะสอบเข้าเรียนคณะวิศว
การเปลี่ยนแปลงในการคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยที่เกิดขึ้นถัดมาก็คือการนำเอาผลการเรียนจากโรงเรียนมาเป็นส่วนหนึ่งของคะแนนคัดเลือกด้วย
ที่มาของเรื่องนี้มันมีอยู่
๒ ทางด้วยกัน
ทางแรกมาจากนักการศึกษาที่เห็นว่าหน้าที่ของโรงเรียนคือการเตรียมความพร้อมให้กับผู้เรียนให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้
ซึ่งจะว่าไปเนื้อหาความรู้ส่วนนี้มันก็อยู่ในหลักสูตรอยู่แล้ว
แต่ทางโรงเรียนกับนักเรียนเองกลับไม่ให้ความสำคัญกับทุกวิชาที่อยู่ในหลักสูตร
เพราะไปวัดผลความสำเร็จของโรงเรียนตรงจำนวนนักเรียนที่สอบติดได้คณะคณะแนนสูง
ๆ (พวกหมอ
และวิศว)
อีกทางหนึ่งมาจากฝั่งการเมืองที่มองว่าทำไปคณะในมหาวิทยาลัยระดับต้น
ๆ ของประเทศจึงมีแต่เด็กกรุงเทพเป็นหลัก
ทำไมนักเรียนโรงเรียนต่างจังหวัดที่ได้เกรดระดับเดียวกันกับนักเรียนจากโรงเรียนในกรุงเทพจึงสอบติดคณะคะแนนสูง
ๆ น้อยกว่า
และเมื่อสองความคิดนี้มาเจอกันก็เลยทำให้มีการนำเอา
"เกรดเฉลี่ย"
จากโรงเรียนมาใช้เป็นคะแนนคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยด้วย
แต่ปัญหาก็คือวิธีการให้เกรดเฉลี่ยของแต่ละโรงเรียนนั้นมันเทียบเคียงกันไม่ได้
มันขึ้นอยู่กับอาจารย์ผู้สอนแต่ละคน
แถมยังมีการเปิดช่องให้อาจารย์ผู้สอนหรือทางโรงเรียนเองนั้นเรียกร้องเอาผลประโยชน์จากนักเรียนได้
(ทำนองว่าไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาเรื่องเกรดออกมาไม่ดี
ซึ่งจะส่งผลต่อการเลือกคณะเรียน
ซึ่งตรงนี้ก็เห็นมีนักเรียนบ่นทางเว็บบอร์ดบางแห่ง)
นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการให้คะแนนของอาจารย์ในโรงเรียนที่ถูกกดดันให้ต้องให้เกรดนักเรียนสูง
ๆ เพื่อให้นักเรียนได้เปรียบผู้อื่นในการสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
ทันทีที่บอกว่าจะเปลี่ยนระบบเอนทรานซ์ด้วยการใช้เกรดที่ได้จากโรงเรียนมาเป็นส่วนหนึ่งของคะแนนคัดเลือก
ทางกลุ่มคณะแพทย์ก็รวมตัวกันจัดวิธีคัดเลือกแยกออกไปเลยด้วยการใช้การสอบตรงเข้าเรียนแพทย์
(ไม่รับจากการสอบส่วนกลาง)
ซึ่งก็ยังคงเป็นมาจนถึงวันนี้
รูปที่
๑
โครงสร้างหลักสูตรระดับปริญญาตรีของภาควิชาที่เริ่มใช้สำหรับผู้ที่เข้าเรียนในปีการศึกษา
๒๕๕๙ จะเห็นว่ามีวิชาในกลุ่มหมวดการศึกษาทั่วไปและเลือกเสรีรวม
๓๖ หน่วยกิตหรือ ๑ ใน ๔
ของหน่วยกิตที่ต้องเรียนทั้งหมด
ส่วนสาขาวิชาอื่นที่เหลือก็มีทั้งขอลองใช้ระบบใหม่ดูก่อนและจำใจต้องยอมทำตาม
(คำสั่งจากเบื้องบน
ไม่งั้นมีผลต่อการจัดสรรงบประมาณ)
ผลที่เกิดขึ้นก็คือจากเดิมที่รับผ่านการสอบส่วนกลางทั้งหมด
ก็มาเป็นค่อย ๆ ลดสัดส่วนลง
ท้ายที่สุดแต่ละมหาวิทยาลัยก็จัดการรับตรงด้วยตนเอง
(ตรงนี้ไม่เกี่ยวกับโควต้าของมหาวิทยาลัยที่มีหน้าที่กระจายโอกาสทางการศึกษาด้วยการรับนักเรียนในพื้นที่ต่างจังหวัดจำนวนหนึ่งอยู่แล้ว)
ซึ่งมีทั้งรับตรงทั้งหมด
และรับตรงส่วนหนึ่ง
ส่วนที่ขาดเหลือค่อยไปรับจากระบบกลาง
(ที่เรียกว่าแอดมิดชัน)
อีกที
นอกจากนี้ในส่วนของแอดมิดชันก็ยังมีการกำหนดสัดส่วนคะแนนที่ใช้เกรดจากโรงเรียนให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
พอมหาวิทยาลัยแข่งขันกันรับตรง
ผลก็คือทั้ง ๆ ที่ประกาศว่ารับผู้จบชั้นมัธยม
๖ เข้าศึกษาต่อ
แต่ในความเป็นจริงทำการสอบคัดเลือกกันก่อนที่นักเรียนจะเรียนมัธยม
๖ เทอมต้นจบด้วยซ้ำ
ผลก็คือหลักสูตรมัธยมปลายที่วางไว้
๓ ปี ทางโรงเรียนต้องสอนให้เสร็จภายใน
๒ ปี
ไม่เช่นนั้นนักเรียนจะไม่มีความรู้ไปทำการสอบเอาคะแนนสมัครเข้ามหาวิทยาลัย
ถ้าทางโรงเรียนไม่สามารถสอนให้จบได้อย่างรวดเร็ว
นักเรียนก็ต้องไปหาที่เรียนพิเศษเสริมกันเอง
ผลก็คือระบบการศึกษาชั้นมัธยมปลายถูกทำลายอย่างเป็นระบบโดยวิธีรับนักเรียนเข้าศึกษาต่อของมหาวิทยาลัย
ที่ผ่านมาจากการสอบสัมภาษณ์ผู้ผ่านการคัดเลือกทั้งรับตรงและแอดมิดชันนั้น
พบว่าผู้ที่เข้ามาด้วยการสอบตรงจะมีระดับคะแนนสอบส่วนกลางที่สูงกว่าผู้ที่เข้ามาในระบบแอดมิดชัน
และเป็นเรื่องปรกติที่จะพบว่านักเรียนจากโรงเรียนดัง
ๆ ในกรุงเทพที่เข้ามาทางระบบแอดมิดชันนั้นคือผู้ที่ไม่ผ่านการรับตรง
ดังนั้นที่มีข่าวออกมาว่าผู้ที่ได้คะแนนที่
๑ แอดมิดชันคือคนเก่งสุดนั้นมันไม่จริงหรอกครับ
คนที่เก่งกว่านั้นเขาได้ที่เรียนไปก่อนหน้านั้นแล้วผ่านทางช่องทางรับตรง
อันที่จริงระบบเอนทราซ์แต่เดิมนั้น
(ที่มีการสอบเพียงครั้งเดียวในช่วงเดือนเมษายน
หลังเรียนจบชั้นมัธยม)
ก็มีการตั้งคำถามเหมือนกันว่าจำเป็นต้องให้น้ำหนักความสำคัญกับทุกวิชาเท่ากันไหม
เช่นสำหรับคณะวิศว
ทำไมต้องให้ความสำคัญกับวิชาภาษาอังกฤษเท่ากับวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
ทำนองว่ากลัวว่าจะได้ผู้เรียนที่สอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนภาษาอังกฤษ
โดยที่ทำคะแนนในส่วนของวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ได้ไม่ดีนัก
แต่กลายเป็นว่าตอนนี้กลับมาบ่นกันว่านิสิตมีพื้นภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่อง
ควรต้องฝึกฝนเพิ่มเติมอีกมาก
ในส่วนของมหาวิทยาลัยเอง
ก็เริ่มมีการพูดกันว่าบัณฑิตสายวิทยาศาสตร์ที่จบไปทำงานนั้นมีปัญหาเรื่องการสื่อสารและการทำงานร่วมกับผู้อื่น
ขาดความรู้ในศาสตร์สาขาอื่นที่มีการทำงานร่วมกันในองค์กร
ดังนั้นจึงควรมีการปรับปรุงหลักสูตรด้วยการเสริมเนื้อหาเหล่านี้
(ที่ไม่ใช่ศาสตร์ความรู้เฉพาะทางในสาขาวิชาชีพนั้น)
เข้าไปในหลักสูตร
และให้ผู้เรียนทุกคนนั้นต้องผ่านการเรียนในวิชาเหล่านี้ด้วย
ตรงนี้ลองดูตัวอย่างของภาควิชาที่ผมทำงานอยู่ที่ยกมาให้ดูในรูปที่
๑ ทั้งหลักสูตรมีทั้งสิ้น
๑๔๖ หน่วยกิต
แต่เป็นวิชาที่ไม่ใช่วิทยาศาตร์และวิศวกรรมศาสตร์เสีย
๓๖ หน่วยกิตหรือ ๑ ใน ๔
ของเนื้อหาทั้งหมด
ดังนั้นอย่าแปลกใจนะครับถ้าหากไปเป็นว่านิสิตที่จบจากคณะวิศวจะมีวิชาพวก
ตีแบด ตีกอล์ฟ ถ่ายรูป เต้นรำ
พุทธศาสนา อารยธรรม ประวัติศาสตร์
ฯลฯ อะไรทำนองนี้ปรากฏอยู่ในผลการเรียนของเขา
คนละหลายวิชาด้วย
ตอนจะรับคนเข้าเรียนวิศว
ทางมหาวิทยาลัยมองว่าวิชาเช่น
พลศึกษา (เช่น
เตะบอล ตีแบด)
สุขศึกษา
(เช่น
ยาในชีวิตประจำวัน)
สังคม
(เช่น
ศาสนาพุทธ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์)
นันทนาการ
หรืออะไรทำนองนี้
ไม่จำเป็นสำหรับผู้ที่จะเข้าเรียนวิศว
แต่พอเขาเข้ามาเรียนได้แล้วกลับมองว่าถ้าพวกเขาไม่เรียนวิชาพวกนี้ในปริมาณที่มากพอ
ก็จะไม่สามารถสำเร็จการศึกษา
แต่ด้วยการที่จำนวนหน่วยกิตรวมตลอดทั้งหลักสูตรถูกกำหนดเพดานเอาไว้แล้ว
มันก็เลยเกิดการตัดเอาเนื้อหาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ออกไปบางส่วน
เพื่อให้เหลือที่แทรกวิชาเหล่านี้เข้าไป
คำถามที่อยากให้คิดกันเล่น
ๆ ก็คือ มันจะดีกว่าไหม
(ตรงนี้ขอเป็นเฉพาะกรณีในสายวิศวที่ผมทำงานอยู่ก็แล้วกันนะครับ)
ถ้าเราจะให้ความสำคัญกับวิชาเหล่านี้ในการสอบคัดเลือกเข้า
เพื่อที่จะให้นักเรียนที่สมัครเข้าเรียนนั้นมีความรู้เหล่านี้ก่อนจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
(คือให้เรียนจบไปตั้งแต่โรงเรียน)
เพื่อที่ทางมหาวิทยาลัยจะได้ตัดเนื้อหาส่วนนี้ออกไป
(ทำไมต้องมาเรียนตีแบดตอนเรียนปริญญาตรี
เรียนในวิชาพลศึกษาที่โรงเรียนไม่ได้หรือไง)
เพื่อที่แต่ละหลักสูตรจะได้สามารถเพิ่มเนื้อหาเฉพาะทางทางด้านสาขาวิชาชีพของเขาได้
ตอนเรียนมัธยมปลายนั้น
จำได้ว่าอาจารย์ผู้สอนวิชาสังคมกล่าวไว้ว่า
"วิชาภูมิศาสตร์
ประวัติศาสตร์ ไม่ได้เป็นวิชาท่องจำ
แต่เป็นวิชาที่ต้องใช้ความเข้าใจ"
ซึ่งตอนนั้นก็ไม่เข้าใจความหมายที่อาจารย์กล่าวไว้
(เสียดายที่นึกชื่ออาจารย์ท่านนั้นไม่ออกจริง
ๆ)
ผมมาเข้าใจประโยคดังกล่าวลึกซึ้งก็ตอนที่เรียนปริญญาเอกอยู่ต่างประเทศว่าที่อาจารย์ท่านกล่าวไว้นั้นไม่ผิดเลย
เมื่อมาพบว่าการเรียนรู้สภาพภูมิศาสตร์และเหตุการณ์ทางการเมือง
ทำให้เข้าใจพัฒนาการของความรู้วิชาเคมีอินทรีย์ได้ดีขึ้น
(ที่มาของวัตถุดิบและการแข่งขันกันโดยอาศัยความเหนือกว่าทางด้านเทคโนโลยี)
และการได้เรียนรู้ข้อจำกัดของอุปกรณ์ที่ใช้ในการคำนวณ
(วิวัฒนาการของเครื่องคอมพิวเตอร์)
ทำให้เข้าใจที่มาที่ไปของเทคนิคต่าง
ๆ ที่ใช้ในการคำนวณเชิงตัวเลขได้ดีขึ้นเช่นกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น