เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๙ ตุลาคมที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่ชั้น ๑๖ ของคอนโดมีเนียม ๓๘ ชั้นย่านสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฝั่งตรงข้ามห้างพาต้า มีผู้เสียชีวิต ๑ ราย และเมื่อวานก็เห็นมีการแชร์เนื้อหาหนึ่งทางหน้า facebook ดังแสดงในรูปที่ ๑ และในวันเดียวกันมีสำนักข่าวบางแห่งรับลูกไปเล่นต่อ ลองอ่านเนื้อหาดังกล่าวดูเองก่อนนะครับ
รูปที่ ๑ ข้อความที่เห็นแชร์มาทาง facebook
ตรงที่ขีดเส้นใต้สีแดง ตรงบรรทัดที่ ๔ บอกว่าผู้เสียชีวิตเสียชีวิตจาก "สำลักควันไฟในบนไดหนีไฟ" แต่ตรงบรรทัดล่างสุดบอกว่า "ต้องรอการสอบสวนหาสาเหตุที่แน่นอนต่อไป"
เห็นความขัดแย้งไหมครับ เริ่มต้นก็รีบบอกเลยว่าเสียชีวิตจาก "สำลักควันไฟในบนไดหนีไฟ" แต่ตอนท้ายกลับบอกว่า "ต้องรอการสอบสวนหาสาเหตุที่แน่นอนต่อไป"
เรื่องถัดมาคือเรื่องของพัดลมอัดกาศ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทางหนีไฟที่อยู่ในอาคาร ซึ่งเนื้อหาเขาบอกว่าทางหนีไฟกลายเป็น "ปล่องควันมรณะ" เนื่องจากมีคนเปิดประตูทิ้งไว้ ตรงประเด็นนี้ขอทิ้งไว้ตรงนี้ก่อน
ทีนี้ลองไปดูเนื้อหาข่าวจากช่อง ONE31 ดูบ้างที่นำมาแสดงในรูปที่ ๒ ซึ่งมาจากการให้สัมภาษณ์ของผู้อำนวยการเขตบางกอกน้อยในวันถัดจากวันที่เกิดเพลิงไหม้ เนื้อหาข่าวบอกว่าพบผู้เสียชีวิต "บริเวณทางเดินชั้น 33 เบื้องต้นสาเหตุการเสียชีวิตไม่ได้เกิดจากการสำลักควัน" แต่จะต้องมีการตรวจพิสูจน์ถึงสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียดอีกครั้ง
จะเห็นนะครับว่าบริเวณที่พบกับสาเหตุกับสาเหตุของการเสียชีวิตนั้นไม่ตรงกับเนื้อหาในรูปที่ ๑
รูปที่ ๒ เนื้อหาข่าวจากสำนักข่าวช่อง ONE31
ทีนี้ลองมาดูข่าวจากสำนักข่าว Thai PBS ที่รายงานไว้ในวันเกิดเหตุบ้าง (รูปที่ ๒) ส่วนหนึ่งของเนื้อหาข่าวบอกว่าอาสาสมัครกู้ภัย "รุดอพยพประชาชนออกจากอาคาร โดยใช้วิธีประคองเดินลงบันไดหนีไฟ" ซึ่งแสดงว่าตอนเกิดเหตุเพลิงไหม้นั้นบันไดหนีไฟยังใช้งานได้อยู่
ทีนี้ลองดูเนื้อหาข่าวของสำนักข่าว pptvhd36 (รูปที่ ๔) ที่รายงานไว้ในวันเกิดเหตุดูบ้าง ซึ่งบอกว่าเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการได้ให้การช่วยเหลือ "ผู้ติดค้างชั้นที่ 17 และชั้นที่ 24 อย่างปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อย" และ "ให้การช่วยเหลือผู้ติดค้างบริเวณชั้นดาดฟ้า และบริเวณบันไดหนีไฟทั้งหมดจำนวน 12 ราย ลงมาบริเวณจุดสวนหย่อมของคอนโด ชั้นที่ 7 อย่างปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อย" นั่นแสดงว่าในขณะที่เกิดเพลิงไหม้นั้นบันไดหนีไฟในชั้นทึ่สูงกว่าชั้นที่เกิดเพลิงไหม้ (ชั้นที่ 16) ยังใช้งานได้อยู่
พัดลมอัดอากาศเป็นสิ่งสำคัญสำหรับบันไดหนีไฟที่อยู่ในอาคาร หน้าที่ของมันคือทำให้ความดันในช่องทางหนีไฟนั้นสูงกว่าความดันภายในตัวอาคาร "เล็กน้อย" สำหรับอาคารที่สูงไม่เกิน ๒๓ เมตรนั้น (ประมาณ ๕-๖ ชั้น) มีข้อกำหนดไว้ว่าสามารถใช้ระบบอัดอากาศแบบจุดเดียวได้ (ประกาศกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ข้อกำหนดในการป้องกันอัคคีภัย เล่ม ๖ ระบบอัดอากาศเพื่อควบคุมควันไฟ มาตรฐานเลขที่ มอก. ๒๕๔๑ เล่ม ๖ - ๒๕๕๕)
ในกรณีของระบบอัดอากาศแบบเข้าหลายจุด (ใช้ได้กับอาคารทุกระดับความสูง) มีข้อกำหนดว่าตำแหน่งช่องอัดอากาศเข้าแต่ละจุดต้องห่างไม่เกิน ๓ ชั้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นระบบอัดอากาศแบบเข้ากี่จุดนั้น ในการออกแบบก็กำหนดให้มีการคำนึงถึง "จำนวนประตูที่เปิดค้างสู่ภายนอก" ด้วย
รูปที่ ๔ เนื้อหาข่าวจากสำนักข่าว pptvhd36
ประตูหนีไฟจะออกแบบให้มีกลไกที่ดึงให้ประตูที่ถูกเปิดออกไปให้กลับมาอยู่ที่ตำแหน่งปิดเสมอ และการเปิดจะเป็นการเปิดแบบผลักออกจากตัวอาคารเข้าไปยังทางหนีไฟ ยกเว้นประตูที่เป็นทางออกด้านล่างและบนชั้นดาดฟ้าที่เป็นการเปิดออกแบบผลักออกจากช่องทางหนีไฟออกมาข้างนอก ดังนั้นในขณะที่เกิดเพลิงไหม้และระบบอัดอากาศทำงาน แรงที่ต้องใช้ในการผลักประตูให้เปิดจะเป็นผลรวมของ แรงดึงให้ประตูปิดของกลไกดึงให้ประตูปิด กับแรงดันที่เท่ากับผลคูณของความดันในตัวช่องทางหนีไฟกับพื้นที่หน้าตัดของประตู สำหรับคนที่อยู่ชั้นต่ำจะแนะนำให้หนีลงล่าง และสำหรับคนที่อยู่ชั้นใกล้ดาดฟ้าก็สามารถเลือกหนีขึ้นด้านบน
และโดยธรรมชาติของควันที่เกิดจากเพลิงไหม้ที่เป็นแก๊สร้อน มันจะลอยขึ้น ดังนั้นถ้ามันเล็ดรอดเข้าไปในช่องทางหนีไฟได้ มันก็จะมีแนวโน้มที่ลอยขึ้นบน
ในเหตุการณ์นี้ไม่เห็นว่ามีการกล่าวถึงการทำงานของระบบอัดอากาศว่าทำงานปรกติหรือใช้งานไม่ได้ มีแต่บอกว่าระบบสปริงเกอร์ไม่ทำงาน แต่ถ้าอ่านจากหลายสำนักข่าวจะเห็นว่า บันไดหนีไฟยังใช้งานได้อยู่
มาถึงจุดนี้คงเห็นความสำคัญของ "การอ่านให้ละเอียด" และ "ควรตรวจสอบจากหลายแหล่ง" แล้วนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น