ทฤษฎีที่แต่ก่อนเรียนกันในระดับมหาวิทยาลัย
ปัจจุบันมีการนำไปสอนกันในระดับมัธยม
ปฏิบัติการที่แต่ก่อนพอจะได้เรียนกันบ้างในระดับมัธยม
ปัจจุบันต้องมาเริ่มต้นกันในระดับมหาวิทยาลัย
Memoir ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของบันทึกข้อความที่ผมส่งให้กับนิสิตวิศวกรรมเคมี ป.ตรี ปี ๒ หลังเสร็จสิ้นการเรียนการไทเทรตกรด-เบส เมื่อวันพฤหัสที่แล้ว ในสัปดาห์ที่สองของภาคการศึกษา และเป็นการทดลองแรกของการเรียน
การสอนปฏิบัติการนั้น
ผมมองว่ามันมีลำดับการสอนคือ
เริ่มจากการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
จากนั้นให้ทดลองลงมือปฏิบัติ
ภายใต้การกำกับดูแลของผู้สอน
และปิดท้ายด้วย
การปล่อยให้สามารถทำการทดลองได้เองโดยอิสระ
แต่เดิมนั้นเรามองว่านิสิตที่ผ่านมาถึงภาควิชานั้น
ได้ผ่านขั้นตอนการทดลองลงมือปฏิบัติ
ภายใต้การกำกับดูแล
และอาจมาถึงระดับสามารถปล่อยให้ทำการทดลองได้เองโดยอิสระ
แต่เอาเข้าจริง ๆ กับพบว่า
มุมมองดังกล่าวนั้นไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงมาหลายปีแล้ว
นิสิตที่เข้ามาเรียนแลปเคมีกับผม
มักมองว่าถ้าผลการทดลองออกมาผิดพลาด
จะโดนหักคะแนนในรายงาน
ทำให้เกิดความเกร็ง ความกังวล
เวลาที่ให้ทำแลป ผมต้องบอกกับพวกเขาว่า
สิ่งที่อยากได้ในการเรียนคือ
ให้พวกคุณได้ "ลงมือปฏิบัติ"
เพราะผลการทดลองที่จะเอามาวิเคราะห์ได้นั้นต้องได้มาจากปฏิบัติการทดลองที่ถูกต้อง
และการที่จะปฏิบัติการทดลองได้ถูกต้องนั้น
มันต้องผ่านกระบวนการฝึกมาก่อน
ไม่ใช่ว่าอ่านคู่มือวิธีทำแลปที่แจกให้
แล้วจะทำได้ถูกต้องเลย
(จะมีบ้างก็พวกที่ผ่านค่ายวิชาการบางค่ายมาแล้ว
แต่เอาเข้าจริง ๆ
ก็ยังสามารถทำให้พวกเขาสับสนได้ด้วยคำถามพื้นฐานง่าย
ๆ)
สิ่งที่อยากให้เรียนรู้ก็คือ
การที่ได้ลงมือทำเองนั้น
มันแตกต่างจากทฤษฎีที่เรียนมาอย่างไร
สิ่งที่คิดว่ามันง่าย ๆ
ใช้เวลาไม่นานนั้น เอาเข้าจริง
ๆ แล้วมันเป็นอย่างไร
เผื่อที่เวลาไปทำงานแล้วมีตำแหน่งสูงขึ้น
จะได้เข้าใจผู้ใต้บังคับบัญชาว่างานที่สั่งให้เขาไปทำนั้น
มันมีความยากง่ายหรือต้องใช้เวลานานเพียงใด
และยังต้องมีความสามารถในการตรวจสอบผลที่ได้รับมาด้วย
ว่ามีความน่าเชื่อถือที่จะนำมาวิเคราะห์ต่อหรือไม่
คำโบราณกล่าวไว้ว่า
สิบปากว่า
ไม่เท่าตาเห็น
สิบตาเห็น
ไม่เท่ามือคลำ
สิบมือคลำ
ไม่เท่าทำเอง
ถ้าว่ากันตามนี้
การได้ลงมือทำเพียงครั้งเดียว
ย่อมจะได้อะไรมากกว่าการได้ยินได้ฟังจากคนกว่าร้อยคน
ปัญหาต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้นในการทดลองการไทเทรตกรด-เบสในสัปดาห์ที่แล้ว
ขอนำบางปัญหามาเล่าสู่กันฟังดังนี้
๑.
เรื่องของปริมาตรตัวอย่างที่จะใช้
ผมไม่ได้กำหนดปริมาตรตัวอย่างที่ต้องนำมาไทเทรต
เพราะผมอยากให้นิสิตทดลองเอาเองว่ามันจะมีปัญหาอะไรหรือไม่
เวลาที่นิสิตมาถามผมว่าควรเอาตัวอย่างมาเท่าไรดี
ผมบอกกับพวกเขาเพียงว่า
ตรงนี้ไม่มีคำตอบที่แน่นอน
แต่มีหลักการคือ
ถ้าตัวอย่างมีความเข้มข้นสูงก็ไม่ต้องปิเปตมามาก
(ค่อยเติมน้ำเพิ่มได้)
แต่ถ้าตัวอย่างมีความเข้มข้นต่ำก็ต้องนำปิเปตมามาก
(และไม่จำเป็นต้องเติมน้ำลงไปเจือจาง)
ในกรณีที่เราไม่รู้ว่าตัวอย่างเป็นอะไร
เราคงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากทำการทดลองเบื้องต้นดูก่อน
(เหมือนกับโยนหินถามทาง)
หรืออาจใช้พีเอชมิเตอร์ช่วยในการประมาณค่าเบื้องต้นได้
การที่ไม่ได้กำหนดปริมาตรตัวอย่างให้นั้น
เพราะต้องการจำลองสถานการณ์การทำงานจริงในบางเหตุการณ์
(อาจเป็นการวิเคราะห์ตัวอย่างนอกเหนือไปจากตัวอย่างประจำที่เคยวิเคราะห์)
ในบางงานที่เคยเจอนั้น
อย่าว่าแต่จะใช้ตัวอย่างเท่าใดเลย
แม้แต่ตัวอย่างก็ยังไม่มีข้อมูลว่าเป็นอะไรหรือประกอบด้วยอะไรเลย
๒.
ปริมาตร
titrant
ที่ต้องใช้เพื่อทำให้อินดิเคเตอร์เปลี่ยนสีสมบูรณ์
(ยกเว้น
phenolphthalene)
ผมบอกว่าตัวอย่างที่เตรียมไว้ให้นั้นอาจเป็นสารละลายของกรด
H2SO4
H3PO4 หรือ
CH3COOH
แต่ผมไม่ได้บอกว่าขวดไหนเป็นสารละลายอะไร
เพียงแต่บอกให้ทราบว่าถ้าคุณทดลองไทเทรตด้วยอินดิเคเตอร์ที่เปลี่ยนสีในช่วงพีเอชที่แตกต่างกัน
และสังเกตปริมาตร titrant
(สารละลาย
NaOH)
ที่ต้องใช้นับจากเมื่อเริ่มเห็นอินดิเคเตอร์เปลี่ยนสี
ไปจนเปลี่ยนสีสมบูรณ์
คุณจะสามารถบอกได้ว่าขวดไหนควรจะเป็นสารละลายของกรดตัวไหน
(ในการทดลองนี้เตรียมอินดิเคเตอร์ไว้ให้
๔ ตัวคือ Methyl
orange และ
Methy
red ที่เป็นสีในช่วงพีเอชที่เป็นกรด
Bromthymol
blue ที่เปลี่ยนสีคร่อมช่วงพีเอชทั้งกรดและเบส
และ Phenolphthalein
ที่เปลี่ยนสีในช่วงพีเอชที่เป็นเบส)
ปริมาตรดังกล่าวจะเป็นตัวบอกให้รู้ว่าอินดิเคเตอร์ที่ใช้นั้นมันจับตรงจุดสมมูล
(equivalent
point) ของการไทเทรตหรือไม่
ในกรณีที่พบว่าปริมาตรดังกล่าวมีค่ามาก
(เช่นระดับหลาย
ml
ขึ้นไป)
แสดงว่าอินดิเคเตอร์ดังกล่าวนั้นไม่น่าจะจับตรงตำแหน่งจุดสมมูลของการไทเทรต
ถ้าเป็นการไทเทรตกรดแก่
(หรือกรดอ่อนที่มีค่าคงที่การแตกตัวสูง)
-เบสแก่
ปริมาตรตรงนี้จะน้อยมาก
(เช่นครึ่งหยดหรือหนึ่งหยด)
แต่ปัญหาใหญ่เรื่องหนึ่งที่ประสบคือ
นิสิตเรียนรู้ "สี"
ของอินดิเคเตอร์จาก
"ตัวอักษร"
พอมาเจอของจริงเข้ามันก็เลยบอกไม่ได้ว่าสีที่เห็นนั้นเป็นสีสุดท้ายหรือยัง
สีที่เห็นในตำราเรียนนั้นมันก็ยังผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงได้
๓.
การหาตำแหน่งจุดสมมูลของการไทเทรตโปรตอนด้วยการใช้พีเอชมิเตอร์
ตรงนี้มันมีคำถามว่า
ในเมื่อมีพีเอชมิเตอร์อยู่แล้ว
ทำไมต้องไทเทรตอีก
เอาค่าพีเอชไปคำนวณความเข้มข้นของ
"กรด"
เลยไม่ได้หรือ
คำตอบก็คือ "ไม่ได้"
เพราะพีเอชมิเตอร์มันมองเห็นเฉพาะกรดที่แตกตัวให้โปรตอน
กรดที่ไม่แตกตัวมันมองไม่เห็น
ดังนั้นค่าพีเอชที่ได้จึงบ่งบอกเพียงแค่ค่าความเข้มข้นของ
"โปรตอน"
ไม่ใช่ความเข้มข้นของ
"กรด"
ในกรณีของสารละลายที่ประกอบด้วยกรดที่มีความแรงแตกต่างกันผสมกันอยู่
๒ ชนิดขึ้นไป
ความชัดเจนของการเพิ่มค่าพีเอชนั้นขึ้นอยู่กับความแรงของกรดแต่ละตัว
เช่นสมมุติว่าตัวอย่างนั้นมีกรดที่แตกตัวให้โปรตอนได้
๑ ตัวอยู่ ๒ ชนิดที่มีความแรงแตกต่างกัน
กราฟการเปลี่ยนแปลงค่าพีเอชของการไทเทรตโปรตอนตัวแรก
(ของกรดตัวที่แรงกว่า)
จะเพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการให้โปรตอนของกรดตัวที่สองที่อ่อนกว่า
ถ้าความแรงของกรดตัวที่สองนั้นอ่อนกว่าของตัวแรกมาก
เราก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงค่าพีเอช
ณ จุดสะเทินโปรตอนของกรดตัวแรกได้ชัดเจน
(กรณีของกรด
H3PO4)
แต่ถ้ากรดตัวที่สองนั้นแตกตัวได้ดีมาก
(คือแม้จะน้อยกว่าตัวแรก
แต่ก็ใกล้เคียงกับของตัวแรก)
เรามีสิทธิที่จะไม่เห็นการเพิ่มขึ้นของค่าพีเอชในจังหวะที่ทำการสะเทินตัวแรก
แต่จะไปเห็นการเพิ่มขึ้นของค่าพีเอชที่ชัดเจนในการสะเทินตัวที่สอง
(กรณีของกรด
H2SO4)
๔.
เรื่องการเปลี่ยนสีของ
phenolphthalein
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือนิสิตมักจะคิดว่าต้องให้เห็นแค่สีชมพูอ่อน
อย่าให้เข้มกว่านั้น
ถ้าเป็นการไทเทรตระหว่างกรดแก่-เบสแก่
จุดสมมูลจะอยู่ที่ค่า pH
7 แต่
phenolphthalein
จะเปลี่ยนสีให้เห็นได้ที่ค่า
pH
ตั้งแต่
8
ขึ้นไป
ดังนั้นเมื่อเห็นสีของ
phenolphthalein
ก็แสดงว่าใส่
titrant
เลยจุดสมมูลไปแล้ว
ยิ่งสีเข้มมากก็ยิ่งแสดงว่าใส่เลยจุดสมมูลไปมาก
แต่ในกรณีของตัวอย่างที่เป็นกรดอ่อนนั้น
จุดสมมูลจะอยู่ที่ค่า pH
มากกว่า
7
ส่วนจะมากกว่าแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับว่ากรดนั้นอ่อนแค่ไหน
ยิ่งอ่อนมากก็ยิ่งห่างออกไปมาก
ดังนั้นจะอิงตรงที่เมื่อเริ่มเห็นสีของ
phenolphthalein
แล้วก็ให้หยุดการไทเทรตเลยนั้นไม่ได้
เพราะจุดสมมูลอาจไปอยู่ในช่วง
pH
ที่
phenolphthalein
แสดงสีสมบูรณ์แล้วก็ได้
๕
อื่น ๆ
(ที่ดูเหมือนเป็นเรื่องไม่มีสาระ
แต่เกิดขึ้นให้เห็นเรื่อย
ๆ ในทุกปีการศึกษา)
-
ไทเทรตโดยคิดว่าใส่
phenolphthalein
แต่ในความเป็นจริงยังไม่ได้ใส่
(ตัวอย่างไม่ได้เข้มข้นมากหรอก
ก็เล่นไม่ใส่อินดิเคเตอร์แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าไทเทรตจนถึงจุดยุติแล้ว)
-
หยดสารละลาย
NaOH
จากบิวเรตจนต่ำกว่าขีดวัดปริมาตรต่ำสุดของบิวเรต
(แล้วจะอ่านค่าอย่างไร)
-
ใช้
titrant
จนเกือบหมด
โดยที่ยังไม่ได้ทำการหาความเข้มข้นที่แน่นอน
(standaradization)
งานนี้ได้เริ่มทำใหม่
-
เทสารละลาย
NaOH
ใส่บิวเรตในระดับที่สูงกว่าสายตา
(ย้ำเสมอว่าอย่างทำ
แต่ก็ลืมกันหลายราย)
-
คุกเข่าตวงสารบนพื้นห้องปฏิบัติการ
(อย่าคิดว่าพื้นห้องมันสะอาดนัก
อาจมีเศษแก้วหรือสารเคมีซ่อนอยู่ก็ได้)
-
เอาตัวอย่างมาไทเทรตโดยไม่ได้วัดปริมาตรที่แน่นอนของตัวอย่างที่นำมา
(แล้วจะคำนวณความเข้มข้นอย่างไร)
-
กลุ่มวันพุธ
ทำสถิติกลับช้าสุดด้วยเวลา
๑๗.๔๕
น (ตามตารางสอนคือ
๑๖.๐๐
น)