คืนวันศุกร์วันนั้น
กว่าผมจะออกจากที่ทำงาน
กว่าจะขับรถฝ่าการจราจรจากใจกลางกรุงเทพ
บนทางด่วน
และถนนย่านชานเมืองที่วันนี้ติดขัดเป็นพิเศษเนื่องจากมีอุบัติเหตุขวางทาง
ทำให้ต้องใช้เส้นทางเลี่ยง
กว่าจะมาถึงปั๊มน้ำมันที่อยู่กลางทางนอกเขตกรุงเทพ
มันก็หลายทุ่มแล้ว
ก็เลยถือโอกาสแวะพักเข้าห้องน้ำ
ล้างหน้า และหาอะไรกินซะหน่อย
ก่อนจะขับรถต่อในเส้นทางที่เหลือเพื่อกลับบ้านที่อยู่ยังอีกจังหวัดถัดไป
พอลงจากรถ กำลังจะล็อคประตู
เสียงเรียกหนึ่งที่คุ้นหูก็ดังทักทายครับ
"อาจารย์ครับ
อาจารย์ครับ"
ผมหันไปข้างหลัง
ก็พบกับเจ้าของเสียง
ที่เคยมาปรับทุกข์เรื่องการเรียน
เขายกมือไหว้ผม และก็บอกผมว่า
"อาจารย์ครับ
ผมเคลียร์กับทางบ้านเรียบร้อยแล้ว
ผมไม่เรียนต่อแล้วนะครับ"
------------------------------
ด้วยการที่มีโอกาสสอนหนังสือนิสิตปี
๒ ที่เพิ่งจะเข้ามาเรียนในภาควิชา
ทั้งส่วนของบรรยายและปฏิบัติการ
(ที่ลงไปควบคุมการทดลองด้วยตนเอง)
อยู่หลายวิชา
จึงทำให้ผมพอจะมีความคุ้นเคยกับนิสิตที่เพิ่งจะเข้ามาเรียนในภาควิชาอยู่บ้าง
เพราะเป็นอาจารย์คนแรก ๆ
ของภาควิชาที่นิสิตได้พบเจอ
สิ่งหนึ่งที่ผมบอกนิสิตใหม่ที่เข้าภาควิชาทุกคนเมื่อมีโอกาสก็คือ
ในฐานะอาจารย์ผู้สอน
ก็จะพยายามให้ความรู้ทุกอย่างที่มีในสาขาวิชาชีพนี้
ให้คุณได้รับรู้ว่าถ้าเรียนต่อสาขาวิชาชีพนี้แล้ว
จะไปทำงานทางด้านไหนได้บ้าง
จากนั้นก็คงจะแล้วแต่พวกคุณ
ว่าจะเลือกทำงานทางด้านสาขาวิชาชีพนี้หรือจะเปลี่ยนสาขาเรียนไปเลย
แต่ที่สำคัญก็คือ
ควรต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าตัวเองชอบอะไร
นิสิตที่เคยเจอนั้นมีทั้งคนที่ตั้งใจเอาไว้ว่าตัวเองต้องการเรียนอะไร
และก็เลือกเรียนทางด้านนี้ด้วยความตั้งใจของตนเอง
โดยมุ่งมั่นตั้งแต่ตอนเลือกเอนทรานซ์
ส่วนเรียนแล้วจะพบว่าสิ่งที่เคยคิดไว้นั้นมันเป็นอย่างที่คิดหรือไม่นั้น
ก็ค่อยว่ากันอีกที
บางกลุ่มก็เป็นพวกที่เรียนอะไรก็ได้
แล้วแต่ว่าสังคมในขณะนั้นกระแสเป็นอย่างไร
หรือทางบ้านอยากให้เรียนอะไร
พวกนี้ไม่ค่อยจะมีปัญหาเท่าใดนัก
พวกที่แย่หน่อยก็คือพวกที่โดนทางบ้านบังคับให้เรียน
ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็อยากจะเรียนสาขาอื่น
หรือไม่ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร
รู้แต่ว่าไม่ใช่สาขาที่โดนทางบ้านบังคับให้เรียนนี้แน่
ๆ
และรายที่ร้องทักผมนี้
ก็เป็นพวกที่อยู่ในกลุ่มหลังสุดนี้
------------------------------
ผมพยักหน้ารับทราบ
รู้สึกดีใจที่เห็นเขาปรับความเข้าใจกับทางบ้านได้
"แล้วจะไปเมื่อไรล่ะ"
ผมถามเขา
"ก็ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปครับ"
เขาตอบมาแบบทำหน้ายิ้ม
ๆ แบบมีความสุขชนิดที่ไม่ค่อยจะได้เห็นตั้งแต่รู้จักกัน
"เฮ้ย
นี่มันกลางเทอมเองนะ
ไม่รอให้จบเทอมก่อนเหรอ
เพราะออกไปตอนนี้มันก็ไปต่อไหนไม่ได้อยู่ดี
เรียนให้จบเทอมแรกก่อน
แล้วทำเรื่องขอลาพักการศึกษาเทอมหลังเอาไว้ก่อนก็ได้
พอสอบได้ที่ใหม่ก็ค่อยมาลาออก"
"คงไม่ล่ะครับ
เพราะจะเข้าไปอยู่วัดในวันพรุ่งนี้
บังเอิญเพื่อนที่นั่งรถมาด้วยกันแวะเข้าห้องน้ำ
กำลังจะออกรถก็เห็นอาจารย์มาจอดรถตรงนี้พอดี
ก็เลยจะมาบอกลา
เพราะผมคงจะไม่ไปบอกลาอาจารย์ที่ภาค"
"แล้วจะอยู่วัดนานเท่าใดล่ะ
จากนั้นจะไปทำอะไรต่อ"
"ก็คงสักสัปดาห์หนึ่งครับ
แต่ก็คงขึ้นอยู่กับทางบ้าน
แล้วหลังจากนั้นนะเหรอ .."
เขาหยุดชะงักไปนิดนึง
แล้วเบือนหน้าหลบสายตามผม
แต่ผมรู้สึกว่าหน้าตาเขาดูมีความสุขจัง
จากนั้นเขาก็พูดต่อ
"ก็ไม่แน่นะครับ
อาจอยู่วัดยาวไปเลยก็ได้
ไม่ออกมายุ่งเกี่ยวกับทางโลกอีก"
เขาพูดทีเล่นทีจริง
แต่ผมไม่คิดว่านิสัยเขาจะเป็นอย่างนั้น
จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า
"แต่ในใจผมเอง
ผมอยากออกจากวัดเพื่อเดินทางล่องลอยไปตามสายลมหรือไม่ก็สายน้ำโดยไม่มีใครมายุ่งเกี่ยวหรือบงการอะไรได้อีก
แต่ก็ขึ้นอยู่กับทางบ้านว่าเขาเห็นควรอย่างไร"
ฟังดูแล้วผมรู้สึกแปลก
ๆ ก็เลยถามเขาว่า "อ้าว
ไหนว่าเคลียร์กับทางบ้านเรียบร้อยแล้วไง"
เขาหัวเราะแหะ
แล้วก็ตอบกลับมาว่า
"ก็เขายังต้องเป็นผู้ออกตังค์ค่าใช้จ่ายให้ผมนะซิครับ
แต่นั่นคงเป็นสิ่งสุดท้ายแล้วครับ
ที่ผมจะยอมให้เขากำหนดทางเดินชีวิตของผมได้"
จากนั้นเขาหยุดชะงักไปนิดนึงก็กล่าวต่อว่า
"ถ้ายังไงถ้าอาจารย์มีเวลาว่าง
ก็ขอเชิญไปร่วมงานของผมด้วยนะครับ
รายละเอียดต่าง ๆ
ทางบ้านคงจะแจ้งเชิญไปยังภาควิชา
หวังว่าอาจารย์คงไม่พลาดงานของผมในสัปดาห์หน้านะครับ
ที่ผ่านมาผมเป็นฝ่ายยกมือไหว้อาจารย์ก่อน
แต่วันนั้นรับรองได้ว่าอาจารย์ต้องเป็นฝ่ายยกมือไหว้ผมก่อนแน่
ๆ"
เขาหัวเราะสั้น
ๆ แล้วบอกต่อมาว่า
"ผมรบกวนเวลาเข้าห้องน้ำของอาจารย์เพียงแค่นี้
ขอตัวก่อนนะครับ เพื่อน ๆ
เขารอผมอยู่ สวัสดีครับ"
เขาพูดจบยกมือไหว้ผมและก็หันหลังวิ่งอ้อมรถบรรทุกที่จอดอยู่ข้าง
ๆ ลับสายตาผมไป
------------------------------
ตอนมาทำงานใหม่
ๆ เจอเหตุการณ์นิสิตปี ๑
ในที่ปรึกษาที่มีปัญหาที่สงสัยว่าจะเป็นทางด้านสุขภาพจิต
เพราะหลังจากสอบมิดเทอมในเทอมปลายนั้นนั้นนิสิตคนดังกล่าวแม้ว่าจะมีมหาวิทยาลัยทุกวันแต่เช้า
แต่ก็ไม่เข้าเรียนสักวิชา
นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะร่วมกับเพื่อนฝูง
พอแจ้งทางบ้านไปก็โดนสวนกลับมาว่าก็เห็นลูกเขาเป็นปรกติดี
ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ถึงตอนสอบไล่
นิสิตเขาก็ไม่เข้าห้องสอบสักวิชา
พอแจ้งทางบ้านให้ทราบ
เขาก็บอกมาว่าเป็นเพราะลูกเขาอยากจะสอบเอนทรานซ์ใหม่
จะไปเรียนคณะอื่น
ผลออกมาก็คือต้องรีไทร์
พ้นสภาพนิสิตไป
แต่พอถึงวันสอบเอนทรานซ์
ปรากฏว่านิสิตรายนั้นไม่สอบสักวิชา
ที่นี้ทางบ้านรีบโทรกลับมาหา
มาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรจึงจะไม่พ้นสภาพนิสิต
ขณะนี้เขาได้ให้นิสิตรายนั้นเข้าพบจิตแพทย์แล้ว
ส่วนผมเองก็ได้แต่ตอบกลับไปว่าไม่รู้จะทำอย่างไรได้
เพราะทุกอย่างมันสายไปแล้ว
มีอยู่ปีหนึ่งได้เข้าอบรมการให้คำปรึกษาวัยรุ่น
วิทยากรผู้มากประสบการณ์เล่าให้ฟังถึงกรณีนิสิตหญิงรายหนึ่ง
ที่อยากเปลี่ยนสาขาการเรียน
โดยอยากจะย้ายไปเรียนที่อื่น
แต่ทางบ้านก็ไม่อยากให้ไป
จนในที่สุดก็สามารถตกลงกับทางบ้านได้ว่ายินยอมให้นิสิตรายนั้นลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อไปเรียนต่อในสาขาที่นิสิตรายนั้นต้องการยังต่างประเทศ
แต่ก่อนเดินทางไม่กี่วัน
บิดาของนิสิตหญิงคนนั้นมาขอพบ
พร้อมกับพานิสิตคนดังกล่าวมาด้วย
พอมาอยู่ครบพร้อมหน้ากันก็บอกว่าเปลี่ยนใจไม่ให้ไปแล้ว
พร้อมทั้งฉีกหนังสือเดินทางให้ดูต่อหน้าต่อตา
นิสิตคนดังกล่าวร้องกรี๊ดออกมาได้เพียงคำเดียว
แล้วก็ช็อคไป จากผู้มีสภาพจิตปรกติ
กลายเป็นผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาสภาพจิตในโรงพยาบาล
รายที่ผมรู้จักนี้
ก็ได้แต่หวังว่าคงจะไม่มีเหตุการณ์เช่นที่เคยได้รับฟังมาเกิดขึ้นกับเขา
------------------------------
อีก ๑ สัปดาห์ถัดมา
"ขอบคุณอาจารย์ที่สละเวลามาร่วมงานนะคะ"
คุณแม่ของเขากล่าวตอบผมตอนที่ผมเข้าไปลา
"แล้วหลังจากงานนี้มีแผนการณ์อย่างไรต่อครับ"
ผมถาม
"ก็คงจะให้เขาอยู่ที่วัดนี้สักพักก่อน
แล้วสัปดาห์หน้าจึงค่อยเอาเถ้ากระดูกของเขาไปลอยอังคารที่ทะเลคะ"
พอทราบคำตอบผมค่อยชำเลืองหันกลับไปยังเมรุเผาศพ
ที่มีควันลอยอย่างต่อเนื่องออกจากปล่อง
ท้ายที่สุด
เขาก็ได้ในสิ่งที่เขาต้องการจริง
ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น