เวลาจะลองภูมิกัน
ก็ลองกันด้วยเรื่องง่าย ๆ
นั่นแหละ ทำนองว่าเรื่องง่าย
ๆ แค่นี้ยังทำไม่เป็น
หลายต่อหลายรายเอาแต่เรียนสูง
ๆ เรียนแต่เรื่องที่มันดูซับซ้อน
ล้ำหน้า ทันสมัย
(ที่อาจหาที่ใช้ในชีวิตประจำวันหรือในโลกนี้ไม่ได้)
พูดจาแต่ละอย่างคนที่ไม่มีความรู้ด้านนั้นก็นึกว่าเป็นคนเก่ง
แต่พอเจอเข้ากับเรื่องง่าย
ๆ ในชีวิตประจำวันกลับทำอะไรไม่เป็น
คำถามหนึ่งที่ใช้ทดสอบความรู้พื้นฐานทางไฟฟ้าของวิศวกร
(ซึ่งทุกสาขาต้องเรียนอยู่แล้ว)
ก็คือให้เขียนแผนผังวงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์
หลอดไฟฟ้าที่ให้แสงสว่างที่ใชักันตามบ้านเรือนจะมีอยู่
๒ ชนิดคือหลอดไส้ (incandescent
lamp) ซึ่งมีราคาถูก
(ราคาประมาณ
๒๐ บาทต่อหลอด)
หลอดชนิดนี้เวลาทำงานจะร้อนจัดมาก
(อย่าเผลอเอามือเปล่าจับนะ)
พลังงานไฟฟ้าส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนไปเป็นพลังงานความร้อน
มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่กลายเป็นแสง
ปริมาณแสงที่ได้ต่อพลังงานไฟฟ้าที่ใช้
(ลูเมนต่อวัตต์)
มีค่าต่ำ
มีงานอยู่ประเภทหนึ่งที่ยังต้องใช้หลอดไส้อยู่คืองานให้ความอบอุ่น
เช่นพวกฟักไข่หรือเลี้ยงไก่
หลอดไส้จะให้แสงออกโทนสีเหลือง
หลอดไส้ชนิดใสเวลามองดูจะรู้สึกแสงจ้ามาก
ก็เลยมีการทำหลอดไส้ชนิดขุ่นออกมา
แต่ถ้าต้องการให้แสงเป็นสีขาวก็ต้องไปหาซื้อหลอด
day
light ซึ่งเป็นหลอดไส้ที่ตัวหลอดเป็นแก้วสีน้ำเงิน
หลอดอีกชนิดหนึ่งที่ใช้กันคือหลอดฟลูออเรสเซนต์
(fluorescent
lamp) หรือหลอดเรืองแสง
แต่คนทั่วไปชอบเรียกว่าหลอดนีออน
ทั้ง ๆ ที่หลอดนีออนนั้นเป็นหลอดอีกชนิดหนึ่ง
(พวกหลอดไฟให้แสงสีต่าง
ๆ ที่นำมาขดเป็นตัวหนังสือหรือภาพโฆษณา)
หลอดฟลูออเรสเซนต์นี้ทำงานโดยการกระตุ้นให้แก๊สในหลอดเปล่งรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตออกมา
โฟตอนของรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตดังกล่าวจะถูกดูดกลืนด้วยสารที่เคลือบไว้ที่ผนังด้านในของหลอดแก้ว
จากนั้นสารเคลือบจะคายพลังงานที่ดูดกลืนไว้ออกมาในรูปของโฟตอนที่มีพลังงานต่ำกว่า
คืออยู่ในช่วงแสงที่ตามองเห็น
(ปรากฎการณ์เรืองแสง)
หลอดชนิดนี้ให้ปริมาณแสงที่ได้ต่อปริมาณไฟฟ้าที่ใช้สูงกว่าหลอดไส้
แต่หลอดฟลูออเรสเซนต์ใช้แล้วถือว่าเป็น
"ขยะพิษ"
รูปที่
๑ แผนผังวงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์
(Fluorescent
lamp)
หลอดชนิดนี้เวลาทำงานจะไม่ร้อนจัดเหมือนหลอดไส้
จะรู้สึกว่าหลอดอุ่น
(ยังสามารถเอามือจับได้)
แสงที่ออกมานั้นเวลาดูด้วยตาเปล่าจะเห็นเป็นแสงขาว
แต่ถ้าถ่ายรูปด้วยกล้องโดยไม่ใช้แฟลชจะพบว่าแสงจะออกโทนสีเหลือง
หลอดฟลูออเรสเซนต์นั้นต้องมีอุปกรณ์ช่วยในการทำงานได้แก่บัลลาสต์
(ballast)
และสตาร์ตเตอร์
(starter)
บัลลาสต์ทำหน้าที่ควบคุมแรงดันไฟฟ้าให้สูงพอที่จะทำให้กระแสไฟฟ้าเคลื่อนผ่านแก๊สในหลอดได้
ส่วนสตาร์ตเตอร์เป็นเสมือนสวิตช์อัตโนมัติที่จะปิดวงจรเมื่อเปิดสวิตช์ไฟ
และจะเปิดวงจรเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวหลอด
(ทบทวนนิดนึง
ปิดวงจรจะมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน
เปิดวงจรจะไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านนะ)
การต่อวงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์แสดงไว้ในรูปที่
๑ แล้ว
สายไฟที่ใช้ในบ้านยุคใหม่ในปัจจุบันจะมีอยู่
๓ เส้น คือสาย line
ซึ่งเป็นสายที่มีไฟ
(เอาไขควงเช็คไฟไปจิ้มจะเห็นหลอดไฟที่ไขควงสว่าง)
สาย
neutral
ซึ่งเป็นสายที่ไม่มีไฟ
(เอาไขควงเช็คไฟไปจิ้ม
หลอดไฟที่ไขควงจะไม่ติด)
และสายดิน
(ground
หรือ
earth
ซึ่งจะเชื่อมต่อกับแท่งโลหะที่ฝังลงดิน
ณ ที่ใดที่หนึ่งในบ้าน)
สายดินนี้บ้านรุ่นเก่าจะไม่มี
การติดตั้งสวิตช์เปิด-ปิดจะต้องอยู่ที่สาย
line
ถ้าสวิตช์เปิด-ปิดอยู่ที่สาย
neutral
แม้ว่าเราจะปิดสวิตช์ไฟ
(เปิดวงจร)
กระแสไฟในสาย
line
จะยังคงไหลผ่านบัลลาสต์ไปยังหลอด
เวลากลางคืนจะเห็นว่าหลอดมีการเรืองแสงเล็กน้อยอยู่
ถ้าเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่าสวิตช์เปิด-ปิดนั้นติดตั้งผิด
การแก้ปัญหาต้องติดตั้งให้สวิตช์ปิด-เปิดอยู่ที่สาย
line
เมื่อเราเปิดไฟนั้น
กระแสไฟฟ้าจะวิ่งผ่านบัลลาสต์ไปยังไส้หลอด
และผ่านไส้หลอดไปยังสตาร์ตเตอร์
และออกไปทางสาย neutral
และพอไส้หลอดอุ่นพอก็จะมีอิเล็กตรอนวิ่งผ่านแก๊สในหลอดจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง
สตาร์ตเตอร์ก็จะเปิดวงจร
(ไม่มีกระแสไฟไหลผ่านสตาร์ตเตอร์แต่ไหลผ่านหลอดฟลูออเรสเซนต์แทน)
ดังนั้นในช่วงแรกที่เปิดหลอดฟลูออเรสเซนต์นั้นจะเห็นสตาร์ตเตอร์สว่างแบบกระพริบ
(เป็นจังหวะที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน)
และเมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านหลอดฟลูออเรสเซนต์แล้วไฟที่สตาร์ตเตอร์จะดับ
ถ้าไม่มีสตาร์ตเตอร์จะเปิดหลอดฟลูออเรสเซนต์ไม่ได้
แต่เมื่อหลอดฟลูออเรสเซนต์ติดแล้วสามารถถอดสตาร์ตเตอร์ออกได้โดยที่หลอดจะไม่ดับ
บัลลาสต์ที่ใช้กันมากนั้นคือชนิดที่เป็นแกนเหล็ก
ข้อดีของบัลลาสต์ชนิดนี้คือมีความทนทานสูง
(ที่เห็นใช้กันตามบ้านก็อายุนานเกินกว่า
๑๐ ปีทั้งนั้น)
แต่มีข้อเสียคือมีการสูญเสียพลังงานค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกัน
บัลลาสต์สำหรับหลอดขนาด
๓๖-๔๐
วัตต์จะมีการสูญเสียพลังงานประมาณ
๕๐ วัตต์ และยังมีค่าตัวประกอบกำลัง
(power
factor) ที่ต่ำด้วย
(ประมาณ
๐.๓
ถึง ๐.๕)
ดังนั้นถ้ามีการใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์จำนวนมากก็จะทำให้ต้องมีการดึงกระแสมากไปด้วย
ยิ่งต้องการกระแสไฟมากเท่าใดก็ต้องการสายไฟเส้นใหญ่ขึ้น
และการสูญเสียพลังงานในสายไฟก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
(ความร้อนที่เกิดจากการไหลผ่านของกระแสไฟฟ้ามีค่า
I2R
เมื่อ
I
คือกระแสไฟฟ้าและ
R
คือความต้านทาน)
การประหยัดพลังงานที่บัลลาสต์ทำได้โดยการเปลี่ยนไปใช้บัลลาสต์ที่มีการสูญเสียพลังงานต่ำลง
(เหลือประมาณ
๕ วัตต์)
และมีค่าตัวประกอบกำลังสูงขึ้น
(เพื่อลดการดึงกระแส)
ที่จำได้คือแต่ก่อนหลอดฟลูออเรสเซนต์ในบ้านตามต่างจังหวัดจะต้องติดตัวเก็บประจุโดยต่อขนานกับวงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์ดังแสดงในรูปที่
๑ เพื่อลดปัญหาไฟตก
แต่บ้านในเขตกรุงเทพนั้นไม่ต้องมี
หน้าที่ของตัวเก็บประจุคือทำให้ค่าตัวประกอบกำลังเพิ่มสูงขึ้น
แต่ปัจจุบันดูเหมือนจะไม่จำเป็นเสียแล้ว
บัลลาสต์อีกชนิดคือบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์
ข้อดีของบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์คือทำให้หลอดติดได้ทันทีเมื่อเปิดสวิตช์
(ไม่มีการกระพริบ)
มีค่าตัวประกอบกำลังสูง
(ที่เคยเห็นอยู่ที่ระดับ
๐.๕-๐.๘)
มีการสูญเสียพลังงานต่ำ
และมีน้ำหนักเบา
แต่ข้อเสียคือมีราคาแพงและไม่ทนทาน
ที่เคยใช้พบว่าบัลลาสต์พังก่อนหลอด
ทำให้ผมเลิกซื้อโคมบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดสำเร็จรูป
เพราะพอบัลลาสต์พังก็ต้องเปลี่ยนทั้งโคม
แต่ถ้าเป็นบัลลาสต์แบบแกนเหล็กจะพบว่าเปลี่ยนหลอดไม่รู้กี่หลอดกว่าที่จะเปลี่ยนบัลลาสต์
(เปลี่ยนหลอดมันง่ายกว่าเปลี่ยนโคม)
หวังว่าบันทึกนี้คงจะช่วยเพิ่มพูนความรู้ที่ใช้ในชีวิตประจำวันให้กับพวกคุณบ้าง