วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2561

และแล้วก็ได้เวลาบอกลา ตลาดสะพานเหลืองและโรงเรียนปทุมวัน (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๓๙) MO Memoir : Monday 13 August 2561

ในแผนที่แนบท้ายพระราชบัญญัติ โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตำบลปทุมวัน อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๔๘๒ ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๖ หน้า ๑๓๖๔ วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๔๘๒ มีการโอนที่ดินให้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๓ แปลงด้วยกัน โดยทุกแปลงนั้นด้านทิศเหนือจรดถนนพระรามที่ ๑ ด้านทิศใต้จรดถนนพระรามที่ ๔ 
  
ที่ดินแปลงที่ ๑ ด้านทิศตะวันออกจรดคลองอรชร ทิศตะวันตกจรดถนนพญาไท ซึ่งตอนนี้คลองอรชรได้กลายเป็นส่วนหนึ่งถนนอังรีดูนังต์ไปแล้ว (ถนนอังรีดูนังต์หรือถนนสนามม้าเดิมจะเฉพาะฝั่งทางด้านสนามม้า แต่พอมีการถมคลองอรชรให้กลายเป็นถนน ถนนก็เลยกว้างขึ้น) ที่ดินแปลงที่ ๒ ทิศตะวันออกจรดถนนพญาไท ทิศตะวันตกจรดถนน "พระรามที่ ๖" และที่ดินแปลงที่ ๓ ทิศตะวันออกจรดถนน "พระรามที่ ๖" ทิศตะวันตกจรด "คลองสวนหลวง"
 
"ถนนพระรามที่ ๖" ที่กล่าวถึงในพระราชบัญญัตินั้นคือถนนบรรทัดทองในปัจจุบัน ส่วน "คลองสวนหลวง" นั้นไม่เหลือสภาพเป็นคลองแล้ว กลายเป็นคูระบายน้ำแบบเปิดคูใหญ่คูหนึ่งที่อยู่ทางด้านหลังตึกแถวทางซึกตะวันตกของถนนบรรทัดทอง โดยร่องรอยของสะพานข้ามคลองนี้ยังเหลืออยู่บ้างตรงจุดที่ถนนเจริญเมืองเข้าบรรจบถนนบรรทัดทอง

รูปที่ ๑ แผนที่แนบท้ายพระราชบัญญัติ โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๔๘๒ ตัดมาเฉพาะมุมล่างด้านขวาที่แสดงตำแหน่งสะพานเหลืองที่ข้ามคลองสวนหลวงตรงตำแหน่งที่ออกมาบรรจบกับคลองเตย และยังปรากฏแนวทางรถไฟสายปากน้ำอยู่ระหว่างถนนพระราม ๔ กับคลองเตย
 
จากแผนที่ในรูปที่ ๑ จะเห็นว่าคลองสวนหลวงบรรจบกับคลองเตยทางด้านถนนพระรามที่ ๔ โดยสะพานข้ามคลองสวนหลวงของถนนพระรามที่ ๔ ตรงนี้คือ "สะพานเหลือง" (เข้าใจว่าเดิมตัวสะพานคงมีสีเหลือง" ทางแยกดังกล่าวจึงมีชื่อเรียกว่าแยกสะพานเหลืองมาจนถึงปัจจุบันแม้ว่าจะไม่มีตัวสะพานเหลือให้เห็นแล้วก็ตาม
 
บริเวณแยกสะพานเหลืองตรงบริเวณใกล้กับหัวมุมที่ดินของจุฬา ฯ จะมีตลาดสดอยู่ตลาดหนึ่งชื่อตลาดสะพานเหลือง ที่อยู่ติดกับตลาดนี้ก็คือโรงเรียนปทุมวันที่เป็นโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร และที่อยู่ติดกับโรงเรียนก็คือสถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน แต่เดิมนั้นฝั่งตรงข้ามกับสถานีตำรวจก็คือสำนักงานเขตปทุมวันที่ตอนนี้อาคารตรงนั้นถูกทุบทิ้งไปและกลายเป็นลาดจอดรถ ผมยังเคยได้ไปติดต่อที่สำนักงานเขตนี้ครั้งหนึ่งตอนปลายปี ๒๕๕๔ ตอนไปขอสำเนาเอกสารเพื่อนำไปขอรับเงินช่วยเหลือจากเหตุน้ำท่วมใหญ่ ส่วนตลาดสะพานเหลืองนี้เพิ่งจะแวะไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะเวลามาทำงานมักจะนำรถไปจอดที่อาคารจอดรถที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น และของกินบางอย่างที่ตลาดนั้นก็ถูกว่าที่ตลาดสามย่านที่ถูกย้ายมาอยู่ใกล้ ๆ และของกินสิ่งหนึ่งที่ต้องไปหาซื้อที่ตลาดนั้นเพราะบริเวณรอบ ๆ จุฬาไม่มีขายก็คือปาท่องโก๋ที่จะมีการทอดขายเฉพาะตอนเช้าคู่กับน้ำเต้าหู้ และเจ้านี้ก็ทำปาท่องโก๋ได้อร่อยและขายถูกเสียด้วย
 
กลางสัปดาห์ที่แล้วแวะไปที่ตลาดแห่งนั้นอีกครั้งหนึ่งหลังจากไม่ได้แวะไปหลายเดือน ก็พบว่าตลาดปิดทำการอย่างถาวรไปแล้ว ดังนั้นวันนี้ก็เลยขอบันทึกเรื่องราวตรงนี้ไว้สักหน่อยว่าที่ตรงนี้เคยมีอะไรอยู่บ้าง ก่อนที่มันจะหายสาบสูญไป

รูปที่ ๒ ข่าวผู้ว่ากทม. ลงนามยุบโรงเรียนปทุมวัน (จาก manager online) 

รูปที่ ๓ ตลาดสวนหลวงที่แวะเข้าไปเมื่อเย็นวันพุธที่ ๘ สิงหาคม ที่ผ่านมาหลังจากที่ไม่ได้แวะเข้าไปหลายเดือน มีป้ายแขวนเอาไว้ว่าเปิดเป็นการถาวรตั้งแต่ ๑ เมษายน ๒๕๖๑ ส่วนตึกแถวเก่าด้านซ้ายมือมีป้ายบอกว่าจะสร้างเป็นโรงแรม

รูปที่ ๔ ตึกแถวเก่าตรงนี้เริ่มมีการรื้อทิ้งแล้ว มีป้ายบอกว่าจะมีการปรับปรุงเป็นโรงแรม หน้าตาคงออกมาเป็นแบบภาพบนผ้าใบที่เขาติดโชว์อยู่

รูปที่ ๕ โรงเรียนปทุมวันที่ปิดทำการแล้ว ตึกสีเหลืองคืออาคารเรียน

รูปที่ ๖ ประตูทางเข้าโรงเรียนปทุมวัน ปีการศึกษาที่แล้วยังเห็นพลุกพล่านไปด้วยนักเรียนในช่วงเช้าและบ่าย

รูปที่ ๗ ซอยจุฬาลงกรณ์ ๕ มองออกไปทางด้านถนนพระราม ๔ อาคารข้างขวาคือแฟลตตำรวจ

รูปที่ ๘ สถานตำรวจนครบาลปทุมวัน อาคารแบบเดิมที่อยู่คู่มากับย่านการค้าที่เป็นตึกแถวเก่า และยังคงเป็นเพียงแค่ไม่กี่อาคาร (สถานีดับเพลิงและศาลเจ้าแม่ทับทิม) ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในบริเวณนี้

บันทึกเพิ่มเติม

สมัยเรียนหนังสือ (ก็เมื่อกว่าสามสิบปีที่แล้ว) พื้นที่บริเวณนี้เคยแวะไปเพียงแค่ครั้งเดียวก็ตอนบัตรนิสิตหาย ต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ เพื่อเอาใบแจ้งความมาขอทำบัตรนิสิตใหม่

ตอนนั้นคณะบัญชีน่าจะอุดมสมบูรณ์ที่สุด เพราะแค่เดินออกประตูบัญชีก็เป็นตลาดสามย่าน จำได้แต่ร้านหมงร้านใบ้ เมนูขึ้นชื่อก็ข้าวไข่ระเบิด  เวลารุ่นพี่เลี้ยงรุ่นน้องก็ไปหาร้านกินกันแถวนี้  การขายเหล้าก็ไม่จำกัดเวลา  หลายกลุ่มไปนั่งกินเหล้ากันตอนเย็นกันเป็นเรื่องปรกติ

กลับมาทำงานบริเวณนี้ถูกทุบทิ้งแล้ว กำลังสร้างคอนโด ที่ท้ายสุดแล้วต้องปล่อยทิ้งร้างราว ๆ สิบปี ผลพวงจากฟองสบู่แตกปี ๒๕๔๐  ส่วนตลาดสามย่านถูกย้ายไปฝั่งตรงข้าม (ที่กำลังก่อสร้างอาคารมิตรผลอยู่ในปัจจุบัน)  ช่วงนั้นแวะไปแถวนั้นบ่อย เพราะต้องไปซื้ัอฟิล์มถ่ายรูปและเอาฟิล์มไปล้าง ใช้ FUJI เป็นหลัก (ชอบโทนสีของมันมากกว่า KODAK และ KONIKA หรือ AGFA) ได้ของแถมมาเพียบ ทั้งถุงผ้าและแก้วน้ำเป็นสิบใบ (เรียกว่าครบทุกลาย)  ป้ายรถเมล์ตรงน้ันคนจะพลุกพล่าน มีทั้งร้านเซเว่น จีฉ่อย สเต็ก ร้านขายยา ขายและซ่อมนาฬิกา ฯลฯ หลังตึกแถวก็เป็นตลาดสามย่าน แวะเข้าไปกินบะหมี่แห้งที่ร้านหนึ่งในนั้นก็บ่อยครั้ง  จนในที่สุดพื้นที่นี้ก็ถูกเรียกคืน ตึกถูกทุบทิ้งและปล่อยร้างไว้ช่วงหนึ่ง  แต่ช่วงหนึ่งก็มีคนมาเปิดเป็นสวนสนุกด้วย  ตึกแถวที่อยู่ลึกเข้ามาข้างในไม่ถูกทุบ แต่ได้รับการปรับปรุงให้กลายเป็นหอพักแทน

ตลาดสามย่านถูกย้ายลึกเข้าไปข้างใน  พื้นที่ว่างฝั่งตรงข้ามโรงเรียนสาธิตมัธยมที่แสนจะรกและถุกใช้เป็นลานจอดรถ  และพื้นที่ที่เป็นสนามเทนนิสที่อยู่บริเวณนั้น ถูกนำมาสร้างเป็นอาคารจามจุรี ๙  ส่วนปั๊มน้ำมันก็กลายเป็นที่จอดรถป๊อปไป  รั้วรอบสนามจุ๊บด้านทิศตะวันออกถูกรื้อออกเพื่อเปิดห้องใต้อัฒจันทร์ให้เป็นห้องสำหรับชมรมต่าง ๆ  สนามยิงปืนเดิมที่อยู่กลางแจ้งมีช่องยิง ๑๐ เมตรที่หันไปทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ขนานกับสนามจุ๊บ ก็ถูกย้่ายเข้าไปเป็นสนามติดแอร์ที่เล็กลงเหลือพื้นที่เพียงครึ่งเดียวที่อยู่ใต้อัฒจันทร์  รอบตลาดสามย่านยังมีร้านค้าตึกแถวอยู่  ผมเองก็เคยเอารถไฟซ่อมแอร์ที่ร้านแถวนั้นอยู่หลายครั้ง  ถนนเส้นที่ตรงออกไปทางสนามกีฬาแห่งชาติและพระราม ๑ ก็ยังมีร้านขายของกิน ที่ตอนเย็น ๆ จะมีนิสิตมากินกันเต็มไปหมด  ในขณะที่หลากหลายซอยนั้นจะเต็มไปด้วยร้านขายอะไหล่รถยนต์เก่า  เครื่องยนต์เก่า ๆ กองเต็มถนนไปหมด คราบน้ำมันเครื่องก็เลอะทั่วไป  ซอยจุฬา ๒๒ ที่อยู่ตรงประตูธรรมสถานก็ยังเปิดให้รถวิ่งสวนทางกันได้  เป็นทางตรงที่เชื่อมถนนเจริญเมืองจากแยกบรรทัดทอง (ที่เดิมเป็นสี่แยก แต่ตอนนี้กลายเป็นสามแยก) กับมหาวิทยาลัยโดยตรง

พื้นที่ตั้งโรงเรียนสวนหลวงและสถานบริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานครตรงจุฬาซอย ๙ ก็ถูกเรียกคือ เพื่อนำพื่นที่มาสร้างเป็นอาคารสูงให้เช่าระยะยาวและหอพักอินเตอร์

ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา  และขณะนี้อีกบริเวณหนึ่งก็กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป  เลยต้องขอบันทึกเอาไว้หน่อยกันลืม

วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2561

วัดเขาพระพุทธบาทบางทราย ชลบุรี MO Memoir : Saturday 11 August 2561

"ประมาณสัก ๓ กิโลเมตรก่อนจะถึงศาลากลางจังหวัดชลบุรี มีภูเขาลูกหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของตำบลบางทราย เชิงเขาลาดลงมาเกือบจดถนนสุขุมวิทย์ ภูเขาลูกนี้มีชื่อเรียกกันเป็นสามัญว่า เขาพระพุทธบาทสามยอด ที่เชิงเขามีวัดโบราณอยู่วัดหนึ่ง กล่าวกันว่าพระเจ้าแผ่นดินที่ครอบครองกรุงศรีอยุธยาพระองค์หนึ่งเสด็จประพาสทางเรือมาพักแรมที่ตำบลนี้ ทรงทอดพระเนตรเห็นภูมิประเทศงดงาม จึงโปรดให้สร้างวัดขึ้นที่เชิงเขา แต่โบราณสถานซึ่งสร้างแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยานั้นในปัจจุบันไม่มีเหลืออยู่แล้ว สิ่งก่อสร้างที่เหลืออยู่ในเวลานี้เป็นของสร้างและซ่อมใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ทั้งสิ้น
 
(จากหน้า ๒๐ ของหนังสือ "ทัศนาสารไทย จังหวัดชลบุรี" ฉบับของสำนักงานวัฒนธรรมทางศิลปกรรม สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๙๙ โดย นายตรี อมาตยกุล กรรมการสำนักวัฒนธรรมทางศิลปกรรม สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ) ปัจจุบันวัดนี้คือวัดเขาพระพุทธบาทบางทราย


รูปที่ ๑ ที่ตั้งวัดเขาพระพุทธบาทบางทรายในปัจจุบัน (จาก google map) ตำแหน่งที่ (1) ในรูปคือที่ตั้งมณฑปบนเขาพระพุทธบาทบางทรายที่ขึ้นไปถ่ายรูป ส่วนตำแหน่งที่ (2) คือพระเจดีย์บนเขาพระพุทธบาทบางทรายที่ปัจจุบันเป็นองค์สีทองมองเห็นได้จากถนนสุขุมวิท แต่วันที่แวะไปนั้นผมมีเวลาจำกัด และหาทางขึ้นไม่เจอ

เป็นเวลาร่วม ๓๐ ปีที่ผมเดินทางผ่านทั้งถนนสุขุมวิทและถนนเลี่ยงเมืองชลบุรีเป็นประจำ สนามยิงปืนของค่ายทหารที่อยู่บริเวณใกล้ ๆ กันก็เคยลองแวะเข้าไปใช้บริการ แต่ไม่เคยคิดจะแวะเข้าไปที่วัดนั้นซักที เพราะจะคิดจะไปก็ตอนที่ไปเห็นเรื่องราวเกี่ยวกับวัดนี้ในหนังสืออายุกว่า ๖๐ ปีในห้องสมุด ที่มีภาพถ่ายวิหาร (รูปที่ ๒) และพระเจดีย์ (รูปที่ ๓) ที่อยู่บนเขาลูกนั้น ก็เลยอยากแวะขึ้นไปดูหน่อยว่าผ่านไปกว่า ๖๐ ปีแล้วมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง และเมืองชลบุรีเมื่อมองจากยอดเขานั้นจะเป็นเช่นไร เสียดายที่หนังสือไม่มีภาพเมืองชลบุรีที่มองจากเขาลูกนี้

รูปที่ ๒ ภาพวิหารบนเขาพระพุทธบาทบางทรายจากหนังสือทัศนาสารไทย จังหวัดชลบุรี รูปนี้น่าจะเป็นวิหารบนภูเขาลูกต้นที่มีการกล่าวเอาไว้ในหนังสือ


รูปที่ ๓ พระเจดีย์บนเขาพระพุทธบาทบางทราย มองเห็นทะเลอยูทางด้านซ้ายมือ เสียดายที่ภาพไม่ได้ระบุว่าเป็นภาพถ่ายจากเขาลูกไหน

ในหนังสือยังเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวัดนี้ต่อไปว่า
 
" ... ในบริเวณวัดนี้มีต้นไม้ร่มรื่นและเงียบสงัดดีมาก ปูชนียสถานก็สร้างไว้บนภูเขาซึ่งทอดเป็นทิวไปตามถนนสุขุมวิทย์ ภูเขาลูกนี้มีวิหารหลัง ๑ ข้างในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูป ๓ องค์ และมีพระสถูปเจดีย์องค์ ๑ ภูเขาลูกที่ ๒ มีวิหารหลัง ๑ มีพระพุทธรูปยืน ๒ องค์และพระพุทธรูปนั่ง ๕ องค์ ประดิษฐานอยู่ข้างใน มีเจดีย์องค์ ๑ กับหอระฆังหอ ๑ บนภูเขาลูกที่ ๓ มีมณฑปหลัง ๑ ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง พระพุทธไสยาศน์องค์ ๑ กับพระพุทธรูปนั่ง ๒ องค์ ต่อขึ้นไปบนยอดเขามีศิลารูปคล้ายศิลาธรรมจักรจมอยู่ในดิน คงโผล่ขึ้นมาให้เห็นเพียงซีกเดียว จึงเรียกกันว่าพระจันทร์ครึ่งซีก และต่อจากพระจันทร์ครึ่งซีกไปเป็นยอดเขาสูงสุด มีพระสถูปเจดีย์องค์ใหญ่องค์ ๑ สูงประมาณ ๒๐ เมตร ตรงกลางเจดีย์นี้เป็นโพรง สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ นี้เป็นฝีมือช่างครั้งรัชกาลที่ ๔ ซึ่งว่ากันว่าเจ้าพระยาทิพกรวงค์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) เป็นผู้สร้างขึ้น" (จากหน้า ๒๑)
 
ถ้าว่าตามรายละเอียดนี้ สถานที่ที่ผมขึ้นไปเยี่ยมชมก็คือภูเขาลูกที่ ๓ เพราะเป็นยอดที่มีองค์พระพุทธไสยาศน์ประดิษฐานอยู่ ส่วนที่ว่าขึ้นไปแล้วได้เห็นอะไรบ้างเมื่อมองลงมา ก็ลองไล่ดูจากรูปต่าง ๆ เอาเองก็แล้วกันนะครับ

"พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จพระราชดำเนินมาทรงทอดกฐินที่วัดเขาพระพุทธบาทบางทรายนี้ครั้งหนึ่ง เมื่อพ.. ๒๔๓๐ และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังทรงผนวชเป็นพระภิกษุอยู่ ก็เคยเสด็จประพาสพระอารามหลวงที่เชิงเขานี้ครั้งหนึ่ง เมื่อ พ.. ๒๔๔๗ ในรัชกาลที่ ๕ ทางราชการเคยใช้วัดนี้เป็นที่ทำพิธีถือน้ำพระพิพัฒสัตยาเรื่อยมาจนตลอดรัชกาล เพราะฉะนั้นวัดเขาพระพุทธบาทบางทรายนี้จึงนับว่าเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดชลบุรี" (จากหน้า ๒๒)
 
จากการที่มีปูชนียสถานที่ต่าง ๆ บนยอดเขาสามยอด น้ำที่ไหลจากยอดเขาทั้งสามที่ลงมารวมกันในสระที่อยู่ทางล่างจึงมีความเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งน้ำในสระนี้นอกเหนือไปจากเป็นแหล่งน้ำจืดให้ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์ ยังได้ถูกนำมาใช้ในการถือน้ำพิพัฒสัตยาด้วย (รูปที่ ๑๙ - ๒๐)

หลังจากแวะไปพบแพทย์ตามนัด ขากลับเห็นยังพอมีเวลาก็เลยถือโอกาสหาทางขึ้นไปถ่ายรูปที่มณฑปที่อยู่บนยอดเขา ทางขึ้นมณฑปนั้นสามารถจอดรถได้ที่ลานวัดด้านล่างแล้วเดินขึ้นไป แต่ตอนที่ผมไปนั้นผมขับตามแผนที่ google map ไปเรื่อย ๆ ถนนขึ้นไปถึงมณฑปนั้นเป็นถนนแคบ รถสวนทางกันไม่ได้ บางช่วงค่อนข้างชัน (ตามคลิปวิดิโอที่แนบมา) พอลงมาจากเขาลูกที่ ๓ นี้ก็จำเป็นต้องเดินทางต่อ เลยไม่ได้หาทางขึ้นไปบนเขาลูกที่ ๑ และลูกที่ ๒ อันที่จริงก็แวะขับตามแผนที่ที่บอกว่าเป็นเส้นทางไปยังเจดีย์ (ตำแหน่ง 2 ในรูปที่ ๑) แต่เห็นทางขึ้นมันดูรกแบบมีหญ้าขึ้นกลางถนน ก็เลยตัดสินใจไม่ขึ้นไป คิดว่าคราวหน้าถ้ามีโอกาสอีกคงจะหาทางขึ้นไปเยี่ยมชมอีก ๒ ยอดที่เหลือ Memoir ฉบับนี้ยาวหน่อยแต่ก็เป็นรูปถ่ายเสียเกือบทั้งหมด ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องด้วยรูปภาพก็แล้วกัน

รูปที่ ๔ สุดทางทางด้านหลังมณฑป

รูปที่ ๕ ตัวมณฑปเมื่อมองจากทางด้านหลัง

รูปที่ ๖ บันไดสำหรับเดินขึ้นมาจากทางด้านล่าง

รูปที่ ๗ อาคารหลังคาสูงเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนั่ง ส่วนอาคารด้านขวาเป็นที่ประดิษฐ์พระพุทธไสยาศน์

รูปที่ ๘ อีกด้านหนึ่งของมณฑป 

รูปที่ ๙ ทางด้านหน้าก็มีทางเดินขึ้นมาเหมือนกัน 

รูปที่ ๑๐ ลองเดินลงไปสำรวจดูหน่อยก็เห็นสภาพทางดังภาพ

รูปที่ ๑๑ มองย้อนขึ้นมายังมณฑป 

รูปที่ ๑๒ รูปนี้ไปจนถึงรูปที่ ๑๘ เป็นภาพตัวเมืองชลบุรีเมื่อมองลงมาก ผมถ่ายภาพไล่จากทางด้านทิศใต้ (คือตัวจังหวัดชลบุรี) ไปจนถึงทางด้านทิศเหนือ 

รูปที่ ๑๓ รูปนี้จะเห็นถนนเลี่ยงตัวเมืองที่ตัดอ้อมออกไปในทะเล 

รูปที่ ๑๔ เป็นช่วงจังหวะเวลาที่น้ำทะเลลงต่ำสุดพอดี

รูปที่ ๑๕ อาคารที่เห็นข้างล่างคือโรงเรียนชลบุรีสุขบท

รูปที่ ๑๖ อาคารที่เห็นข้างล่างคือโรงเรียนชลบุรีสุขบทเช่นกัน

รูปที่ ๑๗ ป่าชายเลนที่ยังพอหลงเหลืออยู่

รูปที่ ๑๘ ซูมภาพเข้าไปยังบริเวณป่าชายเลนที่ยังพอหลงเหลืออยู่

รูปที่ ๑๙ ป้ายเล่าประวัติความเป็นมาของสระเจ้าคุณเฒ่า

รูปที่ ๒๐ สภาพของสระเจ้าคุณเฒ่า

คลิปวิดิโอเส้นทางถนนขึ้นมณฑป