เหตุการณ์นี้จะเรียกว่าพังเพราะน็อตหลุดเพียงตัวเดียวก็น่าจะได้
จะว่าไปเว็บ
Oil Industry Safety
Directorate ของอินเดียก็มีรายงานอุบัติเหตุที่น่าสนใจเยอะอยู่เหมือนกัน
เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบอ่านเนื้อหายาว
ๆ แบบของอังกฤษ (รายงานของ
CSB
ของอเมริกานั้นสั้นกว่าของอังกฤษเยอะ)
อย่างเช่นเรื่องที่เอามาเล่าในวันนี้นำมาจากบทความเรื่อง
"Case study on
major fire incident due to failure of crude booster pump"
ที่เป็นเหตุไฟไหม้ที่โรงกลั่นน้ำมันแห่งหนึ่งที่มีสาเหตุจากความเสียหายของปั๊มหอยโข่งที่ใช้เพิ่มความดันให้กับน้ำมันดิบ
บทความไม่ได้บอกว่าเกิดเรื่องเมื่อใด
แต่ในรูปถ่ายรูปหนึ่งหลังเหตุการณ์สงบมีลงวันที่
01 06 2013
ซึ่งถ้าอ่านแบบอังกฤษก็จะเป็นวันที่
๑ เดือนมิถุนายน ค.ศ.
๒๐๑๓ (สายอังกฤษจะเขียน
วัน เดือน ปี แต่ถ้าเป็นอเมริกาจะเป็น
เดือน วัน ปี)
แต่ก่อนอื่นมาทบทวนโครงสร้างปั๊มหอยโข่ง
(centrifugal pump)
กันก่อนดีกว่า (รูปที่
๑)
รูปที่ ๑
ส่วนประกอบปั๊มหอยโข่ง
รูปที่
๑ เป็นโครงสร้างปั๊มหอยโข่งแบบที่พบเห็นกันมากที่สุด
โดยตัวปั๊มประกอบด้วยตัวเรือน
(casing)
และช่องทางให้ของเหลวไหลออก
(discharge)
ทางด้านหลังของตัวเรือน
(ด้านซ้ายของภาพ)
จะมีรูสำหรับสอดเพลา
(shaft)
ที่อาจเป็นเพลาของมอเตอร์
(ในกรณีของปั๊มขนาดเล็ก)
หรือเป็นเพลาที่ต้องนำไปต่อ
(coupling)
เข้ากับเพลามอเตอร์อีกที
(ในกรณีของปั๊มขนาดใหญ่)
บนตัวเพลาจะมีการเซาะร่องสำหรับสอดลิ่ม
(key)
เพื่อใช้ยึดตัวใบพัด
(impeller)
ให้หมุนไปพร้อมกับเพลาเวลาที่เพลาหมุน
ทางด้านหน้าของตัวเรือน
(ด้านขวาของภาพ)
จะมีช่องเปิดขนาดใหญ่ไว้สำหรับติดตั้งใบพัดที่จะสวมเข้าไปกับเพลา
ช่องเปิดนี้จะถูกปิดด้วยฝาปิดตัวเรือน
(casing cover)
โดยของเหลวจะไหลเข้าทางด้านช่องทางไหลเข้า
(inlet)
ที่อยู่ตรงกลางของฝาปิดตัวเรือน
เข้าสู่ตรงกลางใบพัด (eye)
และถูกเหวี่ยงออกไปทางด้านของเหลวไหลออก
เพื่อให้การทำงานของปั๊มมีประสิทธิภาพ
ช่องว่างระหว่างใบพัดกับตัวเรือนจะต้องไม่กว้างมาก
เพราะถ้ากว้างเกินไปจะทำให้ของเหลวที่ถูกเหวี่ยงออกไปจากใบพัดนั้นสามารถไหลย้อนกลับเข้ามาทางด้านขาเข้าได้มาก
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำการยึดใบพัดให้อยู่นิ่งเมื่อเทียบกับเพลา
แต่ต้องยึดตัวเพลาไม่ให้มีการเคลื่อนที่ตามแนวแกน
ตรงนี้มันก็เหมือนกับพัดลมที่เราใช้กันตามบ้านเรือน
ที่เราต้องมีน็อตยึดใบพัดเอาไว้ไม่ให้หลุดเวลาหมุน
และมีสลักที่ยึดใบพัดไว้กับเพลาเพื่อให้ใบพัดหมุนเวลาที่มอเตอร์หมุน
และตัวเพลาของมอเตอร์นั้นต้องไม่มีการขยับตัวในแนวแกน
ไม่เช่นนั้นเวลาที่ใบพัดหมุนมันก็จะตีเข้ากับตะแกรงกันใบพัดได้
ทีนี้ลองมาไล่ลำดับเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุ
ปั๊มเพิ่มความดัน
(booster pump)
มีทั้งสิ้น ๓ ตัว
ในขณะเกิดเหตุใช้งานอยู่
๒ ตัว (อีกตัวหนึ่งน่าจะเป็นตัวสำรอง)
ปั๊มแต่ละตัวมีขนาด
276 m3/hr
โดยในขณะนั้นหน่วยกลั่นเดินเครื่องอยู่ที่
350 m3/hr
(ด้วยเหตุนี้จึงต้องใช้ปั๊มสองตัว)
อุณหภูมิของน้ำมันคือ
179ºC
ที่ความดัน 31.5
kg/cm2 (อุณหภูมิของน้ำมันจัดว่าสูงไม่ถึง
autoignition
temperature ซึ่งปรกติจะอยู่ราว
ๆ 200ºC
ขึ้นไป)
อัตรากินกระแสไฟปรกติคือ
44-45 A (และ
65 A ที่
full load)
ข่วงเวลาที่เกิดเหตุนั้นเป็นช่วงรอยต่อระหว่างการเปลี่ยนกะกลางคืนมาเป็นกะเช้า
ในช่วงท้ายของกะกลางคืน
(ก่อนเช้า)
มีเสียงระเบิดดังขึ้น
โอเปอร์เรเตอร์จึงทำการหยุดเดินเครื่องโรงงานและทำการดับเพลิง
ซึ่งใช้เวลากว่า ๔ ชั่วโมงเพลิงจึงสงบ
จากการเข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบความเสียหายที่
crude oil booster
pump (ที่เชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นการรั่วไหลของน้ำมัน)
โดยตัวฝาครอบด้านหน้านั้นหลุดออกมา
และใบพัดก็หลุดออกจากเพลา
(รูปที่
๒)
ความเสียหายของฝาครอบทำให้น้ำมันรั่วไหลออกมา
ส่วนแหล่งพลังงานที่ทำให้เกิดการจุดระเบิดคาดว่าเป็นจากการเสียดสีระหว่างใบพัดกับฝาครอบตัวเรือน
รูปที่ ๒
ปั๊มหอยโข่งตัวที่ casing
ถูกใบพัดเจียรจนขาด
ตำแหน่งฉีกขาดของฝาครอบนั้นไม่ใช่แนวรอยเชื่อมใด
ๆ (ปรกติแล้วรอยเชื่อมจะเป็นจุดอ่อนในการรับแรง
ในกรณีนี้จึงสามารถตัดประเด็นเรื่องความเสียหายที่เกิดจากความไม่แข็งแรงของรอยเชื่อมออกไปได้)
และพบว่าเนื้อโลหะตรงบริเวณเส้นรอบวงที่ฉีกขาดนี้มีความหนาเหลือเพียงแค่ประมาณ
1 มิลลิเมตร
(รูปที่
๓)
จากความเสียหายของฝาครอบจึงระบุได้ว่าสาเหตุเกิดจากการที่ใบพัดเสียดสีเข้ากับฝาครอบ
อันเป็นผลจากการที่ใบพัดสามารถเคลื่อนตัวได้ในแนวแกน
ความดันทางด้านหลังใบพัดที่สูงกว่าด้านของเหลวไหลเข้า
จึงดันให้ใบพัดนั้นเข้ามาเบียดกับตัวฝาครอบตัวเรือน
บทความบอกว่าตัวเรือนปั๊มทำจาก
carbon steel A-216
WCB. แต่ไม่บอกว่าใบพัดทำจากโลหะอะไร
แต่ก็น่าจะมีความแข็งมากกว่าของตัวเรือน
ตัวเรือนจึงพังก่อนตัวใบพัด
(ที่ยังเห็นว่าอยู่ในสภาพดี
- รูปที่
๒)
สิ่งที่ทางผู้สอบสวนต้องหาสาเหตุให้ได้ก็คือ
อะไรเป็นตัวการทำให้ใบพัดเคลื่อนตัวได้ในแนวแกน
และทำไมเมื่อเกิดเหตุการณ์ใบพัดเสียดสีกับตัวเรือน
(ซึ่งต้องใช้เวลากว่าที่ตัวเรือนจะพัง)
จึงไม่มีใครรู้ว่าเกิดปัญหาขึ้นแล้ว
บันทึกการทำงานก่อนเกิดเหตุไม่ว่าจะเป็น
อัตราการไหล,
อุณหภูมิ และความดัน
ถือว่าเป็นปรกติ
รูปที่ ๓
บริเวณ casing
ที่ถูกเจียรจนขาด
ประวัติการใช้งานของปั๊มที่เกิดความเสียหายพบว่าก่อนเกิดเหตุนั้นพบการสั่นสะเทือนที่มาก
และเพลามีการติดขัด
จึงมีการถอดปั๊มออกไปซ่อมบำรุง
และนำมาติดตั้งกลับคืน
และก็ใช้งานปั๊มนั้นตลอดจนเกิดเหตุ
การที่ใบพัดสามารถเคลื่อนตัวเข้ามาเสียดสีกับตัวเรือนได้เป็นเพราะน็อตที่ยึดใบพัดให้อยู่กับที่นั้นเสียหาย
ซึ่งเกิดจากปัจจัยต่อไปนี้รวมกันคือ
-
การสั่นสะเทือนในแนวแกนที่รุนแรง
(ตรงนี้รายงานว่าเป็นผลมาจากการสั่นของท่อด้านขาเข้า)
-
ขัดน็อตไม่แน่นพอในการซ่อมบำรุงครั้งสุดท้าย
และ
-
ความเสียหายของแหวนยึดหรือความเสียหายที่เกลียว
(ทำให้น็อตคลายตัว)
แต่เมื่อเกิดการเสียดสีแล้ว
ควรที่จะมีเสียงดัง
และทำให้มอเตอร์กินกระแสไฟมากขึ้น
บทความไม่ได้กล่าวว่าทำไมจึงไม่มีใครสังเกตว่ามีเสียงดังผิดปรกติ
แต่จะว่าไปในโรงงานเหล่านี้เสียงมันก็ดังอยู่แล้ว
ถ้าไม่เคยชินกับเสียงหรือถ้ามันไม่ดังแปลก
ๆ ขึ้นมา ก็คงไม่มีใครรู้ (มอเตอร์เหนี่ยวนำหมุนที่ความเร็วรอบคงที่
ปริมาณกระแสที่ใช้แปรผันตามปริมาณ
load
การเสียดสีทำให้เกิดความต้านทานการหมุน
มอเตอร์ต้องดึงกระแสมากขึ้นเพื่อรักษาความเร็วรอบให้คงเดิม)
ส่วนตรงประเด็นที่ว่าทำไมเมื่อมอเตอร์กินกระแสไฟมากขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลานาน
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความผิดปรกติในการทำงาน
ระบบป้องกันจึงไม่ทำงาน
ตรงนี้ทางบทความกล่าวว่าเป็นเพราะการออกแบบ
trip logic
(ตรรกะที่บ่งชี้ว่ามีการทำงานผิดปรกติเกิดขึ้น)
และ trip
current setting (ปริมาณกระแสที่ทำให้ตัดการทำงาน)
นั้นไม่เหมาะสม