วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

การดักจับ CO2 ด้วยสารละลายเอมีน MO Memoir : Tuesday 18 November 2568

การลดการปลดปล่อย CO2 ด้วยการดักจับ CO2 มันจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อกระบวนการดักจับนั้นต้องไม่ผลิต CO2

ว่าแต่ในความเป็นจริงนั้นมันทำได้หรือเปล่า ถ้าทำได้จริงทำไมจึงไม่มีการนำมาใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ทั้ง ๆ ที่เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องนั้นมันมีการใช้งานจริงในทางปฏิบัติอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้นำมาประยุกต์ใช้กับการดักจับ CO2 เท่านั้น

การกำจัด CO2 ออกจากแก๊ส ในกรณีที่ CO2 มีความเข้มข้นสูงและมีอัตราการไหลของแก๊สที่สูงและต่อเนื่อง (เช่นในการแยก CO2 ออกจากแก๊สธรรมชาติ) จะนิยมใช้การดูดซึม (absorption) ด้วยสารละลายที่เป็นเบสเช่น K2CO3 และเอมีน (amine) ต่าง ๆ (โรงแยกแก๊สธรรมชาติในบ้านเราก็มีกระบวนการเหล่านี้ในการดึงเอา CO2 ออกจากแก๊สธรรมชาติ) จากนั้นจึงนำเอาสารละลายเบสที่อุดมไปด้วย CO2 ไปให้ความร้อนเพื่อไล่ CO2 ออกไป CO2 ที่ถูกไล่ออกไปก็ปล่อยออกสู่บรรยากาศ กระบวนเหล่านี้เคยเล่าไว้เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วในเรื่อง "การกำจัด CO2 และ H2S ด้วยกระบวนการ Hot Potassium Carbonate Absorption MO Memoir : Monday 7 December 2558" และ "การกำจัด CO2 และ H2S ด้วยกระบวนการเอมีน (Amine gas treating process) MO Memoir : Friday 11 December 2558"

ต่อมาเมื่อกระแสการดักจับ CO2 มาแรง ก็มีการทำงานวิจัยเพื่อศึกษาการนำเอากระบวนการเหล่านี้ โดยเฉพาะการใช้เอมีน มาเพื่อดักจับ CO2 ออกจากแก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล โดยอ้างว่าช่วยในการลดภาวะโลกร้อน โดยมีการศึกษาทั้งชนิดและความเข้มข้นของเอมีนที่จะทำให้ดักจับ CO2 ได้ดีที่สุด

แต่สิ่งหนึ่งที่งานวิจัยเหล่านี้มักจะหลีกเลี่ยงไม่กล่าวถึงก็คือ แล้ว CO2 ที่เอมีนดักจับเอาไว้เอาไปปล่อยทิ้งที่ไหน และความร้อนที่ต้องใช้ในการทำให้เอมีนร้อนเพื่อให้มันคาย CO2 ออกมานั้นได้มาจากไหน และผลิต CO2 ด้วยหรือไม่ (รูปที่ ๑) ซึ่งถ้าอ้างว่าแหล่งพลังงานความร้อนสำหรับต้มเอมีนนั้นเป็นแหล่งพลังงานสะอาด ก็ควรที่จะถามต่อไปว่าถ้าเช่นนั้นทำไมไม่เอาพลังงานความร้อนนั้นไปใช้แทนพลังงานร้อนที่ได้จากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล จะได้ไม่ต้องทำการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลให้มันเกิด CO2 จะได้ไม่ต้องทำการดักจับ CO2

ถามคำถามแบบนี้เมื่อใดในวงการดังกล่าว มีสิทธิ์สูงที่เขาจะไม่คุยด้วยต่อหรือไม่ก็ถูกเชิญออกจากวง :) :) :)

รูปที่ ๑ การใช้สารละลายเอมีน (amine) ในการดักจับ CO2 ออกจากแก๊ส

พอโดนแย้งเรื่องดักจับมาเพื่อเอามาปล่อยทิ้งอีกที่หนึ่ง ก็เลยมีการเปลี่ยนเป็นดักจับแล้วไม่ปล่อย และไม่ต้องใช้ความร้อนในการต้มไล่ CO2 ออกจากเอมีนด้วย ก็เลยเป็นที่มาของกระบวนการ mineralization คือเปลี่ยน CO2 ที่เอมีนจับอยู่นั้นให้กลายเป็นของแข็งในรูป CaCO3 ตกตะกอนออกมา และสารเคมีที่ใช้ก็คือ CaO โดยปฏิกิริยาที่เกิดก็คือ

Amine-CO2 + CaO -----> Amine + CaCO3

แต่ CaO เป็นสารที่ไม่ได้มีในธรรมชาติในปริมาณที่ทำเหมืองขุดมาใช้งานได้ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันก็ได้มาจากการนำเอา CaCO3 มาเผาที่อุณหภูมิสูงให้มันสลายตัวให้ CO2 ออกมา และพลังงานความร้อนที่ต้องใช้ในการเผาก็ได้มาจากแหล่งพลังงานที่ CO2 ออกมาเช่นกัน

นั่นคือย้ายการปล่อย CO2 จากขั้นตอนการไล่ CO2 ออกจากเอมีนเพื่อนำเอมีนกลับไปใช้งานใหม่ ให้ไปอยู่ที่การผลิต CaO แทน (รูปที่ ๒) คือให้มันเขยิบออกห่างไปอีกหน่อย

รูปที่ ๒ เปลี่ยนมาใช้ CaO ดึง CO2 ออกจากแทนการต้มไล่

พอมีการทักเรื่องที่มาของ CaO ว่ามีการปลดปล่อย CO2 และ CaO ก็ละลายน้ำได้น้อย การทำปฏิกิริยาก็ยาก ก็เลยมีการเปลี่ยนไปใช้สารตัวอื่นที่ละลายน้ำได้ และสารตัวที่มาแทนก็คือ CaCl2 กระบวนการดึง CO2 ออกจากเอมีนด้วย CaCl2 ก็คล้ายกับกระบวนการที่ใช้ CaO (รูปที่ ๓)

แต่ก็ยังมีคำถามอยู่ดีว่า CaCl2 มาจากไหน

รูปที่ ๓ เปลี่ยนจาก CaO มาเป็น CaCl2 แทน

CaCl2 ก็ทำนองเดียวกันกับ CaO คือมันไม่ได้มีเป็นแหล่งแร่ในธรรมชาติที่ขุดมาใช้งานได้เลยเหมือน CaCO3 แหล่งที่มาหลักแหล่งหนึ่งในปัจจุบันก็คือกระบวนการ Solvay ที่ใช้ในการผลิตโซดาแอช (Soda ash หรือ Na2CO3) สารตั้งต้นหลักในการผลิตโซดาแอชคือ NaCl และ CaCO3 โดยมีการใช้อุณหภูมิสูงในการเผา CaCO3 ให้สลายตัวเกิดแก๊ส CO2 เพื่อนำไปทำปฏิกิริยากับสารละลาย NaCl และ NH3 ส่วน CaO ที่เหลืออยู่ก็จะถูกนำไปทำปฏิกิริยากับ NH4Cl ทำให้ได้ CaCl2 ออกมาและ NH3 ที่สามารถนำกลับไปใช้ทำปฏิกิริยาใหม่ (รูปที่ ๔)

รูปที่ ๔ กระบวนการ Solvay ที่ใช้ผลิตโซดาแอช (Na2CO3) (จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Solvay_process)

ในกระบวนการ Solvay ก็มีการผลิต CO2 จากแหล่งพลังงานความร้อนที่ใช้ในการทำให้ CaCO3 สลายตัว

ปฏิกิริยารวมของการดึง CO2 ออกจากเอมีนด้วยสารละลาย CaCl2 คือ

Amine-CO2 + CaCl2 + H2O -----> Amine + CaCO3 + 2HCl(aq)

จากสมการข้างบนก็เกิดคำถามตามมาอีกก็คือ จะทำอย่างไรกับ HCl ที่เกิดขึ้น และ HCl ที่เป็นกรดนั้นเมื่ออยู่ร่วมกับเอมีนที่เป็นเบส จะเกิดปฏิกิริยาอย่างไรได้บ้าง ซึ่งตรงนี้คงต้องดูกันต่อไปว่าการแก้ปัญหานี้จะออกไปทางไหนกันอีก

Carbon Capture, Utilisation and Storage หรือที่ย่อว่า CCUS นั้นถ้าจะสามารถลดการปลดปล่อย CO2 ได้จริงก็ต่อเมื่อกระบวนการ CCUS นั้นปลดปล่อย CO2 น้อยกว่าปริมาณที่มันดักจับเอาไว้ได้ ถ้ามองเห็นประเด็นตรงนี้ก็จะเข้าใจว่าทำไมในเมื่อมีการศึกษาวิจัยกันอย่างแพร่หลาย จึงไม่มีการนำเอามาใช้งานจริงในทางปฏิบัติกันเสียที คือทำพอเป็นพิธีนั้นพอมีอยู่ แต่ห้ามถามเรื่องพลังงานที่ใช้ในกระบวนการว่าผลิต CO2 มากน้อยแค่ไหน

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

การดักจับ CO2 ด้วย CaO MO Memoir : Sunday 9 November 2568

ผลการทดลองใด ๆ ก็ตามที่ออกมาสวนทางหรือขัดแย้งกับทฤษฎีหรือองค์ความรู้ที่ใช้กันอยู่ ควรต้องได้รับการตรวจสอบวิธีการทดลองและการวิเคราะห์ผลอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะถ้ามันแสดงให้เห็นว่าทฤษฎีหรือองค์ความรู้ที่เราใช้กันอยู่นั้นมันไม่ถูกต้องหรือสมบูรณ์แบบ มันจะเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่

แต่จากประสบการณ์เท่าที่เคยเจอมา ผลมักจะออกมาว่า "เกิดจากวิธีการทดลองหรือการวิเคราะห์ที่ไม่เหมาะสมทุกครั้งไป"

ช่วงนี้กระแส Carbon Capture, Utilisation and Storage หรือที่ย่อว่า CCUS กำลังมาแรง แต่ถ้าสังเกตดูก็จะพบว่าเต็มไปด้วยงานวิจัยที่แทบจะไม่มีการนำออกมาใช้งานจริง หรือในบางกรณีก็เป็นการใช้งานจริงกับกรณีเฉพาะเท่านั้นโดยไม่มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายทั่วไป นั่นเป็นเพราะ CO2 เกิดจากการผลิต "พลังงาน" โดยใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (หนึ่งในต้นตอหลัก) แต่การดักจับ CO2 ก็ต้องใช้ "พลังงาน" และการเปลี่ยน CO2 ไปเป็นสารอื่นก็ต้องใช้ "พลังงานมาก" นั่นก็เป็นเพราะ CO2 เป็นสารที่มีค่าพลังงานในตัว (หรือ Enthalpy of Formation) ที่ต่ำมากอยู่แล้ว ดังนั้นปฏิกิริยาใด ๆ ที่จะนำ CO2 ไปเปลี่ยนเป็นสารอื่นก็ต้องใช้พลังงานมากกว่ากระบวนการผลิตดั้งเดิม

ทีนี้ถ้าจะบอกว่าการดักจับและการเปลี่ยน CO2 ไปเป็นสารอื่นนั้นสามารถทำได้ด้วยการใช้พลังงานสะอาด มันก็จะมีคำถามตามมาว่าถ้าเช่นนั้นทำไมไม่นำเองพลังงานสะอาดเหล่านั้นไปใช้แทนพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเลย จะได้ไม่ต้องมี CO2 ให้ดักจับ

CaO หรือแคลเซียมออกไซด์ (calcium oxide) เป็นสารตัวหนึ่งที่มีการศึกษาเพื่อนำมาใช้เป็นสารดักจับ CO2 ออกจากแก๊สปล่อยทิ้งกันอย่างแพร่หลาย มีบทความจำนวนไม่น้อยกล่าวถึงการใช้ CaO ในการดักจับ CO2 แต่สิ่งหนึ่งที่บทความจะไม่กล่าวถึงคือการผลิต CaO นั้นมีการปลดปล่อย CO2 เช่นกัน

รูปที่ ๑ เส้นสีส้มคือค่าความเข้มข้นของ CO2 ในเฟสแก๊สที่สภาวะสมดุล ซึ่งจะเพิ่มสูงขึ้นตามอุณหภูมิเพราะเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน

CaO เป็นสารที่ทำปฏิกิริยากับ CO2 ในอากาศได้ง่าย ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่พบแหล่ง CaO ในปริมาณที่มีนัยสำคัญในธรรมชาติ แต่อาจพบในรูปแบบปะปนอยู่กับสารอื่นในปริมาณไม่มาก แหล่งที่มาใหญ่สุดของ CaO ที่เราใช้กันในปัจจุบันคือการเผา CaCO3 หรือแคลเซียมคาร์บอเนต (calcium carbonate) ที่อุณหภูมิสูงมากพอ (ระดับ 800ºC หรือสูงกว่า) เพื่อให้ CaCO3 สลายตัวเป็น CaO และ "CO2"

และแน่นอนว่าพลังงานหลักที่ต้องใช้ในการเผา CaCO3 (ในปัจจุบัน) ก็ปลดปล่อย "CO2" เช่นกัน

ดังนั้นถ้าอยากลดการปลดปล่อย CO2 สิ่งหนึ่งที่ทำได้คือลดการผลิต CaO

สำหรับผู้เรียนเคมีแล้ว ต้องรู้จักหลักของเลอชาเตอลิเอ (Le Chatelier's Principle) ที่เกี่ยวข้องกับสมดุลเคมี ปฏิกิริยาการสลายตัวของ CaCO3 ไปเป็น CaO และ CO2 นั้นเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน ดังนั้นที่อุณหภูมิสูงขึ้นการเกิด CaO ก็จะเพิ่มขึ้น (หรือปริมาณ CaCO3 จะลดลง) รูปที่ ๑ แสดงค่าคงที่สมดุลของปฏิกิริยาดังกล่าวในช่วงอุณหภูมิต่าง ๆ จะเห็นว่าที่อุณหภูมิสูงขึ้น CaCO3 มีแนวโน้มจะสลายตัวเป็น CaO มากขึ้น

รูปที่ ๒ ผลการทดลองที่มีการนำเสนอ ผลการทดลองนี้บอกว่าที่อุณหภูมิสูงขึ้น CaO จะดักจับ CaCO3 ได้มากขึ้น ?????

เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมาระหว่างนั่งฟังนิสิตปริญญาเอกรายหนึ่งนำเสนอผลการทดลองของเขาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ CaO ในการดักจับ CO2 ที่อุณหภูมิต่าง ๆ ในการทดลองของเขาใช้การดูดซับด้วยระบบเบดนิ่ง (fixed-bed) ที่ให้แก๊สผสมที่มี CO2 ไหลผ่านเบด CaO แล้ววัดความเข้มข้น CO2 ด้านขาออก โดยทำการวัดจน CaO ดูดซับ CO2 จนอิ่มตัว แล้วจึงคำนวณหาปริมาณ CO2 ที่ผ่านไป (ซึ่งเป็นปริมาณเดียวกันกับที่ CaO จับเอาไว้) ผลการทดลองของเขาออกมาว่า CaO จะทำการจับ CO2 ได้มากขึ้นเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ???? (รูปที่ ๒)

ช่วงถามคำถามผมก็ถามเขาไปว่าทำไปในสไลด์ก่อนหน้านี้คุณนำเสนอว่าอุณหภูมิสูงขึ้นจะทำให้ CaCO3 สลายตัวคาย CO2 ออกมา (รูปที่ ๓) แล้วทำไมตอนนี้นำเสนอผลการทดลองที่ตรงข้ามกัน แล้วจะอธิบายอย่างไร

รูปที่ ๓ สไลด์ที่นำเสนอก่อนหน้าบอกว่าอุณหภูมิสูงขึ้นจะทำให้ CaCO3 สลายตัวคาย CO2 ออกมา (ที่ Calciner)

ถ้าว่ากันตามความรู้พื้นฐานทางเคมีที่เราต่างเรียนกันมา เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นอัตราการเกิดปฏิกิริยาก็จะสูงขึ้น (โดยไม่สนว่าปฏิกิริยานั้นดูดหรือคายความร้อน) ดังนั้นในการทดลองนี้สิ่งที่ควรเห็นคือที่ในช่วงแรกที่เริ่มการดูดซับ การทดลองที่อุณหภูมิต่ำ (เส้นสีแดง) จะเห็นความเข้มข้น CO2 ด้านขาออกสูงกว่าการทดลองที่อุณหภูมิสูง (เส้นสีเขียว) แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเข้มข้น CO2 ด้านขาออกของการทดลองที่อุณหภูมิสูงจะเข้าถึงระดับความเข้มข้นด้านขาเข้า (เส้นสีน้ำเงิน) เร็วกว่า (คืออิ่มตัวก่อน) การทดลองที่อุณหภูมิต่ำ (ซึ่งใช้เวลานานกว่าจึงจะทำปฏิกิริยาสมบูรณ์) ดังรูปที่ ๔ ข้างล่าง

รูปที่ ๔ ผลการทดลองที่ควรจะเป็น

ส่วนที่ว่าทำไมเขาถึงได้ผลการทดลองที่ขัดแยังกับทฤษฎีที่ใช้กันอยู่นั้น คงต้องไปดูวิธีการทดลองโดยละเอียด