หมายเหตุ
:
เนื้อหาในบทความชุดนี้อิงจากมาตราฐาน
API 2000 7th
Edition, March 2014. Reaffirmed, April 2020
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจ
ดังนั้นถ้าจะนำไปใช้งานจริงควรต้องตรวจสอบกับมาตรฐานฉบับล่าสุดที่ใช้ในช่วงเวลานั้นก่อน
ต่อไปจะเป็นหัวข้อ
5.3
ที่เป็นเรื่องของวิธีการทดสอบความสามารถของอุปกรณ์ในการระบายความดัน
โดยเริ่มจากหัวข้อ 5.3.1
(รูปที่ ๑)
ที่เป็นกรณีของช่องเปิด
เริ่มจากที่อัตราการไหลเป็นศูนย์
จากนั้นให้ทำการวัดความดัน/สุญญากาศในถัง
โดยให้ปรับความดันเป็นขั้น
5 ครั้งเท่า
ๆ กัน โดยมีค่าการปรับสูงสุดอยู่ที่
5 kPa (0.725 psi)
รูปที่ ๑
หัวข้อ 5.3
การทดสอบความสามารถของอุปกรณ์ระบายความดัน
ตรงนี้ถ้าย้อนกลับไปดูรูปอุปกรณ์ทดสอบในบทความตอนที่
๑๔ (รูปที่
๗ ของบทความ)
ในกรณีการทดสอบการระบายความดัน
การทดสอบตรงนี้ก็น่าจะเป็นการเพิ่มอัตราการของอากาศ
(ถ้าใช้อากาศเป็นตัวทดสอบ)
ที่ป้อนเข้า test
tank จนความดันภายใน test
tank สูงถึงระดับที่กำหนดของแต่ละขั้น
เมื่อความดันใน test
tank คงที่
อัตราการไหลเข้าก็จะเท่ากับอัตราการไหลออก
จากนั้นก็ค่อย ๆ เพิ่มความดัน
(ด้วยการปรับอัตราการไหลเข้า)
จนความดันภายใน test
tank เพิ่มสูงถึงระดับทดสอบระดับถัดไป
ในกรณีของการทดสอบการป้องกันการเกิดสุญญากาศ
ก็จะเป็นการดูดอากาศออกจาก
test tank
จนความดันลดต่ำลงถึงระดับที่กำหนดของแต่ละขั้น
ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนครบ
5 ขั้น
หัวข้อ
5.3.2
เป็นการทดสอบวาล์วระบายความดันสูงเกินหรือป้องกันการเกิดสุญญากาศ
ย่อหน้าแรกกล่าวว่าให้สร้างเส้นกราฟค่าอัตราการไหล
(flow-capacity
curves) สำหรับอุปกรณ์แต่ละชนิดและสำหรับทุกขนาด
(norminal size)
ย่อหน้าที่สองกล่าวว่าให้ทำการทดสอบอุปกรณ์ระบายความดันแต่ละตัว
(ก)
ที่ค่าที่กำหนดไว้
(set point)
ของค่าความดันออกแบบ
(design pressure)
และความดันสุญญากาศ
(vacuum) ที่ต่ำสุด
และ (ข)
ที่ค่าที่กำหนดไว้
(set point)
ของค่าความดันออกแบบ
(design pressure)
และความดันสุญญากาศ
(vacuum)
ที่สูงที่สุด หรือ (ค)
ที่ค่าขีดจำกัดของชุดอุปกรณ์ทดสอบอัตราการไหล
ขึ้นอยู่กับว่าค่าไหนมีค่ามากกว่า
ทำการทดสอบช่วงค่าตอนกลางอย่างน้อย
3 ค่า
(คือทดสอบรวมทั้งสิ้นอย่างน้อย
5 ค่า
คือค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด
และค่าระหว่างสองค่านี้อีกอย่างน้อย
3 ค่า)
โดยให้รวมค่าที่ให้ไว้ในย่อหน้าที่
4 ของหัวข้อย่อยนี้
(หัวข้อ
5.3.2)
ทั้งการวัดสุญญากาศและการระบายความดันสูงเกิน
เพิ่มการเปลี่ยนแปลงอัตราการไหลให้มากเพียงพอที่ทำให้สามารถสร้างเส้นกราฟความสามารถในการระบายสำหรับค่าความดันหรือสุญญากาศที่ตั้งเอาไว้
ข้อมูลเหล่านี้อาจถูกนำมาใช้เพื่อสร้างเส้นกราฟอัตราการไหลสำหรับค่าความดันหรือสุญญากาศที่ตั้งเอาไว้
ที่สูงเกินกว่าค่าที่ทำการทดสอบ
(คือใช้ประมาณค่าสำหรับช่วงความดันที่อยู่นอกเหนือช่วงที่ทำการทดสอบ)
ถ้าสามารถแสดงให้เห็นได้ว่าการประมาณค่านอกช่วงของข้อมูลที่มีนั้นมีความถูกต้อง
สิ่งนี้เป็นกรณีที่ว่าถ้าได้ทำการวัดค่าอย่างน้อย
3
จุดหลังจากที่วาล์วได้เปิดเต็มที่แล้ว
ความเร็วในการไหลนั้นยังต่ำกว่าความเร็วเสียง
ย่อหน้าที่สามกล่าวว่าเริ่มทำการวัดความดันหรือสุญญากาศจากจุดที่ให้ค่าอัตราการไหลเป็นศูนย์
และค่อย ๆ
เพิ่มเป็นลำดับขั้นที่เหมาะสมจนกระทั่งถึงค่าสูงสุดหรือวาล์วเปิดเต็มที่
ย่อหน้าที่สี่กล่าวว่าการวัดอัตราการไหลโดยปริมาตรควรกระทำที่ค่าความดันหรือสุญญากาสในถังมีค่าเท่ากับ
1.1, 1.2, 1.5 และ
2
เท่าของค่าความดันหรือสุญญากาศที่ตั้งเอาไว้
ถ้าวาล์วยังไม่เปิดเต็มที่ที่ค่า
2
เท่าของค่าความดันที่ตั้งเอาไว้
ให้ทำการเพิ่มจุดวัดเพิ่มเติมจนกระทั่งวาล์วเปิดเต็มที่
(หมายเหตุ
:
เมื่อความดันในถังสูงถึงค่าที่ทำให้วาล์วเปิด
วาล์วจะเริ่มเปิดเพื่อลดความดันในถัง
แต่ความดันในถังไม่จำเป็นต้องลดต่ำลงถ้าหากมีสาเหตุที่ทำให้ความดันในถังเพิ่มสูงขึ้นนั้นยังคงอยู่
และยังคงสามารถเพิ่มความดันได้สูงเกินกว่าความสามารถในการระบายความดัน
แต่ในขณะที่ความดันในถังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย
ๆ อัตราการระบายก็จะเพิ่มขึ้น
จนกระทั่งถึงจุดสมดุลที่ความดันในถังจะไม่เพิ่มขึ้นอีกต่อไป)
ย่อหน้าที่ห้ากล่าวว่าให้เขียนกราฟระหว่างอัตราการไหลกับความดันหรือสุญญากาศภายในถัง
(เส้นกราฟอัตราการไหล/ความดัน
หรืออัตราการไหล/สุญญากาศ)
หรือแสดงข้อมูลในรูปของตารางที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการไหลกับความดัน
แสดงค่าความดันด้วยหน่วย
กิโลปาสคาล (บาร์,
มิลลิบาร์,
มิลลิเมตรน้ำ,
ออนซ์ต่อตารางนิ้ว,
ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
หรือนิ้วน้ำ)
ย่อหน้าที่หกกล่าวว่าให้ทำการระบุค่าความดันสูงเกิดหรือค่าความดันที่ตั้งเอาไว้
ย่อหน้าที่เจ็ดเป็นหมายเหตุที่กล่าวว่า
เส้นกราฟความสามารถในการระบายความดันนี้ใช้กับอุปกรณ์ที่สะอาด
โดยไม่รวมสภาวะที่อุปกรณ์มีความสกปรก
เช่นมีสิ่งเกาะติดพื้นผิวภายในเส้นทางการไหลที่สามารถลดความสามารถในการระบายความดัน
ในขณะที่วิธีการในหัวข้อ
5.3.2.1 Flow-curve
Method เป็นการทดสอบอุปกรณ์ระบายความดันแต่ละตัวที่จะใช้งาน
วิธีการที่สอง Coefficient
of Discharge ในหัวข้อ 5.3.2.2
(รูปที่ ๒ ข้างล่าง)
เป็นการทดสอบอุปกรณ์ที่มีรูปแบบเส้นทางการไหลที่มีรูปทรงเรขาคณิตแบบเดียวกัน
ดังนั้นจึงสามารถนำเอาผลที่ได้ไปใช้กับอุปกรณ์อื่นที่มีรูปแบบเส้นทางการไหลแบบเดียวกันหรืออุปกรณ์รูปแบบเดียวกันที่มีขนาดต่างกันได้รับการกำหนดมาตราส่วน
รูปที่ ๒
หัวข้อ 5.3.2.2
วิธีการที่สองคือ
Coefficient of
Discharge
หัวข้อ
5.3.2.2.1
เป็นวิธีการสำหรับอุปกรณ์ที่มีการออกแบบจำเพาะเจาะจง
(คือมีรูปแบบเดียวกัน)
โดยทำการทดสอบจำนวน
3 ขนาดหรือมากกว่า
ย่อหน้าแรกกล่าวว่าสำหรับอุปกรณ์ที่มีรูปแบบจำเพาะเดียวกัน
มีรูปร่างเรขาคณิตของเส้นทางการไหลคล้ายคลึงกัน
สามารถสร้างค่า "Coefficient
of Discharge"
สำหรับอุปกรณ์ระบายความดันในช่วงขนาดดังกล่าวได้ด้วยการใช้ขั้นตอนการทำงานดังต่อไปนี้
และผลการทดสอบที่ได้สามารถนำไปทำการประมาณค่านอกช่วงเพื่อใช้กับอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กกว่าหรือใหญ่กว่าขนาดอุปกรณ์ที่นำมาทดสอบได้
โดยมีเงื่อนไขว่าทั้งตัวอุปกรณ์ทดสอบและอุปกรณ์ที่ต้องการทำนายค่าความสามารถในการระบายนั้น
ต้องมีรูปทรงทางเรขาคณิต
(ของเส้นทางการไหล)
ที่คล้ายคลึงกัน
ย่อหน้าที่สองกล่าวว่า
สามารถกล่าวได้ว่าความคล้ายคลึงทางเรขาคณิตจะเกิดขึ้นเมื่อ
อัตราส่วนของเส้นทางการไหลและมิติต่าง
ๆ ของชิ้นส่วนต่าง ๆ
ที่สามารถส่งผลกระทบต่อแรงผลักดันรวมที่ของไหลนั้นกระทำบนชิ้นส่วนเคลื่อนที่ที่อยู่ภายในอุปกรณ์ระบายความดัน
ได้รับการกำหนดมาตราส่วนให้สอดคล้องกับมิติต่าง
ๆ ของวาล์วที่ใช้ในการทดสอบหาความสามารถในการระบาย
ถ้าให้เทียบกับการไหลในท่อ
วิธีการตรงนี้มันเหมือนกับว่า
ไม่ว่าของไหลนั้นจะเป็นของเหลวหรือแก๊ส
แต่ถ้าไหลด้วยค่า Reynolds
number (Re) พฤติกรรมการไหลจะเหมือนกัน
ย่อหน้าที่สามกล่าวว่าให้ทำการทดสอบอุปกรณ์อย่างน้อย
3 ขนิด
โดยแต่ละชนิดให้ทำการทดสอบ
3 ขนาด
(รวมจำนวนอุปกรณ์ที่ต้องทดสอบทั้งหมดอย่างน้อย
9 ตัว)
ทำการทดสอบอุปกรณ์แต่ละตัวที่ความดันต่างกัน
โดยความดันที่ทำการทดอย่างน้อยหนึ่งค่าเป็นค่าความดัน/สุญญากาศที่ค่าความดันออกแบบที่ต่ำที่สุด
และอีกค่าหนึ่งเป็นค่าความดัน/สุญญากาศที่ค่าความดันออกแบบที่สูงที่สุด
โดยความดันที่ต้องทดสอบส่วนที่เหลือให้มีการกระจายอย่างสม่ำเสมอในช่วงระหว่างค่าความดันออกแบบต่ำสุดและสูงสุด
ความดันที่ทำการทดสอบทั้งหมดควรเป็นค่าความดันอยู่ในตำแหน่งเปิดเต็มที่
วาล์วระบายความดันที่ใช้กับของเหลวจะเปิดเมื่อความดันเพิ่มสูงถึงระดับหนึ่ง
ถ้าความดันยังเพิ่มขึ้นต่อ
วาล์วก็จะเปิดมากขึ้น
จนความดันสูงถึงระดับหนึ่ง
วาล์วก็จะเปิดเต็มที่
ตามย่อหน้าที่สามนี้
ความดันที่ต่ำที่สุดในการทดสอบก็ควรต้องเป็นความดันที่ต่ำที่สุดที่ทำให้วาล์วเปิดเต็มที่
ไม่ใช่ความดันที่ทำให้วาล์วเริ่มเปิด
ในกรณีของวาล์วระบายความดันที่ใช้กับแก๊สนั้น
เมื่อความดันสูงถึงระดับที่ทำให้วาล์วเปิด
วาล์วจะเปิดเต็มที่ทันที
ดังนั้นความดันที่ทำให้วาล์วเริ่มเปิดกับความดันที่ทำให้วาล์วเปิดเต็มที่ก็จะเป็นความดันเดียวกัน
ย่อหน้าที่สี่กล่าวว่าสามารถคำนวณค่า
Coefficient of
Discharge (ค่า K)
สำหรับอุปกรณ์แต่ละตัวได้จากสมการที่
(24) คือ
K = qa/qth
เมื่อ qa
คืออัตราการไหลที่ได้จากการทดลอง
ส่วน qth
คือค่าอัตราการไหลทางทฤษฎี
ในกรณีของหน่วย SI
ค่านี้จะมีหน่วยเป็น
m3/hr
ของตัวกลางที่นำมาทดสอบ
(ปรกติจะเป็นอากาศ)
โดยคำนวณได้จากสมการที่
(25) (ดูรูปที่
๒) หรือในหน่วย
USC
ที่คำนวณได้จากสมการที่
(26) (ดูรูปที่
๓)
โดยที่ตัวแปรต่าง ๆ
ในสมการคือ
Am
คือ พื้นที่การไหลที่มีค่าต่ำที่สุดของอุปกรณ์
pi
คือ ค่าความดันสมบูรณ์ที่ทางเข้าของตัวอุปกรณ์
po
คือ ค่าความดันสมบูรณ์ที่ทางออกของตัวอุปกรณ์
k
คือ ค่าอัตราส่วนของค่าความจุความร้อน
(คือค่า
Cp/Cv
โดย Cp
คือค่าความจุดความร้อนของแก๊สที่วัดที่ความดันคงที่
ส่วน Cv
คือค่าความจุดความร้อนของแก๊สที่วัดที่ปริมรตรคงที่)
Ti
คือ อุณหภูมิสัมบูรณ์ที่ทางเข้าของตัวอุปกรณ์
M
คือ ค่ามวลโมเลกุลสัมพัทธ์ของแก๊สที่ใช้ในการทดสอบ
Zi
คือ ค่า compressibility
ของแก๊ส (ค่า
PV/RT เมื่อ
P คือความดัน,
V คือปริมาตรจำเพาะ,
R คือค่าคงที่ของแก๊ส
และ T
คืออุณหภูมิสัมบูรณ์)
ที่ทางเข้าของตัวอุปกรณ์
(ในกรณีที่ไม่ทราบค่านี้ให้ใช้
Z = 1.0)
ส่วนตัวแปรต่าง
ๆ ต้องมีหน่วยอะไรนั้น
ให้ดูรูปที่ ๒ และ ๓
รูปที่ ๓
หัวข้อ 5.3.2.2
วิธีการที่สองคือ
Coefficient of
Discharge (ต่อ)
รูปนี้เป็นสมการในหน่วย
USC
รูปที่ ๔
การเขียนกราฟระหว่างค่า K
(แกน y)
กับค่าอัตราส่วนความดันสัมบูรณ์
(แกน
x)
รูปที่
๔ ยังคงอยู่ในหัวข้อ 5.3.2.2
หลังจากที่ได้ค่า K
ที่ความดันต่าง ๆ แล้ว
ให้ทำการเขียนกราฟที่มีการปรับใกล้เคียงที่ดีที่สุด
(best fit)
ระหว่างค่า K
หรือ coefficient
of discharge (แกน y)
กับค่าอัตราส่วนความดันสัมบูรณ์
(แกน
x)
ค่าสัมประสิทธิ์ที่วัดได้ทุกค่าควรอยู่ในช่วง
±5%
จากค่าเฉลี่ย (เส้นทึบหมายเลข
1 ใน
Figure 2 - ดูรูปที่
๔)
การคำนวณค่าความสามารถในการระบายที่ความดันใด
ๆ ที่อยู่ในช่วงความดันที่ทดสอบ
ทำได้โดยคูณค่าอัตราการไหลทางทฤษฎึ
(ที่ค่าอัตราส่วนความดันนั้น)
ด้วย 0.95
(คือให้คิดเพียงแค่
95%)
กล่าวคือถ้าพิจารณา
Figure 2 ในรูปที่
๔ เส้นทึบหมายเลข 1
คือเส้นเฉลี่ยที่เข้ากับชุดข้อมูลของการทดลองดีที่สุด
แต่ในการใช้งานให้ใช้ค่าที่อ่านได้จากเส้นประหมายเลข
3 ที่ให้ค่า
K เพียงแค่
95%
ของค่าที่อ่านได้จากเส้นทึบหมายเลข
1
หัวข้อ
5.3.2.2.2 (รูปที่
๕)
เกี่ยวกับการหาค่า K
หรือ coefficient
of discharge สำหรับวาล์วแต่ละตัว
โดยย่อหน้าแรกกล่าวว่าสามารถหาค่า
coefficient of
discharge ของอุปกรณ์สำหรับแต่ละขนาดได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้
ย่อหน้าที่สองกล่าวว่าทำการทดสอบอุปกรณ์จำนวน
4 ตัว
โดยใช้การรวมกันของขนาดท่อและขนาด
orifice ขนาดต่าง
ๆ
โดยความดันทดสอบอย่างน้อยหนึ่งความดันต้องเป็นค่าความดันออกแบบที่เป็นค่าต่ำสุดของความดัน/สุญญากาศของอุปกรณ์
และอีกค่าหนึ่งต้องเป็นค่าความดันออกแบบที่เป็นค่าสูงสุดของความดัน/สุญญากาศของอุปกรณ์
ความดันทดสอบส่วนที่เหลือให้กระจายค่าอยู่ระหว่างค่าความดันสองค่านี้อย่างสม่ำเสมอ
และค่าความดันทดสอบทุกความดันควรเป็นค่าที่ทำให้วาล์วมีการยกตัวจนกระทั่งอัตราการไหลถูกควบคุมด้วยขนาดของ
nozzle
หรือจนกระทั่งวาล์วมีการยกตัวจนสุด
หมายเหตุ
:
อัตราการไหลผ่านวาล์วถูกควบคุมด้วยขนาดของช่องระบายและระดับการยกตัวของวาล์ว
ถ้าช่องระบายมีขนาดเล็ก
อัตราการไหลผ่านจะถูกควบคุมด้วยขนาดของช่องเปิด
(คือแม้ว่าวาล์วจะยกตัวเพิ่มขึ้นไปอีก
อัตราการไหลก็จะไม่เพิ่มขึ้น)
แต่ถ้าช่องระบายมีขนาดใหญ่พอ
อัตราการไหลผ่านจะถูกควบคุมด้วยระดับการยกตัวของวาล์ว
ที่จะมากที่สุดเมื่อวาล์วยกตัวเต็มที่
รูปที่ ๕
หัวข้อ 5.3.2.2.2
และ 5.3.3
หัวข้อ
5.3.3 (รูปที่
๔)
เป็นเรื่องของวิธีการคำนวณการะบายผ่านฝาครอบช่องสำหรับให้คนเข้าไปตรวจสอบ
(Manhole cover)
ห้วข้อนี้กล่าวว่า
ความสามารถในการระบายที่ความดันใด
ๆ
เมื่อฝาครอบช่องสำหรับให้คนเข้าไปตรวจสอบนั้นเปิดเต็มที่สามารถคำนวณได้ด้วยการเอาค่าอัตราการไหลทางทฤษฎีที่บรรยายไว้ในหัวข้อ
5.3.2.2.0 ด้วย
0.5
ถ้าฝาครอบนี้อยู่บนหลังคาถังเก็บ
มันก็อาจจะวางปิดไว้เฉย ๆ
เผื่อว่าถ้าความดันในถังเก็บเพิ่มสูงขึ้นรวดเร็ว
มันก็จะถูกดันให้เปิดออกเพื่อช่วยระบายความดัน
(ทำหน้าที่เสมือน
explosion relief
panel)
หรือในกรณีที่ไม่ใช่การเดินเครื่องปรกติ
เช่นระหว่างการซ่อมบำรุง
ที่ต้องมีการระบายอากาศในถังเก็บ
ก็จะเปิดฝาครอบนี้เอาไว้
นอกจาก Manhole
ก็ยังมี Handhole
ที่เป็นช่องขนาดเล็กสำหรับสอดมือเข้าไปภายในได้
เนื้อหาในตอนนี้มีการกล่าวถึงค่าความดัน
(หรือสุญญากาศ)
ออกแบบค่าต่ำสุด
และค่าความดัน (หรือสุญญากาศ)
ออกแบบค่าสูงสุด
เพื่อที่จะทำความเข้าใจตรงนี้เราลองมาทำความรู้จักกับค่าความดันต่าง
ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบถังความดันและการตั้งค่าการเปิดของวาล์วระบายความดัน
รูปที่ ๖ นำมาจาก Figure
4 ของเอกสาร API
RP 521 ฉบับปีค.ศ.
๑๙๙๗ (ฉบับปีค.ศ.
๒๐๐๗ ไม่มีรูปนี้แล้ว)
ตัวเลขในคอลัมน์กลางของรูปที่ค่าความดันภายในภาชนะรับความดัน
หน่วยเป็นเปอร์เซนต์ของค่าความดันออกแบบ
(Desing pressure)
หรือความดันใช้งานสูงสุดที่ยอมได้
(Maximum allowable
working pressure) โดยให้ค่าความดันนี้เท่ากับ
100% (การทดสอบ
hydrostatic test
หรือความสามารถในการรับความดันด้วยการใช้การอัดน้ำ
กระทำที่ 150%
ของค่าความดันนี้)
เราจะลองไล่ดูตั้งแต่ล่างขึ้นบน
ที่
90%
คือค่าความดันสูงสุดของการทำงานปรกติ
(usual maximum
operating pressure)
คือต้องดูว่าการใช้งานตามปรกตินั้นมีรูปแบบการทำงานแบบใดบ้าง
และรูปแบบใดที่มีค่าความดันใช้งานปรกติสูงสุด
ความดันนี้จะเป็นค่าความดันมาตรฐานในการทดสอบการรั่วซึมของระบบ
ที่
98%
คือค่าความดันที่วาล์วระบายความดันเริ่มทำการขยับตัวก่อนเปิดเต็มที่ที่
100%
(ช่วงที่เขียนว่า Simmer)
แต่เมื่อความดันลดลงเหลือ
100%
แล้ววาล์วจะยังไม่ปิด
จะปิดก็ต่อเมื่อความดันลดลงเหลือ
92.5%
(รูปแบบการเปิด-ปิดของวาล์วระบายความดันแก๊สเป็นอย่างนี้)
ช่วงความดันระหว่าง
92.5-100% คือช่วง
blowdown period
หรือระบายทิ้ง
ถ้าภาชนะรับความดันได้รับการป้องกันด้วยวาล์วระบายความดันเพียงตัวเดียว
ก็จะตั้งให้วาล์วนั้นเปิดที่ค่าความดัน
100%
แต่ถ้ามีการติดตั้งมากกว่า
1 ตัว
จะตั้งให้วาล์วตัวที่สองเปิดที่
105% (Maxium
allowable set pressure for supplemental valve)
ถ้ายังมีวาล์วระบายความดันตัวอื่นเพิ่มอีก
ก็จะตั้งให้เปิดที่ความดันสูงขึ้นไปทีละขั้น
เมื่อวาล์วระบายความดันเริ่มเปิด
ความดันในถังก็ยังอาจเพิ่มสูงขึ้นได้อีกถ้าหากอัตราการเพิ่มความดันนั้นสูงกว่าอัตราการระบายออก
สำหรับการทำงานทั่วไปนั้นความดันที่เพิ่มสูงขึ้นไม่ควรเกิน
109% (Overpressure -
typical) และค่า 110%
ถือว่าเป็นค่าความดันสะสมสูงสุดที่ยอมรับได้
(Maxium allowable
accumulation pressure)
ได้ในการที่มีการติดตั้งวาล์วเพียงตัวเดียวและไม่ใช่กรณีถูกไฟคลอก
และยังเป็นค่าความดันสะสมสูงสุดที่ยอมรับได้ในการที่มีการติดตั้งวาล์วมากกว่า
1
ตัวและเป็นกรณีที่ถูกไฟคลอก
ค่า
110%
ยังเป็นค่าความดันสูงสุดสำหรับการออกแบบกระบวนการในกรณีที่มีการติดตั้งวาล์วระบายความดัน
ค่า
116%
คือค่าความดันสะสมสูงสุดที่ยอมรับได้ในกรณีที่มีการติดตั้งวาล์วระบายความดันมากกว่า
1 ตัว
(ถ้ามีตัวเดียวยอมให้เพิ่มได้เพียงแค่
110%)
และค่านี้ยังเป็นค่าความดันสูงสุดสำหรับการออกแบบกระบวนการในกรณีที่มีการติดตั้งวาล์วระบายความดันมากกว่า
1 ตัว
ค่า
121%
คือค่าความดันสะสมสูงสุดที่ยอมรับได้เฉพาะกรณีที่ภาชนะถูกไฟครอกเท่านั้น
และเป็นค่าความดันในการระบายสูงสุดสำหรับการหาขนาดในกรณีที่ภาชนะถูกไฟครอก
รูปที่ ๖
ระดับความดันสำหรับปรับตั้งการทำงานให้กับวาล์วระบายความดัน
รูปนี้นำมาจาก API
RP 521 Guide for pressure-relieving and depressuring systems
ฉบับปีค.ศ.
๑๙๙๗ (พ.ศ.
๒๕๔๐)
แต่พอเป็นฉบับปีค.ศ.
๒๐๐๗ (พ.ศ.
๒๕๕๐)
ก็ไม่มีแล้ว (RP
ย่อมาจาก Recommended
Practice) ตัวเลขตรงแถวกลางคือเปอร์เซนต์ความดันใช้งานสูงสุดที่ยอมได้
(ความดันเกจ)
ฝั่งด้านซ้ายคือสิ่งที่ต้องพึงคำนึงในการทำงานของภาชนะความดัน
ฝั่งด้านขวาคือลักษณะการทำงานของวาล์วระบายความดัน
ภาพสุดท้ายนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับบทความนี้เลย
เพียงแค่ขอเอารูปตัวที่มานอนที่เท้าเป็นประจำเวลานั่งเขียน
Memoir
มาลงไว้เป็นที่ระลึกแค่นั้นเอง