วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

การดักจับ CO2 ด้วย CaO MO Memoir : Sunday 9 November 2568

ผลการทดลองใด ๆ ก็ตามที่ออกมาสวนทางหรือขัดแย้งกับทฤษฎีหรือองค์ความรู้ที่ใช้กันอยู่ ควรต้องได้รับการตรวจสอบวิธีการทดลองและการวิเคราะห์ผลอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะถ้ามันแสดงให้เห็นว่าทฤษฎีหรือองค์ความรู้ที่เราใช้กันอยู่นั้นมันไม่ถูกต้องหรือสมบูรณ์แบบ มันจะเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่

แต่จากประสบการณ์เท่าที่เคยเจอมา ผลมักจะออกมาว่า "เกิดจากวิธีการทดลองหรือการวิเคราะห์ที่ไม่เหมาะสมทุกครั้งไป"

ช่วงนี้กระแส Carbon Capture, Utilisation and Storage หรือที่ย่อว่า CCUS กำลังมาแรง แต่ถ้าสังเกตดูก็จะพบว่าเต็มไปด้วยงานวิจัยที่แทบจะไม่มีการนำออกมาใช้งานจริง หรือในบางกรณีก็เป็นการใช้งานจริงกับกรณีเฉพาะเท่านั้นโดยไม่มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายทั่วไป นั่นเป็นเพราะ CO2 เกิดจากการผลิต "พลังงาน" โดยใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (หนึ่งในต้นตอหลัก) แต่การดักจับ CO2 ก็ต้องใช้ "พลังงาน" และการเปลี่ยน CO2 ไปเป็นสารอื่นก็ต้องใช้ "พลังงานมาก" นั่นก็เป็นเพราะ CO2 เป็นสารที่มีค่าพลังงานในตัว (หรือ Enthalpy of Formation) ที่ต่ำมากอยู่แล้ว ดังนั้นปฏิกิริยาใด ๆ ที่จะนำ CO2 ไปเปลี่ยนเป็นสารอื่นก็ต้องใช้พลังงานมากกว่ากระบวนการผลิตดั้งเดิม

ทีนี้ถ้าจะบอกว่าการดักจับและการเปลี่ยน CO2 ไปเป็นสารอื่นนั้นสามารถทำได้ด้วยการใช้พลังงานสะอาด มันก็จะมีคำถามตามมาว่าถ้าเช่นนั้นทำไมไม่นำเองพลังงานสะอาดเหล่านั้นไปใช้แทนพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเลย จะได้ไม่ต้องมี CO2 ให้ดักจับ

CaO หรือแคลเซียมออกไซด์ (calcium oxide) เป็นสารตัวหนึ่งที่มีการศึกษาเพื่อนำมาใช้เป็นสารดักจับ CO2 ออกจากแก๊สปล่อยทิ้งกันอย่างแพร่หลาย มีบทความจำนวนไม่น้อยกล่าวถึงการใช้ CaO ในการดักจับ CO2 แต่สิ่งหนึ่งที่บทความจะไม่กล่าวถึงคือการผลิต CaO นั้นมีการปลดปล่อย CO2 เช่นกัน

รูปที่ ๑ เส้นสีส้มคือค่าความเข้มข้นของ CO2 ในเฟสแก๊สที่สภาวะสมดุล ซึ่งจะเพิ่มสูงขึ้นตามอุณหภูมิเพราะเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน

CaO เป็นสารที่ทำปฏิกิริยากับ CO2 ในอากาศได้ง่าย ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่พบแหล่ง CaO ในปริมาณที่มีนัยสำคัญในธรรมชาติ แต่อาจพบในรูปแบบปะปนอยู่กับสารอื่นในปริมาณไม่มาก แหล่งที่มาใหญ่สุดของ CaO ที่เราใช้กันในปัจจุบันคือการเผา CaCO3 หรือแคลเซียมคาร์บอเนต (calcium carbonate) ที่อุณหภูมิสูงมากพอ (ระดับ 800ºC หรือสูงกว่า) เพื่อให้ CaCO3 สลายตัวเป็น CaO และ "CO2"

และแน่นอนว่าพลังงานหลักที่ต้องใช้ในการเผา CaCO3 (ในปัจจุบัน) ก็ปลดปล่อย "CO2" เช่นกัน

ดังนั้นถ้าอยากลดการปลดปล่อย CO2 สิ่งหนึ่งที่ทำได้คือลดการผลิต CaO

สำหรับผู้เรียนเคมีแล้ว ต้องรู้จักหลักของเลอชาเตอลิเอ (Le Chatelier's Principle) ที่เกี่ยวข้องกับสมดุลเคมี ปฏิกิริยาการสลายตัวของ CaCO3 ไปเป็น CaO และ CO2 นั้นเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน ดังนั้นที่อุณหภูมิสูงขึ้นการเกิด CaO ก็จะเพิ่มขึ้น (หรือปริมาณ CaCO3 จะลดลง) รูปที่ ๑ แสดงค่าคงที่สมดุลของปฏิกิริยาดังกล่าวในช่วงอุณหภูมิต่าง ๆ จะเห็นว่าที่อุณหภูมิสูงขึ้น CaCO3 มีแนวโน้มจะสลายตัวเป็น CaO มากขึ้น

รูปที่ ๒ ผลการทดลองที่มีการนำเสนอ ผลการทดลองนี้บอกว่าที่อุณหภูมิสูงขึ้น CaO จะดักจับ CaCO3 ได้มากขึ้น ?????

เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมาระหว่างนั่งฟังนิสิตปริญญาเอกรายหนึ่งนำเสนอผลการทดลองของเขาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ CaO ในการดักจับ CO2 ที่อุณหภูมิต่าง ๆ ในการทดลองของเขาใช้การดูดซับด้วยระบบเบดนิ่ง (fixed-bed) ที่ให้แก๊สผสมที่มี CO2 ไหลผ่านเบด CaO แล้ววัดความเข้มข้น CO2 ด้านขาออก โดยทำการวัดจน CaO ดูดซับ CO2 จนอิ่มตัว แล้วจึงคำนวณหาปริมาณ CO2 ที่ผ่านไป (ซึ่งเป็นปริมาณเดียวกันกับที่ CaO จับเอาไว้) ผลการทดลองของเขาออกมาว่า CaO จะทำการจับ CO2 ได้มากขึ้นเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ???? (รูปที่ ๒)

ช่วงถามคำถามผมก็ถามเขาไปว่าทำไปในสไลด์ก่อนหน้านี้คุณนำเสนอว่าอุณหภูมิสูงขึ้นจะทำให้ CaCO3 สลายตัวคาย CO2 ออกมา (รูปที่ ๓) แล้วทำไมตอนนี้นำเสนอผลการทดลองที่ตรงข้ามกัน แล้วจะอธิบายอย่างไร

รูปที่ ๓ สไลด์ที่นำเสนอก่อนหน้าบอกว่าอุณหภูมิสูงขึ้นจะทำให้ CaCO3 สลายตัวคาย CO2 ออกมา (ที่ Calciner)

ถ้าว่ากันตามความรู้พื้นฐานทางเคมีที่เราต่างเรียนกันมา เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นอัตราการเกิดปฏิกิริยาก็จะสูงขึ้น (โดยไม่สนว่าปฏิกิริยานั้นดูดหรือคายความร้อน) ดังนั้นในการทดลองนี้สิ่งที่ควรเห็นคือที่ในช่วงแรกที่เริ่มการดูดซับ การทดลองที่อุณหภูมิต่ำ (เส้นสีแดง) จะเห็นความเข้มข้น CO2 ด้านขาออกสูงกว่าการทดลองที่อุณหภูมิสูง (เส้นสีเขียว) แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเข้มข้น CO2 ด้านขาออกของการทดลองที่อุณหภูมิสูงจะเข้าถึงระดับความเข้มข้นด้านขาเข้า (เส้นสีน้ำเงิน) เร็วกว่า (คืออิ่มตัวก่อน) การทดลองที่อุณหภูมิต่ำ (ซึ่งใช้เวลานานกว่าจึงจะทำปฏิกิริยาสมบูรณ์) ดังรูปที่ ๔ ข้างล่าง

รูปที่ ๔ ผลการทดลองที่ควรจะเป็น

ส่วนที่ว่าทำไมเขาถึงได้ผลการทดลองที่ขัดแยังกับทฤษฎีที่ใช้กันอยู่นั้น คงต้องไปดูวิธีการทดลองโดยละเอียด

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568

การเลือก Impeller ให้กับปั๊มหอยโข่ง และการป้องกัน Mechanial seal จากของแข็งแขวนลอย MO Memoir : Tuesday 28 October 2568

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาได้เห็นข้อความการแก้ปัญหาปั๊มหอยโข่งรั่วไหลที่ mechanical seal โดยอธิบายว่าเนื่องจากปั๊มหอยโข่ง "ส่วนใหญ่" ถูกออกแบบมาสำหรับของเหลวที่ค่อนข้างสะอาด พอมาใช้กับของเหลวที่มีของแข็งแขวนลอย ก็เลยเกิดการขัดสีที่พื้นผิวสัมผัสของ mechanical seal ทำให้เกิดการรั่วไหล การแก้ปัญหาทำได้ด้วยการเปลี่ยน mechanical seal ตัวใหม่

อันที่จริงปั๊มหอยโข่งสามารถใช้สูบจ่ายของเหลวที่สะอาดและมีของแข็งแขวนลอยได้ เพียงแต่ต้องเลือกชนิด impeller และตัว mechanical seal ให้เหมาะสมเท่านั้นเอง และถ้าปัญหานั้นเกิดจากการใช้งานที่ไม่ถูกต้องหรือปั๊มไม่มีระบบป้องกัน mechanical seal จากของแข็งแขวนลอย การเปลี่ยน mechanical seal ที่เสียหายด้วย mechanical seal รูปแบบเดิม มันก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถาวร

รูปที่ ๑ ๓ รายการแรกที่ google ให้มาเมื่อค้นด้วยข้อความ "how to choose impeller type for centrifugal pump"

เรื่องความเสียหายของตัว mechanical seal ที่เกิดจากวิธีการทำงานที่ไม่เหมาะสมเคยเล่าไว้ในเรื่อง "ผิดที่ Installation หรือ Operation MO Memoir : Monday 15 August 2559"

Impeller ของปั๊มหอยโข่งมีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็เหมาะสมสำหรับงานที่แตกต่างกัน ทีนี้พอลองใช้ข้อความ "how to choose impeller type for centrifugal pump" ให้ google ค้นหา ก็ได้รายชื่อ ๓ รายการแรกดังแสดงในรูปที่ ๑ ก็เลยลองเข้าไปดูที่รายการแรกก่อน อันที่จริงในหน้าเว็บมันมีรายละเอียดอยู่เยอะ ก็เลยใช้วิธีพิมพ์ออกมาเป็นไฟล์ pdf แล้วตัวเอาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องมาแสดง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่รายการแรกให้ไว้แสดงในรูปที่ ๒ ข้างล่าง

รูปที่ ๒ ลองเข้าไปดูสิ่งที่รายการแรกให้ไว้ คัดมาเฉพาะส่วน Open impeller และ Closed impeller

ข้อมูลที่รายการแรกให้ไว้คือบอกว่า Open impeller นั้นเหมาะสำหรับของเหลวที่ "ไม่มี" ของแข็งแขวนลอย (ตรงที่ขีดเส้นใต้สีแดง) ส่วน Closed impeller นั้นมีประสิทธิภาพในการจัดการกับของเหลวที่มีของแข็งร่วม ซึ่งพอได้อ่านแล้วก็รู้สึกแปลก ๆ เพราะมันขัดกับสิ่งที่ได้เรียนรู้มา ก็เลยลองค้นข้อมูลที่รายการอื่นให้ไว้

รายการที่สองนำมาแสดงไว้ในรูปที่ ๓ เจ้านี้บอกว่า (ในกรอบสีเหลี่ยมสีแดง) สำหรับของเหลวที่มีของแข็งปน Open impeller จะมีความเหมาะสมมากกว่า ในขณะที่ Closed impeller มีแนวโน้มที่จะเกิดการอุดตันและการขัดสี

จะเห็นว่าบอกในสิ่งที่ตรงข้ามกับรายการแรก แต่ถ้าอ่านข้อมูลที่รายการแรกให้ไว้ก็จะเห็นความไม่สมเหตุสมผลอยู่ตรงที่ เขาบอกว่า Closed impeller เหมาะกับของเหลวที่มีของแข็ง แต่ทำความสะอาดยาก

ข้อมูลของรายที่สาม (รูปที่ ๔) และรายที่สี่ (รูปที่ ๕) ก็กล่าวในทำนองเดียวกัน คือ Open impeller ทนต่อของเหลวที่มีของแข็งปนอยู่

เรื่องนี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเวลาสืบค้นข้อมูลใด ๆ ทางอินเทอร์เน็ต ก็ควรจะสอบทานจากแหล่งที่มาหลายแหล่งว่ากล่าวเหมือนกันหรือไม่

รูปที่ ๓ อันนี้เป็นของอีกรายหนึ่ง จะเห็นว่าให้ข้อมูลที่ขัดแย้งกับรูปที่ ๒

รูปที่ ๔ รายนี้ก็บอกว่า Open impeller เหมาะสำหรับของเหลวที่มีของแข็งปน

รูปที่ ๕ รายนี้ก็เช่นกัน กล่าวว่า open impeller ทนต่อของแข็งมากกว่า

ส่วนที่ว่าการป้องกันของแข็งและความร้อนไม่ให้ทำความเสียหายต่อ mechanical seal ทำได้ด้วยการใช้ของเหลวที่สะอาด (ปรกติก็จะเป็นของเหลวชนิดเดียวกับ process fluid) อัดเข้าไปตรงบริเวณ mechanical seal ที่เรียกว่า flushing เพื่อดันไม่ให้ของแข็งไหลเข้ามายังบริเวณดังกล่าว และถ้าของเหลวดังกล่าวมีอุณหภูมิต่ำกว่า process fluid ก็จะเป็นการช่วยลดความร้อนให้กับ mechanical seal ด้วย รูปแบบการทำ flushing มีหลายรูปแบบสามารถไปดูรายละเอียดได้ใน API 610 และ API 682 หรือจะลองค้นด้วยคำ "API Plan" ดูก็ได้