วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568

การระเบิดใน Furnace MO Memoir : Thursday 4 December 2568

เรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้นำมาจากบทความเรื่อง "Explosion in Furnace" จาก Oil Industry Safety Directorate ของ Government of Indis (https://www.oisd.gov.in/en-in/CaseStudies) เผยแพร่เมื่อ ๑๕ ตุลาคม ค.ศ. ๒๐๒๔ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงกลั่นน้ำมันแห่งหนึ่งในประเทศอินเดีย

Furnace หรือ Fired heater หรือเตาเผาในที่นี้ เป็นอุปกรณ์ให้ความร้อนที่อุณหภูมิสูง โดยทั่วไปจะเป็นการให้ความร้อนด้วยเปลวไฟโดยมีของเหลวหรือแก๊สร้อนไหลอยู่ในท่อ เตาเผานี้มีหลายรูปแบบและหลายขนาด ขึ้นกับการประยุกต์ใช้งานและกำลังการผลิต โดยมีลักษณะทั่วไปคือจะมีหัวเตา (burner) ที่เป็นจุดที่เชื้อเพลิงเกิดการเผาไหม้เป็นเปลวไฟ ติดตั้งอยู่ ณ ตำแหน่งต่าง ๆ ที่เหมาะสมของตัวเตาเผา เพื่อให้ได้อุณหภูมิการเผาไหม้สูงสุดและมั่นใจว่าเผาไหม้ได้สมบูรณ์ ปริมาณอากาศที่ใช้ในการเผาไหม้จะมากเกินพอเพียงเล็กน้อย (คือเผาไหม้เชิ้อเพลิงได้สมบูรณ์และยังมีออกซิเจนเหลืออยู่ไม่มาก) เพราะถ้าอากาศไม่พอ การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ จะไม่สามารถดึงเอาพลังงานความร้อนของเชื้อเพลิงออกมาได้หมด แต่ถ้ามีอากาศมากเกินพอไปมาก พลังงานความร้อนที่เชื้อเพลิงปลดปล่อยออกมาจะถูกเฉลี่ยไปให้อากาศส่วนเกิน ทำให้อุณหภูมิแก๊สร้อนที่ได้จากการเผาไหม้นั้นลดต่ำลง

รูปที่ ๑ ภาพ furnace ที่เสียหายจากการระเบิด

ในการให้ความร้อนด้วยเปลวไฟนั้น สถานะของของไหลที่อยู่อีกฝากหนึ่งของผนังโลหะส่งผลต่ออุณหภูมิที่ผิวโลหะ ในกรณีที่ของไหลนั้นเป็นของเหลวและผนังโลหะไม่หนามาก จะประมาณได้ว่าอุณหภูมิที่ผิวโลหะนั้นจะเท่ากับอุณหภูมิจุดเดือดของของเหลวนั้นหรือสูงกว่าเล็กน้อย (ด้านรับความร้อน) และมันจะเป็นเช่นนี้แม้ว่าผิวโลหะนั้นจะถูกเปลวไฟลนโดยตรงก็ตาม แต่ถ้าอีกฟากหนึ่งของผนังโลหะนั้นเป็นแก๊สมันจะแตกต่างกันออกไป เพราะค่าความจุความร้อนของแก๊สนั้นต่ำกว่าของเหลวมาก ผิวโลหะจะมีอุณหภูมิสูงตามอุณหภูมิแก๊สร้อนที่ได้จากการเผาไหม้ และยังต้องระวังไม่ให้เปลวไฟนั้นสัมผัสกับผิวโลหะโดยตรง เพราะอุณหภูมิที่เปลวไฟนั้นจะร้อนกว่าอุณหภูมิของแก๊สร้อนอีก (รูปที่ ๒)

ตรงนี้ถ้านึกไม่ออกก็ลองนึกภาพการต้มน้ำในหม้ออะลูมิเนียมด้วยเตาแก๊ส โลหะอลูมิเนียมนั้นจะไม่เป็นอะไรตราบเท่าที่ระดับเปลวไฟนั้นต่ำกว่าระดับน้ำที่อยู่ในหม้ออะลูมิเนียม แต่ถ้าเราหม้ออะลูมิเนียมเปล่า ๆ ไปตั้งไฟบนเตาที่แรงเท่ากัน หม้อใบนั้นจะร้อนจัดจนอาจเกิดความเสียหายได้

รูปที่ ๒ อุณหภูมิที่ตำแหน่งต่าง ๆ ของเปลวไฟที่เกิดจากเทียนไข (รูปจาก https://www.chemistryviews.org/details/ezine/1393371/Chemistry_of_the_Christmas_Candle__Part_2/)

เหตุการณ์เกิดขึ้นที่เตาเผาของหน่วยกลั่นน้ำมันดิบหลังจากโรงงานหยุดเดินเครื่องเพื่อทำการซ่อมบำรุงและตรวจสอบเป็นเวลา ๒๒ วัน และเริ่มเดินเครื่องใหม่ได้ ๖ วันก่อนที่จะเกิดเรื่องช่วงกะดึก ในขณะนั้นหน่วยผลิตกำลังเดินเครื่องที่กำลังการผลิต 450 m3/hr หรือ 73% ของกำลังการผลิตเต็มที่ โดยในช่วงเวลา 2.30 น พนักงานกะดึกพบว่าวาล์วควบคุมการไหล (control valve) ที่ทำหน้าที่ป้อนเชื้อเพลิงไปยังหัวเตาของเตาเผาและวาล์วอื่นอีกบางตัว ค้างอยู่ในตำแหน่งเปิดของระดับการเปิดครั้งสุดท้าย (คือพนักงานเห็นว่าวาล์วเปิดค้างอยู่ที่ค่าค่าหนึ่ง) จึงได้แจ้งให้ฝ่าย Instrument เข้ามาตรวจสอบ ซึ่งได้เข้ามาตรวจสอบเมื่อเวลาประมาณ 5.30 น หลังจากที่ตรวจสอบแล้วช่างจึงได้ทำการ reset "analogue control card" ทำให้วาล์วควบคุมปรับตัวเองเข้าไปอยู่ในตำแหน่งปลอดภัย (fail-safe position) ซึ่งสำหรับวาล์วควบคุมการไหลของเชื้อเพลิง ตำแหน่งปลอดภัยดังกล่าวก็คือตำแหน่ง "ปิด"

เตาเผานี้เป็นชนิด balanced draft furnace กล่าวคือจะรักษาความดันภายในให้ต่ำกว่าความดันบรรยากาศภายนอกเล็กน้อย ซึ่งทำได้ด้วยการดูดแก๊สไอเสียจากการเผาไหม้ออก การทำเช่นนี้จะทำให้อากาศไหลเข้าไปในตัวเตาเผา ในขณะที่แก๊สเชื้อเพลิงที่หัวเตาฉีดพ่นออกมา รวมทั้งเปลวไฟที่เกิดขึ้น จะคงอยู่ในตัวเตาเผา ในภารทำงานปรกติปริมาณออกซิเจนส่วนเกินจะอยู่ระหว่าง 2-3% แต่ในช่วงกะเช้าก่อนเกิดเหตุนั้นพบว่าอยู่ที่ 3-4% และในช่วงบ่ายที่เวลา 15.20 น พบว่าปริมาณออกซิเจนส่วนเกินลดเหลือ 0.2-1%

วาล์วควบคุมอัตราการไหลส่วนใหญ่ในโรงงานมักจะใช้แรงดันลมดันแผ่นไดอะแฟรมให้วาล์วเปิดหรือปิดต้านกับแรงสปริงที่คอยดันให้วาล์วปิดหรือเปิดถ้าไม่มีแรงดันลมมากระทำ (วาล์วควบคุมที่เป็น globe valve มักเป็นแบบนี้ ถ้าเป็น ball valve ก็มักจะใช้การดันกระบอกสูบ) รูปร่างหน้าตาและองค์ประกอบของวาล์วควบคุมที่มีโครงสร้างแบบ globe valve อ่านได้ในเรื่อง "วาล์วควบคุมอัตราการไหล(Control valve) MOMemoir : Sunday 5 February 2560"

ในการเลือกว่าจะให้แรงดันของสปริงดันให้วาล์วปิด แล้วให้แรงดันลมดันให้วาล์วเปิด (ที่เรียกว่า failure close หรือย่อว่า fc) หรือให้แรงดันสปริงดันให้วาล์วเปิด แล้วให้แรงดันลมดันให้วาล์วปิด (ที่เรียกว่า failure open หรือย่อว่า fo) ก็ต้องพิจารณาว่าถ้าหากโรงงานมีปัญหาเช่น ไฟฟ้าดับ ไม่มีอากาศอัดความดันในระบบ ตำแหน่งไหนของวาล์วจะทำให้โรงงานปลอดภัยที่สุด (fail safe position) ซึ่งโดยหลักก็คือ "Maximise cooling" และ "Minimise heating" กล่าวคือรักษาการทำงานของระบบหล่อเย็น และตัดการทำงานของระบบให้ความร้อน (หรือสารอันตรายต่าง ๆ) ดังนั้นถ้าเป็นกรณีของน้ำหล่อเย็น ก็จะเลือกใช้วาล์วชนิด failure open และถ้าเป็นไอน้ำหรือเชื้อเพลิงที่ส่งไปเผาในเตาเผา ก็จะเลือกใช้วาล์วชนิด failure close

เนื่องด้วยระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมในปัจจุบันจะเป็นระบบดิจิตอล (digital) แต่การทำงานของวาล์วควบคุมยังเป็นระบอนาล็อก (analogue) ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีวงจรที่ทำหน้าที่เปลี่ยนคำสั่งดิจิตอลให้เป็นสัญญาณควบคุมอนาล็อก และแปลงค่าอนาล็อกจากอุปกรณ์วัดให้เป็นค่าดิจิตอลที่คอมพิวเตอร์เข้าใจได้ ซึ่งในเหตุการณ์นี้อุปกรณ์ดังกล่าวก็คือ "analogue control card" ดังนั้นเมื่อช่างทำการ reset ""analogue control card"" จึงทำให้สัญญาณที่ส่งไปยังวาล์วควบคุมหายไป แรงดันของสปริงจึงดันให้วาล์วไปอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย ซึ่งในที่นี้คือตำแหน่งปิด

โอเปอร์เรเตอร์ในห้องควบคุมเห็นว่าวาล์วควบคุมการไหลเชื้อเพลิงปิดอยู่หลังจากผ่านไปแล้ว 6 นาที จึงได้ทำการเปิดวาล์วเชื้อเพลิงใหม่ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ควบคุม และหลังจากนั้นประมาณ 3 นาทีก็เกิดการระเบิดขึ้นในเตาเผา ข้อมูลที่ระบบบันทึกไว้บอกว่าในช่วงเวลา 3 นาทีนั้นวาล์วเชื้อเพลิงเปิดได้ประมาณ 50% ในช่วงเวลาดังกล่าว LPG (แก๊สหุงต้มที่ประกอบด้วยโพรเพน 40.5% และบิวเทน 58.6% โดยที่เหลือเป็นไฮโดรคาร์บอนที่หนักกว่า) ที่ใช้ไปเชื้อเพลิงในเวลานั้นได้ไหลเข้าไปในเตาเผาประมาณ 155 กิโลกรัม

เตาเผาดังกล่าวจะมี pilot light ซึ่งก็คือหัวเตาเล็ก ๆ อยู่ในบริเวณหัวเตาใหญ่ ที่จะต้องจุด pilot light นี้ให้ติดก่อนที่จะเปิดหัวเตาใหญ่ ซึ่งเมื่อแก๊สที่ออกมากหัวเตาใหญ่พบกับเปลวไฟของ pilot light ที่จุดล่ออยู่ แก๊สนั้นก็จะลุกติดไฟทันที ในเหตุการณ์นี้เนื่องจากเตาเผาเป็นแบบเก่า ทำให้ไม่มีเครื่องวัดที่บ่งบอกว่า pilot light นั้นติดอยู่หรือไม่หลังจากที่แก๊สเชื้อเพลิงโดนตัดไป และโอเปอร์เรเตอร์ก็ไม่ได้ทำการตรวจสอบว่า pilot light นั้นติดอยู่หรือไม่ และไม่ได้ทำตามขั้นตอนการเริ่มเดินเครื่องเตาเผาอย่างถูกต้อง (ต้องมีการ purge ไล่แก๊สภายในเตาเผาออกก่อนด้วยเวลาที่นานพอ) ด้วยเหตุนี้เมื่อเปิดให้แก๊สไหลเข้าเตาเผาอีกครั้ง แก๊สจำนวนมากจึงไหลเข้าไปภายในเตาเผาโดยไม่เกิดการลุกไหม้ เกิดการสะสมจนมีความเข้มข้นสูงมากพอ และถูกจุดระเบิดด้วยท่อในเตาเผาที่ยังมีอุณหภูมิสูงอยู่ (อุณหภูมิที่ผิวท่อ ณ เวลานั้นสูงกว่า auto-ignition temperature ของแก๊สหุงต้ม)

(วิธีการหนึ่งที่ใช้ตรวจสอบว่า pilot light ลุกไหม้อยู่หรือไม่ก็คือการใช้ thermocouple วัดอุณหภูมิบริเวณหัว pilot light ค่าอุณหภูมิที่สูงแสดงว่ามีไฟลุกติดที่ตัว pilot light นั้น)

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๒๓) MO Memoir : Sunday 23 November 2568

หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความชุดนี้อิงจากมาตราฐาน API 2000 7th Edition, March 2014. Reaffirmed, April 2020 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจ ดังนั้นถ้าจะนำไปใช้งานจริงควรต้องตรวจสอบกับมาตรฐานฉบับล่าสุดที่ใช้ในช่วงเวลานั้นก่อน

ตอนนี้จะเป็นการเริ่ม Annex ฺC (informative) หรือการให้ข้อมูล เนื้อหาในภาคผนวกนี้จะเกี่ยวข้องกับชนิดและลักษณะการทำงานของอุปกรณ์ระบายความดัน โดยเริ่มจากรูปที่ ๑

รูปที่ ๑ เริ่มต้นภาคผนวก C

หัวข้อ C.1 เป็นส่วนของบทนำ โดยในหน้าแรกกล่าวว่าอุปกรณ์ระบายความดันสูงเกินหรือป้องกันการเกิดสุญญากาศสำหรับถังเก็บความดันต่ำ (low pressure storage tank) มีรูปแบบการทำงานพื้นฐานอยู่ ๒ รูปแบบคือ direct-acting vent valves และ pilot-operated vent valve วาล์วชนิด direct-acting อาจใช้น้ำหนักหรือแรงสปริงกดโดยตรงที่ชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ปิดช่องทางระบาย อุปกรณ์ระบายความดันเหล่านี้ไม่เพียงแต่ป้องกันไม่ให้เกิดความดันสูงเกินในถังเก็บ แต่ยังช่วงรักษาผลิตภัณฑ์ที่บรรจุอยู่ภายใน ทำให้บางทีจะเรียกวาล์วชนิด direct-acting ว่า "conservative valve"

หมายเหตุ : วาล์วชนิด pilot-operated จะใช้ความดันภายในถังบรรจุมาทำหน้าที่กดชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ปิดช่องทางระบาย วาล์วชนิดนี้จะกล่าวถึงในหัวข้อ C.3 ส่วนที่เรียกว่า conservative valve ก็เพราะเวลาที่ของเหลวระเหยกลายเป็นไอ ไอระเหยจะไม่รั่วไหลออกจากถังทางช่องระบายทันที เว้นแต่จะมีการระเหยมากจนทำให้ความดันในถังสูงเกิน

อุปกรณ์ระบายความดันอีกรูปแบบหนึ่งคือช่องเปิดหรือ open vent ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันการเกิดความดันสูงเกินหรือการเกิดสุญญากาศในถังเก็บความดันบรรยากาศ (atmospheric tank) ช่องเปิดนี้จะเปิดอยู่เสมอ ช่องเปิดนี้ทำให้ถังที่ออกแบบให้ทำงานที่ความดันบรรยากาศสามารถระบายความดันออกจากถังหรือให้อากาศภายนอกไหลเข้าถัง เมื่อมีผลต่างความดันระหว่างภายในถังกับภายนอกถัง โดยทั่วไปช่องเปิดนี้จะมีชิ้นส่วนป้องกันหรือมีรูปร่างที่ไม่ให้น้ำฝนหรือหิมะตกผ่านช่องเปิดนี้เข้าไปในถังเก็บได้

รูปที่ ๒ เริ่มหัวข้อ C.2

หัวข้อ C.2 (รูปที่ ๒) เป็นเรื่องของวาล์วชนิด direct-acting โดยหัวข้อ C.2.1 เป็นการบรรยายลักษณะทั่วไปของวาล์วชนิด direct-acting

ย่อหน้าแรกกล่าวว่าวาล์วชนิด direct-acting มีทั้งชนิดที่ ป้องกันความดันสูงเกินในถัง, ป้องกันการเกิดสุญญากาศในถัง, และชนิดที่ทำได้ทั้งป้องกันความดันสูงเกินและการเกิดสุญญากาศในถัง วาล์วชนิดที่ทำหน้าที่ได้ทั้งสองแบบ (คือป้องกันความดันสูงเกินและป้องกันการเกิดสุญญากาศ) อาจมีรูปแบบที่มีการจัดวางอยู่เคียงข้างกัน (ดู Figure C.2 ในรูปที่ ๓) วาล์วระบายความดันรูปแบบที่มีการจัดวางเคียงข้างกันจะมีชนิดที่ช่องทางระบายออกมีหน้าแปลน สำหรับกรณีที่มีความจำเป็นต้องต่อท่อเพื่อระบายไอระเหยที่ระบายออกมาออกไปยังที่อื่น

ย่อหน้าที่สองกล่าวว่า ยังมีวาล์วระบายชนิด direct-acting ขนาดใหญ่เพื่อไว้สำหรับการระบายความดันในกรณีฉุกเฉิน (เช่นเวลาถังโดนไฟครอก) และยังสามารถเป็นช่องทางเข้าไปยังภายในถังเก็บเพื่อการตรวจสอบและซ่อมบำรุง วาล์วชนิดนี้จะมีขนาด (เส้นผ่านศูนย์กลาง) ตั้งแต่ 400 มิลลิเมตร (16 นิ้ว) ถึง 600 มิลลิเมตร (24 นิ้ว) (ดู Figure C.3 ในรูปที่ ๔) Figure C.4 (รูปที่ ๕) แสดงชนิดและการจัดรูปแบบต่าง ๆ ของวาล์วระบายความดันชนิด direct-acting

รูปที่ ๓ วาล์วระบายความดันชนิดที่ทำหน้าที่ได้ทั้งสองแบบ (คือป้องกันความดันสูงเกินและป้องกันการเกิดสุญญากาศ) ที่มีรูปแบบที่มีการจัดวางอยู่เคียงข้างกัน ความดันที่สูงในถังจะทำให้ pressure pallet ยกตัวขึ้นเพื่อระบายความดันออก ถ้าความดันในถังต่ำกว่าบรรยากาศ ความดันภายนอกจะดันให้ vacuum pallet ยกตัวเปิดให้อากาศไหลเข้าถัง

รูปที่ ๔ วาล์วระบายความดันฉุกเฉินรูปแบบนี้ จะใช้น้ำหนักของฝาปิด (pressure pallet) เป็นตัวกำหนดว่าจะให้ฝาเปิด (หรือปลิวออก) ที่ความดันเท่าใด

รูปที่ ๕ รูปแบบต่าง ๆ ของวาล์วระบายความดันชนิด direct-acting โดย a) กับ b) ใช้น้ำหนักของ pallet เป็นตัวกำหนดความดันที่จะทำให้ pallet ยกตัว c) กับ d) ใช้แรงกดสปริงเป็นตัวกำหนดความดันที่จะทำให้ pallet ยกตัว e) ใช้น้ำหนักเป็นตัวกำหนดความดันที่จะทำให้ paller ยกตัว ส่วน f) ใช้แรงกดสปริงเป็นตัวกำหนดความดันที่จะทำให้ pallet ระบายความดันออกยกตัว และน้ำหนักเป็นตัวกำหนดความดันที่จะทำให้ pallet สุญญากาศออกยกตัว

หัวข้อ C.2.2 (รูปที่ ๖) เป็นหัวข้อสั้น ๆ เกี่ยวกับหลักการทำงานของอุปกรณ์ระบายความดัน ย่อหน้าแรกกล่าวว่าหลักการทำงานของวาล์วระบายความดันชนิด direct-acting ใช้น้ำหนักของ pallet หรือแรงสปริงกดบนตัว pallet เพื่อทำให้อุปกรณ์ปิดช่องระบาย เมื่อความดันในถังหรือสุญญากาศทำให้แรงที่กระทำต่อ pallet นั้นเท่ากับแรงที่กระทำต้านอยู่บนตัว pallet (คือน้ำหนักกดหรือแรงสปริง) จะเป็นจุดที่ตัว pallet พร้อมที่จะยกตัวเปิด และเมื่อแรงที่เกิดจากความดันหรือสุญญากาศนั้นเพิ่มขึ้นอีก ตัว pallet ก็จะยกตัวลอยจากแท่นรอง

วาล์วระบายความดันชนิดใช้น้ำหนักกดบางชนิดต้องการความดัน (หรือการเกิดสุญญากาศ) ที่มากเกินพออย่างมีนัยสำคัญเพื่อให้ได้อัตราการไหลที่ต้องการ ทำให้อาจจำเป็นต้องตั้งค่าความดันที่จะทำให้ pallet ยกตัวนั้นต่ำกว่าค่าความดัน/สุญญากาศที่ใช้ในการออกแบบอย่างมีนัยสำคัญ ในส่วนนี้ผู้ใช้งานควรปรึกษาผู้ผลิตวาล์วว่าวาล์วระบายความดันดังกล่าวมีความสามารถเพียงพอที่จะรักษาระดับความดัน/สุญญากาศในถังให้อยู่ในขอบเขตที่ระบุไว้ในมาตรฐานการสร้างถังหรือไม่ เมื่อความต้องการระบายความดัน/ปกป้องสุญญากาศที่วาล์วระบายความดันต้องมีเพื่อให้ได้อัตราการไหลตามต้องการนั้นมีค่าสูงเกินกว่าข้อจำกัดของถังเก็บนั้น (คือความดันสูงเกินหรือสุญญากาศภายในถังที่ทำให้ได้อัตราการไหลผ่านวาล์วที่ต้องการนั้น มีค่ามากเกินกว่าค่าความดันที่ถังสามารถรับได้) ก็สามารถใช้วาล์วระบายความดันขนาดใหญ่หรือวาล์วระบายความดันจำนวนหลายตัวที่ทำงานโดยมีระดับการยกตัว (ของ pallet) ที่ลดลงเพื่อให้ได้ความสามารถในการระบายที่เพียงพอ โดยทั่วไปการใช้วาล์วระบายความดันขนาดใหญ่จำนวนน้อยแทนการใช้วาล์วระบายความดันขนาดเล็กจำนวนมากกว่าจะเหมาะสมกว่าเพื่อลดจำนวนจุดเชื่อมต่อเข้าไปภายในถัง

รูปที่ ๖ หัวข้อ C.2.2

หัวข้อ C.2.3 (รูปที่ ๗) กล่าวถึงการปิดแนบสนิท (ระหว่าง pallet และแท่นวางหรือ seat) และช่วงความดันของการระบายออก (blowdown) โดยในย่อหน้าแรกกล่าวว่าโดยทั่วไปจะใช้วัสดุที่นุ่มและไม่เหนียวติดมาทำเป็นพื้นผิวปิดกันการรั่วซึมของตัว pallet วัสดุชนิดนี้สามารถป้องกันไม่ให้ pallet เกาะติดกับช่องทางระบาย

ย่อหน้าที่สองกล่าวว่าโดยทั่วไปการรั่วไหลตรงแท่นวาง pallet จะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อระดับความดันอยู่ที่ 75% ถึง 90% ของค่าความดันที่ตั้งไว้ และค่านี้แตกต่างกันได้มากสำหรับเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน เมื่อความดันของถังเข้าใกล้ค่าความดันที่ตั้งไว้มากเท่าใด การรั่วไหลก็จะเกิดมากขึ้น

ย่อหน้าที่สามกล่าวว่าการรั่วไหลตรงแท่นวางนี้สามารถทำให้วาล์วปิดโดยไม่เปิดได้ (คือ pallet ไม่ยกตัวขึ้น) ถ้าไอระเหยของสารในถังเกิดปฏิกิริยาพอลิเมอร์ไรซ์เมื่อสัมผัสกับอากาศ หรือไอระเหยที่รั่วออกมานั้นทำให้เกิดการทำความเย็นโดยอัตโนมัติ เกิดการควบแน่น และทำให้ความชื้นในอากาศแข็งตัว การใช้แก๊สเป่าไล่ (purging) บริเวณแท่นวาง (เช่นใช้แก๊สไนโตรเจน) หรือการใช้อุปกรณ์ให้ความร้อนด้วยไฟฟ้าหรือไอน้ำกับบริเวณดังกล่าว จะช่วยลดการยึดเกาะติดได้

หมายเหตุ : การทำความเย็นนั้นอาศัยการให้แก๊สความดันสูง (ที่มีอุณหภูมิต่ำพอ) ไหลผ่านรูเล็กไปยังฝั่งที่ความดันต่ำกว่า แก๊สที่รั่วออกมาจะมีอุณหภูมิลดลงและบางส่วนอาจเกิดการควบแน่นเป็นของเหลวได้ หรือทำให้ความชื้นในอากาศควบแน่นและกลายเป็นน้ำแข็งได้ รายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องนี้อ่านได้ในเรื่อง "Compressibility factor กับ Joule-Thomson effect MO Memoir : Tuesday 23 August 2559" ส่วนการใข้แก๊สเป่าไล่นั้นจะเป่าไล่ไปบริเวณทางเข้าช่องระบาย เพื่อป้องกันไม่ให้ไอระเหยของสารในถังนั้นมาสะสมบริเวณดังกล่าวในสภาวะปรกติ ยกเว้นเมื่อความดันในถังเพิ่มสูงมากพอจนทำให้วาล์วเปิด

ย่อหน้าที่สามยังกล่าวต่อมาว่าผู้ผลิตบางรายจัดให้มีเทคโนโลยีพิเศษสำหรับการใช้งานกับสารที่เกิดการพอลิเมอร์ไรซ์ได้ โดยเฉพาะกรณีที่ทราบว่าการให้ความร้อนแก่อุปกรณ์ระบายความดันนั้นสามารถเพิ่มความเสี่ยงการเกิดการพอลิเมอร์ไรซ์ได้ (เช่นกรณีของสไตรีน) นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีพิเศษ (เช่นกรณีของถังหมัก) ที่ทำงานได้ด้วยไม่ต้องพึ่งแหล่งพลังงานจากภายนอก เพื่อการใช้งานในกรณีที่การแข็งตัวของความชื้นในอากาศสามารถก่อปัญหาได้

รูปที่ ๗ หัวข้อ C.2.3

ย่อหน้าที่สี่กล่าวว่าการรั่วไหลบริเวณแท่นวางอาจเกิดจากแรงตึงในการขันนอต (เรียกแบบไทย) ของตัวหน้าแปลนที่ไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของอุปกรณ์ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ เช่นในกรณีของอุปกรณ์ระบายความดันฉุกเฉินที่ใข้น้ำหนักเป็นตัวกด เพื่อป้องกันการเกิดปัญหานี้จึงแนะนำว่าควรระบุความหนาที่น้อยที่สุดของหน้าแปลนสำหรับหน้าแปลนตามมาตรฐาน API

หมายเหตุ : หน้าแปลนแบ่งความสามารถในการรับความดันด้วยการใช้ค่า "rating" (ค่าความดันในหน่วยปอนด์ต่อตารางนิ้ว) หน้าแปลนที่มีค่า rating สูงจะมีความหนาที่มากกว่าหน้าแปลนที่มีค่า rating ที่ต่ำกว่า และต้องการแรงบิดในการขันนอตให้แน่นที่สูงกว่าหน้าแปลนที่มีค่า rating ต่ำกว่า

ย่อหน้าที่ห้ากล่าวถึงการ "Blowdown" หรือการระบายออกซึ่งก็คือช่วงผลต่างระหว่างความดันที่ทำให้อุปกรณ์เปิด (ตัว pallet ยกตัวขึ้นจากแท่นวาง) และความดันที่ทำให้อุปกรณ์ปิด (ตัว pallet กลับมาวางตัวบนแท่นวางเหมือนเดิม) ผลต่างความดันนี้แสดงในรูปของค่าความดันหรือร้อยละของค่าความดันที่ตั้งค่าไว้ ปริมาณของการระบายออกเปลี่ยนแปลงไปตามการออกแบบอุปกรณ์ระบายความดัน ค่าการระบายของของอุปกรณ์ระบายความดันควรได้รับการประเมินถ้าหากมีการติดตั้งระบบแก๊สเฉื่อยป้องกันอากาศไหลเข้า (blanketing) ร่วมกับการใช้วาล์วระบายความดัน/สุญญากาศ

ย่อหน้าที่หกของหัวข้อ C.2.3 กล่าวว่าเมื่อต้องทำการเลือกอุปกรณ์ระบายความดันสำหรับบริเวณที่มีข้อจำกัดที่เข้มงวดเกี่ยวกับการปลดปล่อยไอระเหย ควรต้องนำค่าความต้องการค่าการรั่วไหลที่มากที่สุดในระหว่างการทำงานปรกติของถังเก็บมาพิจารณาด้วย

รูปที่ ๘ หัวข้อ C.2.4

หัวช้อ C.2.4 (รูปที่ ๘) เกี่ยวข้องกับขนาดของอุปกรณ์ระบายความดันและการตั้งค่าความดัน ย่อหน้าแรกกล่าวว่าโดยทั่วไปวาล์วระบายชนิด direct-acting มักจะมีขนาดในช่วงจาก 50 มิลลิเมตร (2 นิ้ว) ไปจนถึง 350 มิลลิเมตร (14 นิ้ว) อย่างไรก็ตามในกรณีของวาล์วระบายความดันที่วางเรียงซ้อนกัน (รูป C.4 e-f ในรูปที่ ๕) จะมีขนาดใหญ่ได้ถึง 700 มิลลิมเตร (24 นิ้ว)

ย่อหน้าที่สองกล่าวว่าช่วงค่าความดันที่ตั้งไว้สำหรับวาล์วชนิดใช้น้ำหนักกดจะสูงได้ถึง 6.9 kPa (16 ออนซ์ต่อตารางนิ้ว) และค่าความดันสุญญากาศได้ถึง -4.3 kPa (-10 ออนซ์ต่อตารางนิ้ว) ในกรณีของค่าความดันสูงหรือสุญญากาศที่อยู่นอกช่วงนี้ควรใช้วาล์วชนิดใช้สปริงกด ด้วยเหตุผลทางด้านโครงสร้างรับน้ำหนักและที่ว่างที่จะติดตั้งเพราะจะไม่มีที่ว่างสำหรับวางน้ำหนักเพิ่ม

การทดสอบยืนยันค่าความดันที่ตั้งไว้สำหรับอุปกรณ์ระบายความดันหลังการติดตั้งบนถังเก็บสามารถทำได้ด้วยการเพิ่มความดันในถังหรือสุญญากาศในถัง เพื่อที่จะเปลี่ยนค่าความดันที่ตั้งไว้ อาจทำได้ด้วยการ เพิ่มหรือลดน้ำหนักที่กดลงบน pallet, เปลี่ยน pallet ตัวใหม่, หรือทำการปรับแต่งสปริง (ถ้าใช้วาล์วระบายความดันชนิดใช้สปริงกด)

สำหรับตอนนี้คงพอแค่นี้ก่อนโดย Appendix C ยังมีต่ออีก