งานนี้อาจจะเรียกได้ว่า
เพื่อไม่ให้หายนะที่เคยเกิดนั้นเกิดซ้ำเดิมอีก
ก็เลยทำให้เกิดหายนะแบบใหม่ขึ้นมาแทน
ในการสอนวิชา
Safe Process
Operation and Design นั้น ผมบอกนิสิตเสมอว่า
แนวทางที่เราใช้ในการป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดแบบเดิมซ้ำอีก
สามารถที่จะทำให้เกิดความผิดพลาดแบบใหม่ขึ้นมาแทน
และไม่มีวิธีการใดนั้นที่เป็นสูตรสำเร็จที่สามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์
ในเดือนเมษายน
พ.ศ.
๒๔๙๔ เกิดเหตุเพลิงไหม้ตู้โดยสารรถไฟบริเวณสถานี
Sakuragi-cho
ประเทศญี่ปุ่น
ส่งผลให้ผู้โดยสารที่ติดอยู่ในตู้โดยสารที่ไม่สามารถเปิดประตูรถเพื่อหนีออกมาได้เสียชีวิตถึง
๑๐๖ ราย (เหตุการณ์นี้อยู่ในเรื่อง
"เมื่อไฟไหม้ตู้โดยสารรถไฟ (๑) MO Memoir : Tuesday 13 April 2564")
หลังจากนั้นจึงได้มีการติดตั้งที่เปิดประตูฉุกเฉินที่ให้ผู้โดยสารในรถสามารถเปิดประตูตู้โดยสารได้เองจากภายใน
เรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้นำมาจากบทความเรื่อง
"Multiple train
collision at Mikawashima. May 3, 1962 at Mikawashima on the Joban
line" (https://www.shippai.org/fkd/en/cfen/CA1000604.html)
เป็นเหตุการณ์ชนกันของรถไฟ
๓ ขบวนเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม
ค.ศ.
๑๙๖๒ (พ.ศ.
๒๕๐๕)
ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง
๑๖๐ คน
รูปที่ ๑
ภาพสถานที่เกิดเหตุ
รถสินค้าคือขบวนที่อยู่ซ้ายสุด
ขบวนกลางคือขบวนที่เข้ามาชนรถสินค้า
ส่วนขบวนด้านขวาสุดคือขบวนที่เข้ามาชนขบวนกลางและผู้โดยสารที่ลงมาจากขบวนกลาง
สถานี
Mikawashima
เป็นชุมทางที่รถสินค้าจะเข้ามาใช้รางร่วมกับรถโดยสาร
โดยจุดเกิดเหตุนั้นเกิดบริเวณจุดบรรจบของเส้นทางรถสินค้าและรถโดยสารที่อยู่ห่างออกมาทางทิศตะวันออกของตัวสถานีประมาณ
๓๕๐ เมตร (รูปที่
๒)
รูปที่ ๒
แผนผังบริเวณสถานีที่เกิดเหตุ
เหตุเกิดเวลาประมาณ
๒๑.๓๖
น เริ่มจากขบวนรถสินค้าวิ่งฝ่าสัญญาณไฟเพื่อเข้าเส้นทางหลัก
แต่อุปกรณ์ป้องกันก็ป้องกันด้วยการปัดขบวนดังกล่าวเข้ารางหลีกที่จะทำให้ขบวนดังกล่าวตกราง
(Safety siding)
ซึ่งก็ทำให้ขบวนรถสินค้าตกราง
แต่หัวรถจักรไอน้ำและตู้สินค้าตู้แรกนั้นเอียงลงมากีดขวางเส้นทางรถโดยสารขาออก
(รูปที่
๓a.)
วิธีหนึ่งในการป้องกันไม่ให้รถไฟสองขบวนชนกันคือทำให้ขบวนที่ไม่ควรเข้ามาอยู่ในเส้นทางหลักนั้นตกราง
ซึ่งอาจทำโดยการใช้อุปกรณ์ที่เรียว่า
"เครื่องตกราง"
ที่จะวางปิดคร่อมรางเอาไว้
ถ้ามีรถวิ่งฝ่าเข้ามาก็จะถูกเครื่องนี้ทำให้ล้อตกราง
แต่สำหรับประเทศญี่ปุ่นนั้นจะใช้วิธีปัดเข้ารางหลีกที่เป็นทางตัน
ถัดจากนั้นไม่นาน
รถไฟขบวนที่สองที่เป็นรถโดยสารที่เพิ่งจะวิ่งออกจากสถานี
ก็ชนเข้ากับขบวนรถสินค้าที่ตกรางและกีดขวางทางอยู่
ส่งผลให้สองตู้แรกของขบวนรถโดยสารตกรางและเอียงไปกีดขวางเส้นทางขาเข้าตัวสถานี
(รูปที่
๓b.)
การชนครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ
๒๕ ราย
อีกประมาณเกือบ
๖ นาทีต่อมาหลังการชนครั้งที่สอง
ขบวนรถโดยสารอีกขบวนหนึ่งก็วิ่งเข้าสถานี
Mikawashima
ในรางขาเข้า
ขบวนนี้วิ่งชนผู้โดยสารที่ลงมาจากขบวนที่สองและชนเข้ากับขบวนที่สองที่ตารางและขวางทางอยู่
(รูปที่
๓c.)
ทำให้ตู้แรกเสียหายหนัก
และตู้ที่สองถึงสี่ตกราง
การชนครั้งหลังนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต
๑๖๐ คน
โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้โดยสารที่ลงมาจากขบวนทื่สองและเดินอยู่บนราง
ก่อนหน้านั้น
๑๑ ปี เกิดเหตุเพลิงไหม้ตู้โดยสารรถไฟบริเวณสถานี
Sakuragi-cho
ทำให้ผู้โดยสารที่ติดอยู่ในรถเพราะไม่สามารถเปิดประตูรถจากภายในได้เสียชีวิตกว่า
๑๐๐ คน จึงทำให้มีการติดตั้งที่เปิดประตูฉุกเฉินจากภายในรถ
ในเหตุการณ์นี้เมื่อเกิดการชน
ผู้โดยสารที่อยู่ภายในรถจึงสามารถเปิดประตูและเดินออกมาจากตู้รถมาเดินอยู่บริเวณรางได้
(จากภาพการเบียดกันของตัวรถ
แสดงว่าต้องลงมาทางด้านรางฝั่งขาเข้า)
และด้วยการที่ผู้โดยสารไม่ได้รับคำแนะนำใด
ๆ จากพนักงานว่าควรต้องทำอย่างไร
และภาพเหตุการณ์ไฟไหม้ตู้โดยสารรถไฟก่อนหน้า
น่าจะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้โดยสารในขบวนที่สองรีบหนีออกมาจากตัวรถ
ในบทความต้นเรื่องกล่าวถึงการที่ผู้โดยสารที่อยู่ในขบวนที่สองนั้นไม่ได้รับคำแนะนำจากพนักงานว่าควรต้องทำอย่างไร
(คือจะให้รออยู่ในรถหรือหนีออกมาจากรถ)
แต่ตรงนี้ถ้าดูจากเหตุการณ์
พนักงานที่อยู่ในที่เกิดเหตุน่าจะมีอยู่เพียงแค่
๔ คน คืออยู่ในหัวรถจักรไอน้ำของขบวนรถสินค้า
๒ คน (คันที่ถูกชน)
พนักงานขับรถขบวนที่สอง
๑ คน (คันที่พุ่งเข้าชน)
ซึ่ง ๓
คนนี้ก็ไม่รู้ว่าสภาพเป็นอย่างไรหลังการชน
และอาจมีพนักงานที่ตู้ท้ายรถขบวนที่สอง
๑ คน (ควบคุมการเปิดปิดประตูรถเวลารถจอดหรือจะออกจากสถานี)
และเราก็ไม่รู้ว่าในสมัยนั้นในรถมีระบบแจ้งข่าวไปยังตู้โดยสารแต่ละตู้หรือไม่
รูปที่ ๓
ลำดับการเกิดเหตุการณ์
อีกประเด็นหนึ่งที่บทความต้นเรื่องยกมาก็คือลำดับขั้นตอนการสื่อสารเพื่อหยุดรถขบวนที่สาม
ซึ่งในตอนนั้นพนักงานที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมากที่สุดอยู่ที่
East Signal Station
ที่ห่างไปเพียง ๑๐๐
เมตร ซึ่งน่าจะเป็นผู้ที่เห็นเหตุการณ์
แต่ลำดับขั้นตอนการทำงานนั้นต้องแจ้งกลับไปยังสถานี
Mikawashima ก่อน
เพื่อให้ทางสถานีแจ้งศูนย์ควบคุมรถไฟขบวนที่สามเพื่อสั่งให้หยุดรถขบวนที่สาม
ทำให้เกิดความล่าช้าในการสั่งงาน
แทนที่พนักงานที่ East
Signal Station จะสั่งหยุดได้เลย
คำถามที่น่าสนใจคือ
ทำไมผู้โดยสารที่ลงมาจากขบวนที่สองจึงเดินไปในเส้นทางที่ทำให้ถูกรถไฟขบวนที่สามวิ่งชน
ตรงนี้ถ้าพิจารณาภาพถ่ายในรูปที่
๑ และภาพถ่ายดาวเทียมจาก
google map ในรูปที่
๔ จะเห็นว่าเส้นทางดังกล่าวเป็นทางยกระดับ
ซึ่งถ้าดูจากรูปที่ ๑
แล้วจะเห็นว่าทางด้านหน้าของจุดเกิดเหตุนี้พอจะมีทางลาดที่พอจะเดินลงไปพื้นล่างได้
(อยู่ใกล้กว่าทางด้านสถานีที่ห่างออกไป
๓๕๐ เมตร)
แสดงว่าผู้โดยสารที่ลงมาจากขบวนที่สองนั้นได้เลือกที่จะเดินไปข้างหน้าเพื่ออ้อมบริเวณเกิดเหตุ
ซึ่งต้องเดินอ้อมไปทางฝั่งรางขาเข้า
เพื่อไปหาทางลงจากทางยกระดับ
ประกอบกับเหตุเกิดในช่วงเวลากลางคืน
และขบวนที่สามก็วิ่งมาเร็ว
(ต่างจากขบวนที่สองที่เพิ่งออกมาจากสถานี)
ทำให้ตู้แรกของขบวนที่สามนั้นเสียหายหนัก
และเวลาหกนาทีจากการชนกันครั้งแรก
ก็น่าจะทำให้คนที่ลงมาเดินอยู่ข้างล่างมีจำนวนมากพอสมควร
(คือถ้าการชนกันครั้งที่สองเกิดเร็วกว่านี้
จำนวนคนที่ออกมาเดินบนรางก็น่าจะยังไม่มาก)
รูปที่ ๔
ภาพถ่ายดาวเทียมจาก google
map บริเวณสถานที่เกิดเหตุในปัจจุบัน
หลังเหตุการณ์นี้ก็เกิดเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีในบริเวณดังกล่าว
ใครสนใจก็สามารถรับชมได้ทาง
YouTube