มีหลายคน
(โดยเฉพาะคนที่ทำงานตามบริษัทและไม่ได้อยู่ในสถาบันการศึกษาหรือสถาบันให้ทุนวิจัย)
ยุให้ผมเขียนบทความทำนองนี้มานานแล้ว
ซึ่งผมก็ได้แต่ผัดผ่อนไปเรื่อย
ๆ แต่พักหลัง ๆ
เริ่มเห็นปัญหาทำนองนี้บ่อยครั้งขึ้น
ทำให้ต้องลงมือเขียนซะที
เวลาที่เราเรียนหนังสือ
เป็นเรื่องปรกติที่เราจะพบว่าการแก้ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น
มันมีมากกว่า ๑ วิธีในการแก้ปัญหา
แต่สิ่งหนึ่งที่เรามักจะไม่ได้เรียนกันก็คือ
แต่ละวิธีการนั้นมันมีข้อดีข้อเสียอย่างใด
แต่ละวิธีนั้นเหมาะแก่สภาพแวดล้อมอย่างใด
ตัวอย่างเช่นในการส่งของเหลวจากถังใบหนึ่งไปยังถังอีกใบหนึ่ง
คุณอาจจะเลือกส่งด้วย (ก)
การใช้ปั๊มสูบหรือ
(ข)
ใช้ความดันอัดในถังต้นทาง
เพื่อให้ของเหลวไหลจากถังต้นทางไปยังถังที่อยู่ปลายทาง
คำถามที่ควรจะต้องมีการถามตามมาก็คือทั้ง
๒ วิธีการนี้มีข้อดีข้อเสียอย่างไร
และถ้าคุณเลือกวิธีการใช้ปั๊ม
คุณควรเลือกใช้ปั๊มชนิดไหน
งานตรงนี้เป็นหน้าที่ของ
"อาจารย์"
ผู้สอน
ที่ต้องสอนให้ผู้เรียนนั้นรู้จัก
"เลือกใช้ทางเลือกที่เหมาะสมกันแต่ละสถานการณ์"
ไม่ใช่สอนแบบกวดวิชาที่เน้นไปที่
"การท่องจำสูตรสำเร็จ"
"นักวิจัย"
มักจะเป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะทาง
ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าจะพบว่าเวลามีปัญหาให้เขาแก้
เขาจะเลือกนำเสนอเฉพาะแนวทางที่เขาถนัดเท่านั้น
ถ้าแนวทางนั้นมีข้อดีอยู่
๑ ข้อ ในขณะที่มีข้อเสีย
๑๐๐ ข้อ
เขาก็มักจะพูดแต่เฉพาะข้อดีเพียงข้อเดียวของแนวทางเขา
โดยไม่กล่าวถึงข้อเสียอีก
๑๐๐ ข้อให้ทราบ ในทางตรงกันข้าม
ถ้าเขาทราบว่าแนวทางที่เป็นคู่แข่งนั้นมีข้อเสีย
๑ ข้อ ในขณะที่มีข้อดี ๑๐๐
ข้อ
เขาก็จะกล่าวถึงเฉพาะข้อเสียเพียงข้อเดียวของแนวทางคู่แข่งนั้น
โดยไม่กล่าวถึงข้อดีอีก
๑๐๐ ข้อเลย
เพื่อทำให้คนอื่นคิดว่าแนวทางคู่แข่งของเขานั้นมันไม่มีข้อดี
ตัวอย่างของเรื่องนี้หาได้ไม่ยาก
พวก NGO
ที่ชอบออกมาต่อต้านเรื่องต่าง
ๆ ก็เห็นทำกันอย่างนี้ทั้งนั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำคือ
เวลาที่ทางใครสักคนมีปัญหา
(เช่นบริษัทและหน่วยงานต่าง
ๆ)
และต้องใครสักคนเข้ามาช่วยแก้ปัญหา
ผู้ที่เขามักจะเข้าไปปรึกษา
(ซึ่งบ่อยครั้งที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย)
ก็มักจะสวมบทบาทเป็น
"นักวิจัย"
คือบอกว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้
(แต่มันจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
คุ้มค่าต่อการนำไปใช้ในทางปฏิบัติ
หรือปฏิบัติได้จริงหรือไม่นั้น
เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาทำอย่างนั้นก็เพราะเขาต้องการได้ทุนวิจัยที่จะนำมาซึ่งแหล่งรายได้และความก้าวหน้าในอาชีพการงาน
เมื่อมีปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข
สิ่งแรกที่ผมเห็นว่าควรต้องพิจารณาก่อนก็คือ
การหาว่าแนวทางการแก้ไขที่พอจะเป็นไปได้นั้นมีกี่แนวทาง
(ซึ่งอาจไม่สามารถหามาได้ทั้งหมด)
จากนั้นจึงค่อยพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียและข้อจำกัดของแต่ละแนวทาง
ก่อนจะเลือกว่าจะลงลึกไปทางด้านใน
แต่การที่จะทำอย่างนี้ได้
จำเป็นต้องมีคณะผู้ให้คำปรึกษาที่มีความรู้กว้างและไม่สอดแทรกผลประโยชน์ส่วนตัวเข้าไปในแนวทางเลือกต่าง
ๆ ที่นำเสนอ
พฤติกรรมหนึ่งของการทำวิจัยในปัจจุบันที่เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ ก็คือ
การชอบอ้างผลงานวิจัยและข้อสรุปที่มีการตีพิมพ์เผยแพร่เอาไว้ก่อนหน้านี้
เพื่อที่จะนำมาใช้สนับสนุนงานที่ตัวเองทำอยู่นั้นเลย
โดยไม่ได้มีการพิจารณาว่าวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งผลงานวิจัยและข้อสรุปดังกล่าวนั้นมันสมเหตุสมผลหรือไม่
ในสาขาวิชาชีพของผมนั้น
ผลงานที่ส่งไปตีพิมพ์นั้น
ไม่ว่าจะเป็นผลการทดลองหรือการสร้างแบบจำลอง
(ที่เรียกว่า
simulation)
ก็ไม่ได้มีการตรวจสอบว่าทำได้จริงตามที่กล่าวอ้าง
(หรือมีการทำจริง)
ผู้ประเมินก็ทำเพียงแค่ดูว่าสิ่งที่เขียนนั้นมันดูสมเหตุสมผล
เป็นสิ่งใหม่ ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน
มีค่าควรแก่การตีพิมพ์
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะพบว่าผลงานที่มีการตีพิมพ์จำนวนไม่น้อย
ไม่สามารถทำซ้ำได้
รูปที่
๑ Process
Flow Diagram (PFD) ของงาน
simulation
งานหนึ่ง
วันศุกร์ที่ผ่านมา
ระหว่างนั่งฟังการนำเสนอบทความวิชาการ
ที่นิสิตระดับปริญญาเอกคนหนึ่งนำมาจากวารสารวิชาการ
(วารสารอินเตอร์ซะด้วย)
มานำเสนอในชั่วโมงวิชาสัมมนา
ก็มีการนำเสนอแผนผังการผลิตของปฏิกิริยาหนึ่ง
(รูปที่
๑)
ที่เป็นงาน
simulation
สไลด์รูปนี้ผ่านมาให้เป็นไม่กี่วินาที
แต่บังเอิญสายตาเหลือบไปเป็นบางจุดที่สะดุดใจ
ตอนท้ายก็เลยขอให้ผู้บรรยายย้อนสไลด์กลับมาดูใหม่
เพื่อจะถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกหน่อย
ลองหาดูเอาเองก่อนนะครับว่ามันมีอะไรแปลก
ๆ ไหม สำหรับผมแล้ว มันมีอยู่
๑ จุด ที่เห็นชัดเจนที่ crop
มาให้ดูในรูปที่
๒ ข้างล่าง
รูปที่
๒
แผนผังการเปลี่ยนไอน้ำความดันต่ำให้เป็นไอน้ำความดันสูงของกระบวนการในรูปที่
๑ (มุมล่างขวา)
กังหันไอน้ำขนาดใหญ่มีการใช้ไอน้ำปริมาณมาก
และน้ำที่จะนำมาผลิตไอน้ำความดันสูงได้
(ที่ต้องมีอุณหภูมิสูงตามไปด้วย
เพราะที่ความดันสูง
น้ำจะเดือดที่อุณหภูมิสูงขึ้น)
ก็ต้องได้รับการปรับสภาพให้มีคุณสมบัติที่เหมาะสม
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปรกติที่จะเอาไอน้ำความดันต่ำที่เกิดจากการขยายตัวของไอน้ำความดันสูงผ่านกันหันไอน้ำ
(ได้พลังงานกลออกมา
และมีอุณหภูมิลดต่ำลง)
ไปใช้ผลิตเป็นไอน้ำความดันสูงใหม่
(จะได้ลดค่าใช้จ่ายในการปรับสภาพน้ำ)
แต่การนำไอน้ำความดันต่ำที่ออกมาจากกังหันไอน้ำเพื่อส่งกลับไปผลิตเป็นไอน้ำความดันสูงนั้น
จะใช้การ "ควบแน่น"
ไอน้ำความดันต่ำให้กลายเป็นของเหลวก่อน
(ตรงนี้มีการทิ้งพลังงานไปส่วนหนึ่ง)
แล้วจึงค่อยเพิ่มความดันน้ำที่เป็นของเหลวที่ได้จากการควบแน่นให้ไหลเข้าสู่หม้อไอน้ำความดันสูง
จากจึงค่อยให้ความร้อนแก่น้ำที่เป็นของเหลวที่ความดันสูงนั้น
(ใส่พลังงานจากภายนอกเข้าไป)
ให้เปลี่ยนเป็นไอน้ำที่ความดันสูง
ส่วนที่ว่าทำไมต้องทำอย่างนี้
ไม่ใช้การเพิ่มความดันให้ไอน้ำความดันต่ำให้มีความดันเพิ่มขึ้น
แล้วจึงค่อยให้ความร้อนเพิ่มนั้น
เคยเล่าไว้ใน Memoir
ปีที่
๘ ฉบับที่ ๑๐๕๕ วันพฤหัสบดีที่
๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เรื่อง
"ต้องควบแน่นก่อน แล้วค่อยต้มใหม่"
ที่นี้เรามาลองพิจารณาวัฏจักรที่บทความนั้นเขานำเสนอที่
crop
มาให้ดูในรูปที่
๒ เขาเล่นเปลี่ยนไอน้ำความดันต่ำที่มีอุณหภูมิต่ำ
ให้กลายเป็นไอน้ำความดันสูงที่มีอุณหภูมิสูงด้วยการให้ความร้อนเพียงอย่างเดียว
โดยไม่มีขั้นตอนการเพิ่มความดันให้กับไอน้ำความดันต่ำ
ซึ่งสิ่งที่ควรได้มากกว่าควรเป็นไอร้อนยิ่งยวด
superheted
steam ที่ความดันเดิม
นอกจากนี้ยังไม่มีการรวมการสูญเสียพลังงานเนื่องจากการที่ต้องควบแน่นไอน้ำความดันต่ำให้กลายเป็นของเหลว
(มักเป็นส่วนความร้อนที่ต้องทิ้งไปและไม่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้)
และการให้ความร้อนแก่น้ำที่เป็นของเหลวที่ความดันสูงเพื่อให้กลายเป็นไอน้ำอิ่มตัวที่ความดันสูง
(ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอหรือ
latent
heat)
ซึ่งจำเป็นสำหรับการทำให้ระบบกังหันไอน้ำนั้นทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
เขาเพียงแต่ให้แต่ความร้อนที่ทำให้ไอน้ำความดันต่ำอุณหภูมิต่ำกลายเป็นไอน้ำความดันสูงอุณหภูมิสูง
(sensible
heat) เพียงอย่างเดียว
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะพบว่า
ผลการคำนวณแสดงให้เห็นว่าวัฏจักรที่นำเสนอนี้สามารถประหยัดพลังงานได้
อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญเวลาพิจารณางานวิจัยที่มีการเปลี่ยนพลังงานความร้อนไปเป็นพลังงานกล
(หรือไฟฟ้า)
ด้วยการใช้กังหันไอน้ำคือ
ประสิทธิภาพในการเปลี่ยนพลังงานความร้อน
และความดันของไอน้ำความดันสูงที่สามารถผลิตได้
สำหรับโรงไฟฟ้าในปัจจุบัน
ตัวเลขประสิทธิภาพในการเปลี่ยนพลังงานความร้อนไปเป็นพลังงานไฟฟ้าด้วยกังหันไอน้ำที่
40%
ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นตัวเลขที่มองโลกแง่ดีมาก
ๆ แล้ว ในขณะที่ตัวเลข 30%
น่าจะให้ค่าที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากกว่า
ส่วนความดันของไอน้ำความดันสูงที่จะผลิตได้นั้นขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงานที่ให้ความร้อนว่ามี
"อุณหภูมิ"
เท่าใด
ไม่ใช่มี "ปริมาณ"
เท่าใด
ประเด็นตรงนี้ค่อยมาว่ากันอีกทีในตอนต่อไป
สำหรับคนที่มีหน้าที่ต้องตัดสินใจในการเลือกตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่งนั้น
(ซึ่งอาจจะเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดหรือผู้ที่ต้องนำเสนอผลการคัดเลือกส่งต่อให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดพิจารณาอีกที
ซึ่งประเด็นที่ผู้มีอำนาจสูงสุดพิจารณาอาจเป็นการพิจารณาในแง่อื่นที่ไม่ใช่ทางด้านเทคนิคก็ได้)
นอกเหนือไปจากการที่ต้องมีความรู้ในเรื่องที่ตัวเองต้องตัดสินใจ
มีข้อมูลข้อดี-ข้อเสียของแต่ละทางเลือกแล้ว
ผมเห็นว่าการตรวจสอบความถูกต้องในการได้มาของข้อมูลที่นำมาประกอบการพิจารณานั้นก็เป็นสิ่งสำคัญด้วย
สำคัญมากกว่าการดูแต่ผลสรุปที่แต่ละทางเลือกนั้นนำเสนอมาแล้วนำมาตัดสินใจ
เพราะผู้เสนอแต่ละรายนั้นย่อมนำเสนอแต่สิ่งที่ดีเพื่อให้สิ่งที่ตัวเองนำเสนอนั้นได้รับการคัดเลือก
ซึ่งตรงนี้ไม่ว่าจะเป็น
วิธีการทดลอง การแปลผลการทดลอง
หรือการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์
ต่างก็สามารถแต่ง
(จะโดยตั้งใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ก็ตามแต่)
ให้ออกมาในแนวที่ตัวเองต้องการได้
เรื่องนี้ไม่ได้เขียนให้นักวิจัยอ่าน
แต่เขียนให้คนที่ต้องทำงานกับนักวิจัยอ่าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น