มาเลอิกแอนไฮดราย
(Maleic
anhydride) เป็นสารตั้งต้นตัวหนึ่งในอุตสาหกรรมพอลิเมอร์
ส่วนใหญ่ที่ผลิตขึ้นมานั้นถูกนำไปใช้ในการผลิตเรซินพอลิเอสเทอร์ไม่อิ่มตัว
(unsaturated
polyester resin) ในอุตสาหกรรมผลิตสารตัวนี้ด้วยกระบวนการ
gas
phase partial oxidation สารประกอบไฮโดรคาร์บอนด้วยอากาศใน
catalytic
reactor
สารตั้งต้นหลักที่ใช้ในการผลิตนับจากอดีตจนถึงปัจจุบันได้แก่เบนซีน
(Benzene
C6H6)
แต่เนื่องด้วยความกังวลในเรื่องความเป็นสารก่อมะเร็งของเบนซีนในบางประเทศ
ทำให้มีการพัฒนากระบวนการผลิตที่ใช้บิวเทน
(Butane
C4H10) และบิวทีน
(Butene
C4H8) ขึ้นมาทดแทน
(กล่าวคือถ้ายังอยากผลิตมาเลอิกแอนไฮดรายในประเทศนั้น
ก็ต้องเปลี่ยนกระบวนการผลิต
หรือไม่ก็ทำอีกวิธีคือ
ย้ายโรงงานไปตั้งที่ประเทศอื่นที่ไม่เข้มงวดเรื่องความเป็นสารก่อมะเร็งของเบนซีน)
แผนผังปฏิกิริยาที่เกิดระหว่างการสังเคราะห์มาเลอิกแอนไฮดรายสรุปเอาไว้ในรูปที่
๑
รูปที่
๑ ปฏิกิริยาการสังเคราะห์มาเลอิกแอนไฮดราย
ฟาทาลิกแอนไฮดราย
(Phthalic
anhydride)
ก็เป็นสารประกอบตัวหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการผลิตเรซิน
ส่วนใหญ่ที่ผลิตขึ้นมานั้นถูกนำไปใช้ในการผลิตสารเติมแต่งสำหรับพลาสติก
PVC
เพื่อให้
PVC
มีคุณสมบัติที่เหนียวนุ่มมากขึ้น
กลายเป็นหนังเทียม
ในอุตสาหกรรมผลิตสารตัวนี้ด้วยกระบวนการ
gas
phase partial oxidation สารประกอบไฮโดรคาร์บอนด้วยอากาศใน
catalytic
reactor เช่นกัน
เดิมทีนั้นจะใช้แนฟทาลีน
(Naphthalene
C10H8)
ที่ได้มาจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับถ่านหินเป็นสารตั้งต้นในการผลิต
แต่เมื่ออุตสาหกรรมถ่านหินซบเซา
(แนฟทาลีนเป็นผลพลอยได้จากการผลิตถ่าน
coke
ที่นำไปใช้ในการถลุงเหล็ก
คือในการผลิตถ่าน coke
จะได้
coal
tar ซึ่งเมื่อนำ
coal
tar ไปกลั่นแยกก็จะได้แนฟทาลีนออกมา)
ประกอบกับมีการพัฒนากระบวนการผลิตไซลีนจากน้ำมันดิบ
ทำให้อาจกล่าวได้ว่าเกือบทั้งหมดที่ผลิตในปัจจุบันได้มาจากการใช้ออโธไซลีน
(C6H5(CH3)2
o-Xylene) เป็นสารตั้งต้น
แผนผังปฏิกิริยาที่เกิดระหว่างการสังเคราะห์ฟาทาลิกแอนไฮดรายสรุปเอาไว้ในรูปที่
๒ (อันที่จริงมีการพบการเกิดมาลาอิกแอนไฮดรายด้วย)
รูปที่
๒ ปฏิกิริยาการสังเคราะห์ฟาทาลิกแอนไฮดราย
ปฏิกิริยา partial oxidation สารประกอบไฮโดรคาร์บอนเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน ยิ่งมีการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนหลายครั้งก็ยิ่งมีการคายความร้อนมากขึ้น นอกจากนี้ในระหว่างการเกิดปฏิกิริยานั้นยังมีปฏิกิริยาข้างเคียงที่สำคัญคือการสูญเสียสารตั้งต้นและ/หรือผลิตภัณฑ์ไปเป็น CO2 และ CO ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่คายความร้อนออกมามาก
ปฏิกิริยา partial oxidation สารประกอบไฮโดรคาร์บอนเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน ยิ่งมีการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนหลายครั้งก็ยิ่งมีการคายความร้อนมากขึ้น นอกจากนี้ในระหว่างการเกิดปฏิกิริยานั้นยังมีปฏิกิริยาข้างเคียงที่สำคัญคือการสูญเสียสารตั้งต้นและ/หรือผลิตภัณฑ์ไปเป็น CO2 และ CO ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่คายความร้อนออกมามาก
ปฏิกิริยาที่เกิดนั้นเป็นปฏิกิริยาหลายขั้นตอน
ในกรณีของสารตั้งต้นที่มีจำนวนอะตอม
C
เท่ากับจำนวนอะตอม
C
ในผลิตภัณฑ์
(เช่นจาก
C4
ไปเป็นมาเลอิกแอนไฮดราย
หรือออโธไซลีนไปเป็นฟาทาลิกแอนไฮดราย)
เส้นทางหลักจะเป็นการดึงอะตอม
H
ออกในรูปของโมเลกุล
H2O
และแทรกอะตอม
O
เข้าไปแทน
แต่ถ้าเป็นกรณีที่สารตั้งต้นมีอะตอม
C
มากกว่าจำนวนอะตอม
C
ในผลิตภัณฑ์
(เช่นจากเบนซีนไปเป็นมาเลอิกแอนไฮดราย
หรือแนฟทาลีนไปเป็นฟาทาลิกแอนไฮดราย)
นอกจากมีการดึงอะตอม
H
ออกแล้วยังมีการดึงอะตอม
C
ออกในรูป
CO2
หรือ
CO
ด้วย
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน
สารมัธยันต์ (intermediate)
ที่เกิดขึ้นก่อนจะกลายเป็นสารประกอบแอนไฮดรายนั้น
มักจะมีจุดเดือดที่ต่ำกว่าตัวแอนไฮดรายเอง
ปริมาณของ
CO2
และ
CO
ที่เกิด
และสัดส่วนระหว่าง CO2/CO
ที่เกิด
ส่งผลต่อปริมาณความร้อนที่คายออกมา
ยิ่งค่าดังกล่าวมีค่าสูงขึ้น
ปริมาณความร้อนที่คายออกมาก็มากขึ้นตามไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญ
เพนเทน
(Pentane
C5H12)
เป็นไฮโดรคาร์บอนเบาตัวหนึ่งที่มีปัญหาในการนำไปใช้ประโยชน์เป็นเชื้อเพลิง
ด้วยความที่ว่าจุดเดือดของมันนั้นสูงเกินกว่าจะใช้เป็นแก๊สหุงต้มและต่ำเกินไปสำหรับการใช้เป็นเชื้อเพลิงเหลว
(มีเลขออกเทนต่ำด้วย)
เรื่องนี้เคยเล่าไว้ครั้งหนึ่งเมื่อเกือบ
๕ ปีที่แล้วในเรื่อง "เอา
pentane
ไปทำอะไรดี"
(Memoir ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๐๕ วันเสาร์ที่
๑๕ กันยายน ๒๕๕๕)
ด้วยเหตุนี้จึงมีการหาทางเอาเพนเทนไปใช้เป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแทน
และปฏิกิริยาหนึ่งที่ได้รับความสนใจมากก็คือการออกซิไดซ์เพนเทนไปเป็นมาเลอิกแอนไฮดราย
ซึ่งในการนี้จำเป็นต้องมีการตัดอะตอม
C
ทิ้งไป
๑ ตัว แต่ที่เห็นจะแปลกกว่ากรณีที่เล่ามาก่อนหน้าก็คือ
มีการพบผลิตภัณฑ์ที่มีจำนวนอะตอม
C
มากกว่าของสารตั้งต้นในจำนวนที่มากอย่างมีนัยสำคัญ
ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก็คือฟาทาลิกแอนไฮดราย
รูปที่
๓
ปฏิกิริยาที่เกิดระหว่างการออกซิไดซ์เพนเทนไปเป็นมาเลอิกแอนไฮดราย
การเกิดผลิตภัณฑ์ข้างเคียงปนเปื้อนอยู่ในผลิตภัณฑ์หลักใช่ว่าเป็นสิ่งที่ต้องการ
เพราะมันก่อให้เกิดความสิ้นเปลืองในการทำให้ผลิตภัณฑ์หลักมีความบริสุทธิ์
ถ้าผลิตภัณฑ์ข้างเคียงนั้นเกิดในปริมาณมากพอที่เมื่อแยกออกมาแล้วสามารถขายได้
ก็พอจะถอนทุนคืนได้บ้าง
แต่ถ้ามันเกิดขึ้นน้อย
ก็จะก่อให้เกิดปัญหาในการกำจัดอีก
ในทางวิศวกรรมเคมีนั้น
ค่า conversion
คือสัดส่วนของสารตั้งต้นที่ทำปฏิกิริยาไปต่อปริมาณสารตั้งต้นทั้งหมดที่ป้อนเข้าระบบ
ในปฏิกิริยา gas
phase partial oxidation สารไฮโดรคาร์บอนนั้น
การทำปฏิกิริยาจะทำในสภาวะที่มีออกซิเจนมากเกินพอ
(เพื่อให้สัดส่วนการผสมอยู่นอกช่วง
explosive
limit) ดังนั้นเวลาที่คิดค่า
conversion
ก็จะดูจากปริมาณไฮโดรคาร์บอนที่หลงเหลืออยู่เป็นหลัก
ค่า
selectivity
คือสัดส่วนระหว่างปริมาณผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดที่เกิดขึ้นต่อปริมาณสารตั้งต้นที่ทำปฏิกิริยาไป
การคำนวณค่านี้ไม่ยุ่งยากอะไรถ้าจำนวนอะตอม
C
ในผลิตภัณฑ์นั้นเท่ากับจำนวนอะตอม
C
ของสารตั้งต้น
แต่จะวุ่นวายมากกว่าถ้าหากจำนวนอะตอม
C
ในผลิตภัณฑ์ไม่เท่ากับจำนวนอะตอม
C
ของสารตั้งต้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีการตัดสารตั้งต้นออกเป็นโมเลกุลเล็ก
ๆ มากกว่าหนึ่งโมเลกุล
เช่นการออกซิไดซ์เบนซีน
(C6)
ไปเป็นมาเลอิกแอนไฮดราย
(C4)
หรือการออกซิไซด์แนฟทาลีน
(C10)
ไปเป็นฟาทาลิกแอนไฮดราย
(C8)
ที่มีการเกิด
CO2
(หรือ
CO)
ขึ้น
๒ โมเลกุล กล่าวคือจะคิดปริมาณโดยอิงจากอะไร
เช่น จะคิดเป็นโมล หรือจำนวนอะตอม
C
รูปที่
๔ ค่า conversion
และค่า
selectivity
ของมาเลอิกแอนไฮดราย
(MA)
ฟาทาลิกแอนไฮดราย
(PA)
และ
CO2
ของการออกซิไดซ์นอร์มัลเพนเทนโดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา
๕ ชนิด
รูปที่ ๔ เป็นภาพที่ถ่ายจากโปสเตอร์ที่มีผู้นำมาจัดแสดง
งานวิจัยนี้เป็นการออกซิไดซ์นอร์มัลเพนเทนไปเป็นมาเลอิกแอนไฮดราย
โดยมีการเกิดฟาทาลิกแอนไฮดรายเป็นผลิตภัณฑ์ข้างเคียง
ที่ผมติดใจคือค่าการเลือกเกิดกล่าวคือ
๑.
ในกรณีนี้
ค่า selectivity
ของทุกผลิตภัณฑ์รวมกัน
ถ้าอิงจากจำนวนอะตอม C
ที่ไปอยู่ในผลิตภัณฑ์ต่าง
ๆ ควรมีค่าเป็น 100%
เว้นแต่ว่าจะมีการตรวจไม่พบผลิตภัณฑ์บางตัว
(เช่นเกิดการควบแน่นค้างในระบบท่อ
ทำให้มันมาไม่ถึงจุดเก็บแก๊สตัวอย่าง)
ค่า
selectivity
ที่แสดงในรูปข้างบนนั้นไม่มีรายละเอียดว่าใช้เกณฑ์ใดในการคำนวณ
แต่นั่นก็ยังไม่สำคัญเท่ากับการที่ว่าค่าผลรวมที่ได้นั้นต่ำมาก
มากจนเหมือนกับว่าผลิตภัณฑ์ที่นำมาแสดงนั้นเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
๒.
ในการเปลี่ยนเพนเทนไปเป็นมาเลอิกแอนไฮดรายนั้น
ต้องมีการตัดอะตอม C
ทิ้ง
๑ อะตอม ดังนั้นสัดส่วนการเกิด
CO2
(หรือ
CO)
เทียบกับมาเลอิกแอนไฮดราย
เมื่อคิดในหน่วย "โมล"
แล้ว
ควรมีค่า "อย่างน้อยเท่ากัน"
แต่จะเห็นมากกว่าก็ไม่แปลกเพราะเป็นไปได้ที่จะเกิด
CO2
(หรือ
CO)
เพิ่มจากการสลายตัวของสารตั้งต้นหรือผลิตภัณฑ์
หรือถ้าคิดในหน่วยจำนวนอะตอม
C
เท่ากัน
(คือให้
CO2
(หรือ
CO)
๔
โมเลกุลเทียบเท่ากับมาเลอิกแอนไฮดราย
๑ โมเลกุล)
ค่า
selectivity
ของ
CO2
(หรือ
CO)
ก็ควรมีค่าอย่างน้อยเป็น
๑ ใน ๔ ของค่า selectivity
ของมาเลอิกแอนไฮดราย
แต่ค่าที่นำมาแสดงนั้นต่ำกว่าค่าเหล่านี้มาก
(ขนาดยังไม่รวม
CO2
(หรือ
CO)
ที่เกิดจากปฏิกิริยาข้างเคียง)
จะว่าไปแล้วฟาทาลิกแอนไฮดรายน่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีจุดเดือดสูงที่สุดที่เกิดขึ้น
ดังนั้นถ้าผู้ทำการทดลองสามารถเก็บแก๊สตัวอย่างมาวิเคราะห์
(ด้วยเครื่องแก๊สโครมาโทกราฟ)
ได้โดยที่ไม่เกิดการควบแน่นของฟาทาลิกแอนไฮดรายในระบบท่อ
แล้วทำไมเขาจึงไม่เห็นผลิตภัณฑ์ที่มีจุดเดือดที่ต่ำกว่า
(ไม่ว่าจะเป็นพวกสารมัธยันต์หรือคาร์บอนออกไซด์ก็ตาม)
ซึ่งถ้าว่ากันตามตัวเลขที่นำมาแสดงนั้น
ถ้าการเก็บตัวอย่างแก๊สและ/หรือการทำ
calibration
curve ของเขาไม่ผิดพลาด
ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการกล่าวถึงมีสิทธิ์เป็นผลิตภัณฑ์หลักของการทำปฏิกิริยาได้
(ว่าแต่ว่ามันคืออะไร)
ตรงนี้อาจมีคนตั้งประเด็นว่าเกิดเป็น
coke
ได้ไหม
คำตอบก็คือเป็นไปได้
แต่กรณีนี้เป็นปฏิกิริยา
"การออกซิไดซ์"
ที่อุณหภูมิสูงในบรรยากาศที่มีออกซิเจนมากเกินพอหลายเท่าตัว
ดังนั้นจะไม่เกิด coke
ในปริมาณมากและสะสมบนตัวเร่งปฏิกิริยา
เรียกได้ว่าถ้าทำดุลอะตอม
C
ก็จะเห็นอะตอม
C
ด้านขาออกประมาณได้ว่าเท่ากับด้านขาเข้า
ท้ายสุดนี้ก็ขอบันทึกการสนทนากับผู้ที่เข้ามาอ่าน
blog
รายหนึ่ง
ผมก็บอกกับนิสิตที่ผมสอนอยู่เป็นประจำว่าสิ่งที่ผมเขียนบน
blog
นิสิตมักจะไม่สนใจอ่านกันเนื่องจากมันไม่เกี่ยวข้องกับวิชาที่เขาต้องสอบ
แต่จะกลับมาอ่านกันอย่างเอาจริงเอาจังตอนที่
ไปฝึกงาน เตรียมสัมภาษณ์งาน
หรือไม่ก็เริ่มทำงานแล้วนั่นแหละครับ
อย่างรายนี้ก็เช่นกัน
หลังจากจบป.ตรีไปได้สองปีแล้ว
(ปล.
รู้สึกดึใจที่มีคนเห็นประโยชน์ของบทความที่เขียนและนำไปใช้ประโยชน์ได้)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น