ในหลายโรงงาน
ในบริเวณที่พื้นที่การผลิตมีความเสี่ยงที่จะมีโอกาสที่จะแก๊สเชื้อเพลิงรั่วไหลออกมาได้นั้น
มักจะไม่อนุญาตให้รถที่ใช้เครื่องยนต์
"เบนซิน"
ผ่านเข้าไปในพื้นที่ในขณะที่โรงงานเดินเครื่อง
แต่อนุญาตให้รถที่ใช้เครื่องยนต์
"ดีเซล"
ผ่านเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวได้
โดยมีเหตุผลว่าเครื่องยนต์ดีเซลนั้นไม่มีระบบ
"จานจ่าย
(distributor)"
ที่เป็นสวิตช์ปิด-เปิดที่ทำหน้าที่ควบคุมการจ่ายไฟฟ้าไปยังหัวเทียนของกระบอกสูบต่าง
ๆ (เป็นอุปกรณ์ที่มีประกายไฟฟ้าเกิดขึ้นได้ในระหว่างการทำงาน)
ผมเองก็ยังเคยมีโอกาสนั่นรถบัสโดยสารที่ทางโรงกลั่นน้ำมันจัดให้เพื่อเข้าชมพื้นที่ภายในหน่วยการผลิต
(แต่เขาให้นั่งอยู่แต่บนรถนะ
ไม่ให้ลงมาเดินนอกรถ)
แต่มันก็มีบันทึกอุบัติเหตุเอาไว้เหมือนกันว่า
รถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลนั้นก็สามารถจุดระเบิดไอเชื้อเพลิงที่รั่วไหลออกมาได้เช่นเดียวกัน
คำถามหนึ่งที่คนที่เรียนทางด้านเครื่องยนต์สันดาปภายใน
(Internal
combustion engine หรือที่คนที่เรียนวิชานี้มักจะเรียกชื่อย่อว่า
ICE)
มักจะต้องเตรียมตัวตอบคือ
"จะเกิดอะไรขึ้น
ถ้านำน้ำมันเบนซินไปเติมให้กับเครื่องยนต์ดีเซล
และนำน้ำมันดีเซลไปเติมให้กับเครื่องยนต์เบนซิน"
คำตอบของคำถามดังกล่าวคือเครื่องยนต์จะเกิดการน๊อคเพราะน้ำมันทั้งสองชนิดมีคุณสมบัติหนึ่งที่ตรงข้ามกันอยู่
นั่นคือ "ความยากง่ายของการจุดระเบิดด้วยตนเอง"
โดยพารามิเตอร์หนึ่งที่บ่งบอกถึงความยากง่ายในการจุดระเบิดด้วยตนเองของเชื้อเพลิงก็คือ
"autoignition
temperature" หรืออุณหภูมิลุกติดไฟได้ด้วยตนเอง
รูปที่
๑ เหตุการณ์การจุดระเบิดแก๊สบิวเทนที่รั่วออกมา
จากพื้นผิวเครื่องยนต์หรือท่อไอเสียที่ร้อน
(จากวารสาร
Loss
Prevention Bulletin Vol. 13 ปีค.ศ.
๑๙๗๗
(พ.ศ.
๒๕๒๐)
หน้า
๘)
๓
องค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับการเผาไหม้คือ
เชื้อเพลิง สารออกซิไดซ์
(ปรกติก็คืออากาศ)
และแหล่งพลังงาน
(ซึ่งอาจเป็น
เปลวไฟ ประกายไฟ ความร้อน
หรือตัวเร่งปฏิกิริยา ก็ได้)
เครื่องยนต์เบนซินนั้นทำงานด้วยการผสมน้ำมันกับอากาศเข้าด้วยกันก่อน
กลายเป็นแก๊สผสมมที่เรียกว่า
"ไอดี"
จากนั้นจึงป้อนไอดีนั้นเข้าสู่กระบอกสูบและทำการอัดส่วนผสมนั้นให้มีความดันสูงขึ้นก่อนที่จะทำการจุดระเบิดโดยใช้ประกายไฟฟ้าจากหัวเทียน
แต่ในจังหวะที่เปลวไฟที่เกิดจากการจุดระเบิดที่หัวเทียนนั้นกำลังแผ่ขยายไปทั่วกระบอกสูง
แก๊สไอดีที่ยังไม่ลุกไหม้นั้นจะมีความดันและอุณหภูมิสูงขึ้น
และถ้าเชื้อเพลิงนั้นมีค่า
autoignition
temperature ต่ำเกินไป
ไอดีนั้นก็จะเกิดการระเบิดขึ้นเองก่อนที่เปลวไฟที่แผ่ออกมาจากหัวเทียนจะเคลื่อนที่มาถึง
ทำให้จังหวะการเกิดความดันสูง
(อันเป็นผลจากการเผาไหม้)
ในกระบอกสูบนั้นไม่สัมพันธ์กับจังหวะการเคลื่อนที่ของกระบอกสูบ
ด้วยเหตุนี้เพื่อที่จะป้องกันการเกิดอาการน็อคของเครื่องยนต์เบนซิน
เครื่องยนต์เบนซินจึงมักจะทำงานที่ค่าอัตราส่วนการอัด
(compression
ratio
คือปริมาตรที่มากที่สุดของกระบอกสูบที่เกิดขึ้นเมื่อลูกสูบเคลื่อนที่ลงต่ำสุด
ต่อปริมาณที่เล็กที่สุดของกระบอกสูบที่เกิดขึ้นเมื่อลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้นสูงสุด)
ไม่สูงมาก
(คือประมาณ
10:1)
และในกรณีที่จำเป็นต้องใช้น้ำมันที่มีเลขออกเทนต่ำ
ก็อาจต้องใช้การตั้งองศาการจุดระเบิดช่วย
คือตั้งให้หัวเทียนทำการจุดระเบิดในจังหวะที่ลูกสูบเคลื่อนที่มาจนถึงตำแหน่งสูงสุดแล้วและกำลังเคลื่อนที่ลง
เครื่องยนต์ดีเซลนั้นดูดอากาศเพียงอย่างเดียวเข้ากระบอกสูบ
จากนั้นจึงทำการอัดอากาศนั้นให้มีปริมาตรเล็กลงซึ่งทำให้ความดันและอุณหภูมิของอากาศที่ถูกอัดนั้นเพิ่มสูงตามไปด้วย
ในทางทฤษฎีนั้นไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซล
ยิ่งเครื่องยนต์ทำงานด้วยอัตราส่วนการอัดที่สูงขึ้น
จะทำให้ประสิทธิภาพของวัฏจักรกำลังนั้นสูงตามไปด้วย
ที่ค่าอัตราส่วนการอัดเท่ากัน
ประสิทธิภาพของวัฏจักรเบนซิน
(Otto
cycle) จะสูงกว่าของวัฏจักรดีเซล
แต่ด้วยด้วยการที่เครื่องยนต์ดีเซลนั้นแก๊สที่อัดนั้นมีแต่อากาศ
จึงทำให้สามารถอัดด้วยอัตราส่วนการอัดที่สูงกว่าเครื่องยนต์เบนซินได้
(ระดับประมาณ
20:1)
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลสามารถประหยัดน้ำมันได้มากกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน
ไอเสียที่ระบายออกจากเครื่องยนต์จะไหลออกทางท่อไอเสีย
แก๊สไอเสียนี้จะมีอุณหภูมิสูง
ส่วนที่ว่าสูงแค่ไหนนั้นก็ดูได้จากการที่เขาไม่ทาสีระบบท่อไอเสีย
(คือตั้งแต่ท่อร่วมไอเสีย
(exhaust
manifold) ที่รับแก๊สจากแต่ละกระบอกสูบมารวมกัน
ไปจนถึงท่อไอเสีย (exhaust
pipe) ที่ปล่อยไอเสียออกทางด้านหลังรถ)
เพราะมันไม่มีสีที่ทนอุณหภูมิสูงได้
(ทาไปก็ไหม้หมด)
ประเด็นเรื่องอุณหภูมิของท่อไอเสียนี้มักจะไม่ได้รับการพิจารณาในแง่ที่ว่าถ้ามันสูงพอมันก็สามารถทำให้ไอเชื้อเพลิงนั้นจุดระเบิดได้เช่นเดียวกัน
วารสาร
Loss
Prevention Bulletin Vol. 13 ปีค.ศ.
๑๙๗๗
(พ.ศ.
๒๕๒๐)
หน้า
๘
ยกเหตุการณ์การระเบิดที่เกิดขึ้นในระหว่างการถ่ายแก๊สบิวเทนจากรถบรรทุก
(มีรถบรรทุก
๒ คันอยู่ในเหตุการณ์)
เนื้อหาในเอกสาร
(รูปที่
๑)
กล่าวว่าในระหว่างที่ทำการถ่ายแก๊สบิวเทนออกจากรถนั้นสังเกตเห็นไอของบิวเทนรั่วออกมา
(ผลจากข้อต่อสายยางที่ไม่แน่นและสายยางมีรูรั่ว)
พนักงานขับรถจึงส่งสัญญาณเตือนและปิดการทำงานของปั๊มถ่ายบิวเทน
แต่ไม่ทันเวลา
ไอบิวเทนที่รั่วออกมานั้นพบกับแหล่งพลังงานและเกิดการลุกติดไฟ
แหล่งพลังงานที่ทำให้แก๊สลุกติดไฟนั้นเชื่อว่าเป็นส่วนของเครื่องยนต์ที่ร้อนหรือไม่ก็ท่อไอเสีย
นอกจากนี้พนักงานขับรถทั้งสองคนยังรายงานว่า
ก่อนที่จะเกิดเหตุไฟไหม้นั้น
เครื่องยนต์ของรถมีการเร่งเครื่องได้เอง
แก๊ส
LPG
(พวกโพรเพนและบิวเทน)
นั้นจะบรรจุในถังความดันที่เก็บแก๊สในรูปของของเหลวภายใต้ความดันที่อุณหภูมิห้อง
และการถ่ายแก๊สจากถังใบหนึ่งไปยังถังอีกใบหนึ่งด้วยการใช้ปั๊มก็เป็นการถ่ายในสภาพที่เป็นของเหลวภายใต้ความดัน
ดังนั้นเมื่อรั่วออกมาจึงพอจะมองเห็นเป็นละอองไอได้
เมื่อแก๊สที่รั่วออกมาจากรูรั่วนั้นเกิดการจุดระเบิด
เปลวไฟที่เกิดจากการเผาไหม้ก็จะวิ่งจากแหล่งจุดระเบิดกลับไปยังจุดที่รั่วออกมาและเกิดการลุกไหม้ต่อที่นั่น
(หาจุดที่รั่วออกง่ายกว่าหาจุดเริ่มต้นการระเบิด)
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สามารถตามกลับไปได้ว่าจุดที่เกิดการรั่วนั้นอยู่ที่ไหน
ซึ่งในเหตุการณ์นี้พบอยู่สองตำแหน่งคือที่ตัวสายยาง
(ที่การเผาไหม้ตรงตำแหน่งนั้นทำให้เกิดรูขนาด
2
นิ้ว)
และที่ข้อต่อของสายยางเข้ากับท่อ
รูปที่
๒
การระเบิดที่เกิดจากเครื่องยนต์ดีเซลที่ดูดเอาอากาศที่ผสมกับไอระเหยของไซโคลเฮกเซนเข้าไป
ประเด็นที่เราควรตั้งข้อสังเกตตรงนี้คือ
ปรกติแล้วแก๊สหุงต้มที่เราใช้เป็นเชื้อเพลิงกันตามบ้านเรือนนั้นเวลาที่มันรั่วออกมา
แม้ว่าจะมีปริมาณเพียงเล็กน้อยก็ตาม
เราก็จะได้กลิ่นเหม็นแล้ว
ปรกติแล้วแก๊สไฮโดรคาร์บอน
C1-C4
เป็นแก๊สที่ไม่มีสี
ไม่มีกลิ่น
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยจึงมักทำการเติมสารที่มีกลิ่นเหม็น
(พวก
mercaptan)
ผสมเข้าไปเพื่อให้รู้ว่ามีแก๊สรั่วหรือไม่
(คือถ้าได้กลิ่นเหม็นก็แสดงว่ามีแก๊สรั่ว)
แต่ในเหตุการณ์นี้แก๊สบิวเทนได้รั่วออกมาในปริมาณที่มากถึงระดับหนึ่งแล้วโดยที่พนักงานขับรถที่ทำการขนถ่ายบิวเทนอยู่นั้นไม่ทราบเรื่อง
ส่อให้เห็นว่าแก๊สบิวเทนที่ทำการขนถ่ายอยู่นั้นไม่มีการผสมสารที่มีกลิ่นเข้าไป
ซึ่งก็มีอยู่หลายงานเช่นกันที่ต้องการแก๊สบิวเทนที่ไม่มีการผสมสารให้กลิ่น
ตัวอย่างหนึ่งของงานเช่นนี้ได้แก่การนำแก๊สบิวเทนไปใช้เป็น propellent gas ในกระป๋องสเปรย์ต่าง ๆ
ตัวอย่างหนึ่งของงานเช่นนี้ได้แก่การนำแก๊สบิวเทนไปใช้เป็น propellent gas ในกระป๋องสเปรย์ต่าง ๆ
ตามรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรูปที่
๑ นั้นแสดงให้เห็นว่ามีการรั่วไหลของแก๊สออกมาเป็นระยะหนึ่งแล้ว
นั่นคือการที่เครื่องยนต์ดีเซลของรถนั้นเร่งเครื่องได้ด้วยตนเอง
ตรงนี้เป็นผลจากการที่เครื่องยนต์ดูดเอาอากาศที่มีบิวเทนผสมอยู่เข้าไป
ในกรณีเช่นนี้มีบันทึกไว้เหมือนกันว่าในบางกรณีนั้นแม้ว่าจะปิดสวิตช์เครื่องยนต์
คือตัดน้ำมันไม่ให้จ่ายไปยังเครื่องยนต์
แต่เครื่องยนต์ก็ยังทำงานต่อไปและเร่งความเร็วรอบขึ้นเรื่อย
ๆ อันเป็นผลจากเชื้อเพลิงที่ผสมอยู่กับอากาศที่เครื่องยนต์ดูดเข้าไป
Prof.
Trevor Kletz
เคยได้บรรยายเหตุการณ์การระเบิดที่เกิดจากการที่เครื่องยนต์ดีเซลดูดเอาไอระเหยของไซโคลเฮกเซน
(cyclohexane
C6H12) เข้าไปไว้ในเอกสาร
ICI
Safety Newsletter No. 23 ในปีค.ศ.
๑๙๗๐
(รูปที่
๒ -
หาดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ตได้)
ในเหตุการณ์นั้น
(ที่เกิดขึ้นในปีค.ศ.
๑๙๖๙)
ไอระเหยของไซโคลเฮกเซนที่ผสมอยู่กับอากาศที่เครื่องยนต์ดูดเข้าไป
ทำให้เครื่องยนต์ดีเซลเร่งตนเอง
(แม้ว่าจะตัดการจ่ายน้ำมันแล้วก็ตาม)
จนกระทั่งเกิด
flash
back ออกมาจากเครื่องยนต์
จากเหตุการณ์ดังกล่าวจึงส่งผลให้เกิดการพัฒนาอุปกรณ์เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นซ้ำอีก
แต่การจุดระเบิดตามเหตุการณ์ในรูปที่
๑ และเหตุการณ์ในรูปที่ ๒
นั้นแตกต่างกัน เหตุการณ์ในรูปที่
๒
นั้นการจุดระเบิดเกิดจากที่วิ่งย้อนออกมาจากช่องดูดอากาศเข้าของเครื่องยนต์
ดังนั้นถ้าสามารถหยุดการทำงานของเครื่องยนต์ได้
ก็จะไม่มีการเกิดเปลวไฟวิ่งย้อนออกมา
ส่วนเหตุการณ์ในรูปที่ ๑
นั้นเกิดจากพื้นผิวที่ร้อนจัด
ดังนั้นแม้ว่าจะไม่มีการดูดเอาไอเชื้อเพลิงเข้าไปในเครื่องยนต์
แต่ถ้าตัวเครื่องยนต์หรือท่อไอเสียนั้นมีอุณหภูมิสูงมากพอ
ก็จะสามารถจุดระเบิดไอระเหยของเชื้อเพลิงที่มาสัมผัสกับพื้นผิวดังกล่าวได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น