"ถ้าเราไม่เรียนรู้ความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
เราก็มีสิทธิที่จะทำผิดแบบเดียวกันนั้นซ้ำอีก"
รูปที่
๗ ตัวอย่างโครงสร้างวาล์วเหล็กหล่อที่เกิดอุบัติเหตุ
(ภาพจากบทความ)
ฉบับนี้ยังคงเป็นเรื่องเล่าวารสาร
Loss
Prevention Bulletin โดยเป็นฉบับ
vol.
31 ปีค.ศ.
1980 (พ.ศ.
๒๕๒๓)
ในหัวข้อ
"Valve
limitations" ที่ไม่ปรากฏชื่อผู้เขียนบทความ
และเพื่อให้เรื่องต่อเนื่องจากฉบับที่แล้ว
(ที่มีอยู่
๓ เรื่อง)
ก็จะขอนับลำดับเรื่องและรูปภาพต่อจากฉบับที่แล้ว
เรื่องที่
๔ เปิดแต่ไม่เปิด
กรดกำมะถัน
(H2SO4)
เข้มข้นเป็นกรดตัวหนึ่งที่มีการใช้กันมากในอุตสาหกรรม
โดยปรกตินั้นเหล็กจะไม่ทนต่อกรด
แต่ในกรณีของกรดกำมะถันเข้มข้น
(ที่ไม่ได้มีอุณหภูมิสูงเกินไปและในระบบที่อัตราการไหลไม่สูง)
สามารถใช้โลหะเหล็กในระบบท่อและวาล์วที่ใช้ในการลำเลียงและเก็บรักษากรดกำมะถันได้
(กรดเข้มข้นมันไม่ค่อยจะมี
H3O+
ที่จะไปดึงอิเล็กตรอนจาก
Fe
ที่ทำให้เกิดแก๊สไฮโดรเจนและไอออน
Fe2+)
และโลหะตัวหนึ่งที่นำมาใช้กันก็คือเหล็กหล่อ
(cast
iron) ที่ใช้ในการหล่อขึ้นรูป
valve
body และ
bonnet
วาล์วชนิด
rising-stem
นั้น
(รูปที่
๗ และ ๙)
ปลายข้างหนึ่งของตัว
stem
จะยึดอยู่กับแผ่น
gate
หรือ
wedge
(ในกรณีของ
gate
valve) หรือ
plug
(ในกรณีของ
globe
valve) และปลายอีกข้างหนึ่งนั้นจะมีการทำเกลียวที่ขันร้อยผ่านกับ
hand
wheel เวลาที่หมุน
hand
wheel เพื่อเปิดหรือปิดวาล์ว
ตัว hand
wheel จะไม่มีการเลื่อนระดับขึ้นลง
จะมีเฉพาะตัว stem
(ที่เห็นเป็นสกรูในรูปที่
๙)
ที่เลื่อนขึ้น
(เวลาเปิดวาล์ว)
หรือลง
(เวลาปิดวาล์ว)
ให้เห็น
เหตุเกิดระหว่างการซ่อมบำรุงที่ต้องมีการระบายกรดกำมะถันที่ตกค้างอยู่ในระบบออก
ในการนี้ผู้ปฏิบัติงานได้ทำการเปิดวาล์วระบาย
(ที่เป็นชนิด
rising-stem
gate valve ที่มีโครงสร้างแบบที่แสดงในรูปที่
๗)
โดยไม่พบว่ามีกรดกำมะถันไหลออกมาทางรูระบาย
ทำให้ผู้ปฏิบัติงานเข้าใจว่าในระบบไม่มีกรดกำมะถันตกค้างอยู่
แต่เมื่อทำการถอดระบบท่อกลับพบว่ามีกรดกำมะถันรั่วไหลออกมา
จากการตรวจสอบพบว่าตัวสลัก
(pin)
ที่ใช้ในการยึดตัวแผ่น
gate
นั้นหลุดออกจากตำแหน่ง
ทำให้เมื่อทำการหมุน hand
wheel นั้นจึงมีเพียงเฉพาะตัว
stem
ที่เลื่อนขึ้น
โดยที่ตัวแผ่น gate
ยังคงอยู่ในตำแหน่งปิดเหมือนเดิม
ทำให้ผู้ปฏิบัติงานเมื่อไม่เห็นมีกรดในระบบไหลออกมาจึงเข้าใจว่าในระบบนั้นไม่มีกรดค้างอยู่แล้ว
วิธีการที่เหมาะสมกว่าในการยึดตัว
stem
เข้ากับแผ่น
gate
คือการทำเป็นเหมือนสลักยึดเข้าด้วยกันดังตัวอย่างที่แสดงในรูปที่
๘ ข้างล่าง
รูปที่
๘ ตัวอย่างการยึด stem
เข้ากับแผ่น
gate
โดยไม่ต้องใช้หมุดหรือการขันเกลียว
แต่ทำเป็นสลักที่สวมเข้าด้วยกัน (ภาพจาก
http://www.williamsvalve.com/images/drawingbmgatev.jpg)
รูปที่
๙ Gate
valve ชนิด
rising-stem
คือตัว
hand
wheel จะอยู่กับที่โดยที่ตัว
stem
หรือสกรูที่เห็นในภาพจะเลื่อนขึ้นเมื่อเปิดวาล์ว
และเลื่อนต่ำลงเมื่อปิดวาล์ว
ตัว bonnet
ของวาล์วยึดเข้ากับ
valve
body ด้วยการใช้นอตหลายตัวยึด
ซึ่งความตึงของนอตแต่ละตัวนั้นควรที่จะเท่ากัน
เรื่องที่
๕ ขันนอตตึงไม่เท่ากัน
คาร์บอนที่ผสมอยู่ในเนื้อเหล็กส่งผลต่อทั้งความแข็งและจุดหลอมเหลวของเหล็ก
เหล็กที่มีคาร์บอนผสมอยู่สูงจะมีความแข็งเพิ่มขึ้น
แต่ความเหนียวจะลดลง
(คือแตกหักได้ง่ายขึ้นแทนที่จะยืดตัวออก)
และในขณะเดียวกันจะมีจุดหลอมเหลวที่ลดต่ำลง
ทำให้เหมาะแก่การขึ้นรูปด้วยการหล่อ
(เพราะไม่ต้องใช้อุณหภูมิสูงมากในการหลอมเหลวและไหลเข้าเติมเต็มช่องว่างในแม่แบบได้ง่าย)
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับระบบท่อกรดกำมะถันเข้มข้นเช่นเดิม
โดยเป็นวาล์วแบบเดียวกับในเรื่องที่
๔ (วาล์วที่ทำจากเหล็กหล่อหรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า
cast
iron) ก่อนหน้าที่จะเกิดอุบัติเหตุ
๓ วันได้มีการซ่อมบำรุงวาล์ว
โดยในการซ่อมบำรุงนั้นมีการถอด
bonnet
ออกจาก
valve
body (ดูตัวอย่างวาล์วได้ในรูปที่
๙ ที่คิดว่าน่าจะมีหน้าตาใกล้เคียงกับในรูปที่
๘)
และเมื่อซ่อมบำรุงเสร็จแล้วก็ทำการประกอบ
bonnet
เข้าที่เดิม
๓ วันหลังจากซ่อมบำรุง ตัว
bonnet
เกิดการแตก
ทำให้กรดกำมะถันรั่วไหลออกมา
ผลการตรวจสอบพบว่านอตที่ใช้ในการยึด
bonnet
เข้ากับ
valve
body นั้นถูกขันตึงไม่เท่ากัน
ทำให้เกิดความเค้นตรงบริเวณส่วนที่หน้าแปลนของ
bonnet
ที่นำไปสู่การแตกร้าว
โดยหลักแล้วในการขันนอตหน้าแปลน
(หรือการขันนอตหลายตัวที่ยึดกันเป็นวงเช่นนอตยึดล้อรถยนต์)
จะค่อย
ๆ
ทำการขันนอตให้พอแค่ตึงมือแล้วก็เปลี่ยนไปขันนอตตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ทำอย่างนี้ซ้ำไปเรื่อย ๆ
จนขับครบทุกตัวก่อน
จากนั้นก็มาเริ่มขันแต่ละตัวให้ตึงมือเพิ่มขึ้นอีกทีละนิด
(ต้องไม่ลืมขันตอนสลับกันระหว่างสองตัวที่อยู่ตรงข้ามกันด้วย)
ถ้าจะให้ดีก็ควรมีประแจทอร์ค
(torque
wrench)
ช่วยในการขันเพื่อจะได้มั่นใจว่านอตทุกตัวได้รับการขันตึงเท่ากัน
ความเค้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้วัสดุ
(ไม่ว่าจะเป็นโลหะหรือพอลิเมอร์)
ทำปฏิกิริยากับสารเคมีตัวอื่นได้ง่ายขึ้น
ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า
"stress
corrosion cracking"
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือเหล็กเส้นที่ใช้ในงานก่อสร้างที่จะผลิตมาเป็นเส้นยาว
(มาตรฐานก็อยู่ที่
๑๐ หรือ ๑๒ เมตร)
แต่เพื่อให้สะดวกในการขนส่งก็จะมีการงอครึ่ง
ตรงบริเวณที่งอจะเกิดสนิมได้ง่ายกว่าบริเวณอื่น
การขันนอตหน้าแปลนที่ขันตึงไม่เท่ากันก็ส่งผลในตำแหน่งที่ขันตึงมากเกินไปมีความเค้นสูงเป็นพิเศษ
ความเค้นนี้ยังอาจเกิดได้จากความดันที่อาจเกิดจากความดันแก๊สและ/หรือน้ำหนักของเหลวที่บรรจุอยู่ภายในภาชนะบรรจุ
การออกแบบถังพลาสติกขนาดใหญ่ที่ใช้บรรจุสารเคมีก็ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย
โดยเฉพาะตรงบริเวณก้นถัง
การระเบิดที่
Flixborough
ในปีค.ศ.
๑๙๗๔
ที่ประเทศอังกฤษ
ก็เริ่มจากการที่ถังปฏิกรณ์ลูกหนึ่งเกิดการแตกร้าวอันเป็นผลจาก
stress
corrosion cracking รายละเอียดเรื่องนี้อ่านเพิ่มเติมได้ใน
Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๑๑๓ วันศุกร์ที่
๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เรื่อง
"Flixborough explosion"
เรื่องที่
๖ ของแถมที่ติดมา
ในกรณีของ
gate
valve (หรือ
globe
valve) นั้น
เวลาที่แผ่น gate
ยกตัวขึ้น
process
fluid จะสามารถไหลเข้าไปในส่วนของ
bonnet
ได้
(ดูรูปที่
๗)
และถ้าเราทำการถอดวาล์วตัวนั้นออกจากระบบท่อโดยที่วาล์วอยู่ในตำแหน่งเปิด
process
fluid ที่ค้างอยู่ตัว
bonnet
ก็จะระบายออกมาได้
แต่ในกรณีของ
ball
valve นั้นแตกต่างออก
ตัว
ball
valve
นั้นจะมีปะเก็นที่เป็นรูปวงแหวนทำหน้าที่ป้องกันการรั่วไหลผ่านช่องว่างระหว่างตัว
valve
body กับตัวลูกบอล
(ที่ลูกศรสีแดงชึ้นในรูปที่
๑๐)
เมื่อวาล์วอยู่ในตำแหน่งปิด
และเมื่อเปิดวาล์วนั้น
process
fluid จะไหลผ่านรูที่ตัวลูกบอลโดยไม่มีการไหลผ่านช่องว่างระหว่างตัว
valve
body กับตัวลูกบอล
แต่เมื่อทำการปิดวาล์ว
process
fluid
ที่ค้างอยู่ในรูของลูกบอลจะรั่วไหลเข้าไปค้างอยู่ในช่องว่างระหว่างตัว
valve
body กับตัวลูกบอลได้
ดังนั้นในกรณีที่มีการซ่อมบำรุง
ball
valve ที่ใช้กับ
process
fluid ที่สามารถสร้างความดันได้ด้วยตนเอง
(เช่นเป็นของเหลวอันเป็นผลจากความดันที่สูงในระบบ
หรือเป็นของเหลวอันเป็นผลจากอุณหภูมิทำงานที่ต่ำ
แต่เมื่อมาอยู่ในสภาวะความดันบรรยากาศหรืออุณหภูมิห้อง
ก็จะกลายเป็นแก๊ส)
หรือเป็นสารที่อันตราย
(เช่นคลอรีน)
ผู้ปฏิบัติงานซ่อมบำรุงจึงควรต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการถอดแยกชิ้นส่วน
ball
valve ดังกล่าว
รูปที่
๑๐ ช่องว่างระหว่างตัว
ball
กับ
valve
body ตรงลูกศรสีแดงชี้คือบริเวณที่
proces
fluid นั้นเข้ามาค้างอยู่ได้เมื่อทำการปิดวาล์ว
โดยเมื่อปิดวาล์ว process
fluid ที่อยู่ในรูเจาะทะลุผ่านตัว
ball
จะไหลเข้ามาค้างในช่องว่างเหล่านี้ได้
แม้ว่าจะทำการถอดวาล์วออกจากระบบท่อแล้วก็ตาม
(รูปจาก
http://copelandvalve.com)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น