ดูเหมือนว่าปีพ.ศ.
๒๕๓๐
(ค.ศ.
๑๙๘๗)
จะไม่ใช่ปีที่ดีนักสำหรับโรงกลั่นน้ำมันของบริษัท
British
Petroleum (หรือที่เรียกกันย่อ
ๆ ว่า BP)
ที่เมือง
Grangemouth
ประเทศสก็อตแลนด์
เพราะมีอุบัติเหตุเพลิงไหม้และการระเบิดถึง
๓ ครั้งในเวลาห่างกันเพียงแค่
๓ เดือน และมีผู้เสียชีวิตในอุบัติเหตุแต่ละครั้งด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นอุบัติเหตุรุนแรงสองครั้งแรกนั้นยังเกิดห่างกันในเวลาไม่ถึง
๑๐ วันในบริเวณที่อยู่ใกล้กันด้วย
และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือผู้ที่เสียชีวิตทั้งหมดนั้นต่างเป็นผู้ที่ต้องรับผลจากความประมาทหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้อื่น
รายละเอียดการเกิดอุบัติเหตุและการวิเคราะห์หาต้นตอของอุบัติเหตุทั้ง
๓ ครั้งมีรายงานเผยแพร่ไว้ในเอกสาร
"The
fires and explosion at BP Oil (Grangemouth) Refinery Ltd"
ที่จัดทำโดยหน่วยงาน
Health
and Safety Executive (HSE) ของสหราชอาณาจักร
(รูปที่
๑)
ที่ผมได้มาเป็นไฟล์
pdf
ที่มีจำนวน
๔๘ หน้า
จะว่าไปเอกสารฉบับนี้ก็ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษแบบที่อ่านยากอะไร
เพียงแต่มีศัพท์เทคนิคเยอะหน่อยที่สามารถทำให้คนที่กำลังศึกษาอยู่นั้นอ่านไม่เข้าใจได้
และบางคำยังเป็นศัพท์เทคนิคแบบ
British
English ไม่ใช่
American
English ดังนั้นในบทความชุดนี้จะพยายามแยกแต่ละเหตุการณ์ออกเป็นตอนย่อย
ๆ
และจะพยายามอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้อ่านที่กำลังศึกษาอยู่นั้นมองภาพเหตุการณ์ได้ชัดเจนขึ้น
เหตุการณ์แรกเกิดเมื่อวันศุกร์ที่
๑๓ มีนาคม ๒๕๓๐ (วันดีซะด้วย)
กล่าวคือในขณะที่ผู้รับเหมากกำลังถอด
"ring
spacer" ออกจากท่อ
flare
(ท่อขนาด
760
mm หรือ
30
นิ้ว
สูงจากระดับพื้นประมาณ 4.6
m) เพื่อที่จะถอดวาล์วที่รั่วอยู่ออกมาซ่อม
มีไฮโดรคาร์บอนเหลวจำนวนมากที่ค้างอยู่ในท่อรั่วไหลออกมาด้วยความดัน
ตกลงสู่พื้นเบื้องล่างนั่งร้านที่ผู้ปฏิบัติงานจำนวน
๔ คนกำลังทำงานเพื่อถอด ring
spacer อยู่
ไฮโดรคาร์บอนเหลวที่ตกลงสู่พื้นแผ่กระจายไปรอบพื้นรอบนั่งร้านก่อนที่ไอระเหยจะถูกจุดระเบิดด้วย
air
compressor ที่ใช้จ่ายอากาศหายใจให้กับผู้ปฏิบัติงาน
ส่งผลให้ผู้ปฏิบัติงานจำนวน
๒ รายที่หนึออกมาไม่ทันเสียชีวิต
โดยผู้หนึ่งเสียชีวิตอยู่ที่บันไดด้านล่างของนั่งร้าน
และอยู่ผู้หนึ่งเสียชีวิตอยู่บนนั่งร้าน
การตัดแยกระบบหรือ
isolation
คือการตัดการเชื่อมต่อเพื่อป้องกันไม่ให้มี
process
fluid รั่วไหลเข้าไปในระบบที่จะทำการซ่อมบำรุง
โดยหลักการทำงานทั่วไปแล้วจะถือว่าการปิดกั้นการไหลด้วยการใช้วาล์วเพียงตัวเดียวนั้นไม่ปลอดภัยเพียงพอสำหรับงานซ่อมบำรุง
เพราะวาล์วที่ติดตั้งอยู่ในระบบท่อนั้นเมื่อใช้งานไปเรื่อย
ๆ มันมีโอกาสที่จะเสื่อมสภาพจนทำให้ไม่สามารถปิดได้สนิท
ต้องมีวิธีการอื่นเสริม
เช่น
-
การถอดท่อชิ้นส่วนท่อสั้น
ๆ (ที่เรียกว่า
spool
piece)
ที่เชื่อมระหว่างระบบที่ต้องการตัดแยกกับหน่วยผลิตที่เดินเครื่องอยู่นั้นออก
(ทำให้ไม่มีการเชื่อมต่อกันทางกายภาพหรือไม่มี
physical
connection ระหว่างกัน)
-
การใช้ระบบ
double
block and bleed valve (การใช้วาล์วปิดกั้นสองตัวที่ต่ออนุกรมกันอยู่
และมีการติดตั้งวาล์วระบาย
(ที่เรียกว่า
bleed
valve) process fluid ที่อาจรั่วผ่าน
block
valve ด้าน
process
fluid
ให้ระบายไปยังตำแหน่งที่ปลอดภัยแทนที่จะรั่วไหลต่อเข้าไปในระบบที่กำลังทำการซ่อมบำรุง
-
การใช้
slip
plate
สอดแทรกเข้าไปตรงระหว่างหน้าแปลนของตัววาล์วและท่อที่มุ่งเข้าสู่ด้านระบบที่ต้องการปิดแยก
แต่การทำเช่นนี้ได้ระบบท่อต้องมีความยืดหยุ่นพอที่จะง้างหน้าแปลนของวาล์วและท่อออกจากกันจนกว้างพอที่จะสอด
slip
plate ได้
แต่ถ้าเป็นท่อขนาดใหญ่หรือเป็นเส้นท่อที่ไม่มีความยืดหยุ่น
ตอนออกแบบท่อก็ต้องมีการติดตั้ง
ring
spacer เอาไว้
พอจะทำการซ่อมบำรุงก็จะถอดเอา
ring
spacer ออกแล้วใส่
"Blank
spade" เข้าไปแทน
รูปที่
๑ ปกหน้าของรายงานการสอบสวน
ไม่มีรายละเอียดว่าเป็นของเหตุการณ์ใด
แต่สงสัยว่าอาจจะเป็นกรณีของไฟไหม้ท่อระบบ
flare
เพราะในเหตุการณ์ดังกล่าวมีรถเครนเกี่ยวข้องกับเหตุที่เกิด
และในภาพนี้ก็มีรถเครนอยู่ที่ตำแหน่งที่เหมือนกับกำลังยกอะไรสักอย่างจากระบบท่อ
และมีสิ่งที่เหมือนกับ air
compressor ปรากฏอยู่ในเปลวเพลิง
ว่าแต่ว่า
"ring
spacer" และ
"blank
spde" หน้าตาเป็นอย่างไร
สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้จักก็สามารถดูได้ในรูปที่
๒ ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงคุ้นในชื่อของ
"slip
plate" หรือ
"slip
ring" มากกว่า
รูปที่
๒ (บน)
เวลาใช้งานปรกติก็จะใส่
ring
spacer เอาไว้เพื่อเติมเต็มช่องว่างระหว่างหน้าแปลนของวาล์วของระบบท่อ
(กลาง)
ถ้าต้องการตัดแยกระบบ
(isolation)
ก็จะถอดเอา
ring
spacer ออกแล้วใส่
blank
spade เข้าไปแทน
(การทำงานนี้ในเอกสารใช้คำว่า
"spading")
เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีการไหลเชื่อมต่อกันแม้ว่าวาล์วจะปิดแล้ว
เพราะมันมีโอกาสที่ว่าวาล์วที่ใช้งานไปนาน
ๆ จะมีปัญหา
แม้ว่าจะปิดวาล์วแล้วแต่ก็ยังมีการรั่วไหลผ่านวาล์วได้
(ล่าง)
ถ้าต้องการถอดเอาวาล์วไปซ่อม
ก็จะปิดหน้าแปลนท่อทั้งสองฝั่งด้วย
blank
spade หรือ
blind
flange
ในรูปที่
๒ (บน)
นั้น
สำหรับท่อขนาดใหญ่จะไม่สามารถง้างเพื่อใส่
slip
plate ได้
ดังนั้นตอนออกแบบระบบท่อก็จะเว้นที่ว่างเอาไว้ใส่
"ring
spacer" ที่มีลักษณะเป็นวงแหวนที่มีความหนา
มีขนาดเท่าหน้าแปลนและมีรูสำหรับให้นอตที่ใช้ร้อยหน้าแปลนสอดผ่าน
(คือ
ring
spacer จะถูกบีบเอาไว้ระหว่างหน้าแปลน)
ถ้าต้องการปิดแยกระบบก็จะทำการถอด
ring
spacer ออกแล้วใส่
blank
spade ที่มีลักษณะเป็นแผ่นโลหะกลมแบนเข้าไปแทนดังแสดงในรูปที่
๒ (กลาง)
ความหนาของ
blank
spade
ต้องมั่นใจว่ามากพอที่จะรับความดันที่เกิดขึ้นถ้าหากมีการรั่วไหลของ
process
fluid ผ่านวาล์วเข้ามายังที่ว่างระหว่างวาล์วกับ
blank
spade ได้
แต่ถ้าต้องการถอดเอาวาล์วออกไปซ่อม
ก็ต้องปิดปลายท่อทั้งสองข้างด้วย
blank
spade หรือ
blind
flange เอาไว้ด้วย
เพื่อป้องกันไม่ให้มี process
fluid รั่วไหลออกจากระบบ
หรืออากาศรั่วไหลเข้าไปในระบบ
แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ
flare
system
หรือระบบเผาแก๊สทิ้งที่เป็นต้นเหตุของเรื่องกันก่อนดีกว่าว่ามันคืออะไรและมีไว้ทำไม
ระบบเผาแก๊สทิ้ง
(flare
system) เป็นระบบ
safety
ของโรงงาน
ทำหน้าที่เผาแก๊สเชื้อเพลิงที่ถูกระบายออกมาจากหน่วยต่าง
ๆ ของโรงงาน
(ไม่ว่าจะเป็นการระบายเพื่อปรับความดันหรือองค์ประกอบของแก๊ส
หรือลดความดันที่สูงเกิน
หรือระบายทิ้งเพื่อทำการซ่อมบำรุง)
ระบบนี้มีทั้งแบบที่เป็นปล่องสูงขึ้นไปที่เรียกว่า
elevated
flare ที่เห็นได้ชัดเจนจากภายนอกโรงงาน
(เพราะมันสูงหลายสิบเมตรหรือระดับร้อยเมตร
ที่เห็นเป็นปล่องมีไฟลุกติดอยู่ข้างบน)
หรืออยู่ที่ระดับประมาณพื้นดินที่เรียกว่า
ground
flare (ที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกเพราะจะมีโครงสร้างบังเอาไว้)
ในกรณีของโรงงานที่มีระบบ
flare
เพียงตัวเดียวนั้น
ท่อระบายแก๊สนับจากทางด้านขาออกของวาล์วระบายความดันไปจนถึงตัวปล่อง
flare
จะไม่มีการติดตั้งวาล์วปิด-เปิดใด
ๆ
ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถระบายแก๊สออกไปยังระบบเผาแก๊สทิ้งได้ตลอดเวลา
ความสูงของ
elevated
flare นั้นขึ้นอยู่กับปริมาณแก๊สสูงสุดที่คาดว่าจะมีการเผาทิ้ง
กล่าวคือถ้าแก๊สที่จะเผามีปริมาณมาก
ความสูงของปล่อง flare
ก็จะสูงตามไปด้วย
ทั้งนี้เพื่อลดอันตรายจากการแผ่รังสีของเปลวไฟลงมายังพื้นดิน
ในกรณีที่โรงงานมีหน่วยผลิตมากมายหลายหน่วย
(เช่นในโรงกลั่นน้ำมัน)
ก็อาจติดตั้งระบบเผาแก๊สทิ้งเอาไว้หลายระบบ
โดยอาจเป็นระบบอิสระแยกจากกันหรือสามารถเชื่อมต่อกันได้
อย่างเช่นในกรณีของโรงกลั่นน้ำมันของ
BP
ที่
Grangemouth
นี้ที่มีระบบ
Elevated
flare สูง
91
m จำนวน
3
ตัวที่สามารถเชื่อมต่อกันได้
โดยที่ถ้าต้องการซ่อมบำรุงระบบ
flare
ตัวใดตัวหนึ่งก็สามารถย้ายเส้นทางการไหลของแก๊สให้ไปยังระบบ
flare
ตัวอื่นแทนได้
อย่างเช่นในกรณีนี้ที่พบว่าวาล์วของระบบ
flare
ตัวที่
1
มีปัญหาและจำเป็นต้องมีการถอดออกมาซ่อมบำรุง
ก็เลยมีการวางแผนที่จะทำการตัดแยกระบบ
flare
ตัวที่
1
ออกและเปลี่ยนเส้นทางการไหลของแก๊สที่เดิมไหลมายัง
flare
ตัวที่
1
นี้ให้ไหลไปยังระบบ
flare
ตัวที่
2
แทน
เรื่องระบบเผาแก๊สทิ้งหรือ
flare
system นี้เคยเขียนไว้ใน
Memoir
ปีที่
๕ ดังต่อไปนี้
ซึ่งขอแนะนำให้ผู้ที่กำลังศึกษาอยู่หรือไม่เคยเห็นระบบ
flare
อ่านเพิ่มเติม
เพื่อว่าเวลาไปอ่านบทความต้นฉบับแล้วจะได้เข้าใจได้ดีขึ้น
ฉบับที่
๕๘๔ วันอาทิตย์ที่ ๓ มีนาคม
๒๕๕๖ เรื่อง "ระบบเผาแก๊สทิ้ง (Flare system) ตอนที่ ๑ ระบบท่อรับแก๊ส"
ฉบับที่
๕๘๖ วันพุธที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๖
เรื่อง "ระบบเผาแก๊สทิ้ง (Flare system) ตอนที่ ๒ Knockout drum"
ฉบับที่
๕๘๗ วันศุกร์ที่ ๘ มีนาคม
๒๕๕๖ เรื่อง "ระบบเผาแก๊สทิ้ง (Flare system) ตอนที่ ๓ Seal drum"
ฉบับที่
๕๙๑ วันอังคารที่ ๑๙ มีนาคม
๒๕๕๖ เรื่อง "ระบบเผาแก๊สทิ้ง (Flare system) ตอนที่ ๔ Purge reduction seal และ Flare tip"
ฉบับที่
๕๙๓ วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ มีนาคม
๒๕๕๖ เรื่อง "ระบบเผาแก๊สทิ้ง (Flare system) ตอนที่ ๕ Ground flare"
ฉบับที่
๖๐๐ วันจันทร์ที่ ๑ เมษายน
๒๕๕๖ เรื่อง "ระบบเผาแก๊สทิ้ง (Flare system) ตอนที่ ๖ Elevated flare"
ฉบับที่
๖๐๔ วันพุธที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๖
เรื่อง "ระบบเผาแก๊สทิ้ง (Flare system) ตอนที่ ๗ ระบบระบบนำกลับแก๊สส่งไปเผาทิ้ง (Flare gas recovery system)"
รูปที่
๓ ระบบเผาแก๊สทิ้ง (flare
system) ของโรงงงาน
ประกอบด้วย flare
3 ตัวที่แต่ละตัวสูง
91
m เส้นประคือส่วนที่ทำการตัดแยกระบบเพื่อที่จะเปลี่ยนวาล์ว
V17
ท่อส่งแก๊สไปยังปล่อง
flare
นั้นจะอยู่บน
"gantry"
(หรือ
"gantry
pipe support" หรือ
"pipe
rack") ที่สูงจากพื้นประมาณ
4.6
เมตร
(ปรกติสะพานลอยคนข้ามถนนจะสูงจากพื้นประมาณ
5
เมตร)
ซึ่ง
gantry
นี้คือโครงสร้างที่ยกระดับท่อให้เดินอยู่สูงจากระพับพื้นดิน
โดยรูปแบบการวางท่อ flare
นั้นปลายท่อทางด้าน
safety
valve จะอยู่ที่ระดับที่สูงกว่าปลายท่อทางด้านปล่อง
flare
โดยมีความลาดเอียงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้เพื่อให้ของเหลว
(ที่อาจหลุดติดมากับแก๊สที่ถูกระบายออกมา
หรือเกิดจากการควบแน่นในระบบท่อ
flare
เมื่อแก๊สเย็นตัวลง)
ไหลลงอย่างต่อเนื่องไปยังถังแยกแก๊ส-ของเหลวที่เรียกว่า
Knockout
drum ที่อยู่ที่ปลายท่อด้านปล่อง
flare
โดยจะอยู่ก่อนที่แก๊สจะไหลเข้าปล่อง
flare
ความลาดเอียงของท่อ
flare
ของโรงกลั่นดังกล่าวมีค่า
1
ใน
400
(1 in 400) ซึ่งหมายความว่าทุก
ๆ ระยะ 400
เมตรท่อจะลดระดับต่ำลง
1
เมตร
ซึ่งความลาดเอียดขนาดนี้ยากที่จะสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ทำให้ยากที่จะบอกได้ว่าการไหลควรเป็นจากทิศทางไหนไปด้านไหน
เว้นแต่จะมีการทำเครื่องหมายระบุเอาไว้
การหุ้มฉนวนเพื่อป้องกันการสูญเสียความร้อนจากในระบบหรือไม่ให้ความร้อนภายนอกรั่วไหลเข้าระบบ
ถ้าเป็น British
English จะเรียกว่า
"lag"
หรือ
"lagging"
ซึ่งก็คือ
"Insulation"
ใน
American
English นั่นเอง
ในรายงานของ HSE
นี้ใช้คำว่า
lagging
สำหรับระบบท่อ
flare
ที่เกิดอุบัติเหตุนั้นไม่ได้มีการหุ้มฉนวน
และช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุนั้นคือช่วงเดือนมีนาคมที่อากาศยังคงหนาวเย็น
จึงทำให้เกิดการควบแน่นเป็นของเหลวในท่อมากเป็นพิเศษ
ประมาณ
๑๕ เดือนก่อนเกิดเหตุ
มีการตรวจพบว่าบางส่วนของแก๊สที่ส่งไปยัง
flare
ตัวที่
1
นั้นมีการรั่วไหลไปยังระบบ
flare
ตัวที่
2
แม้ว่าวาล์ว
V17
(ดูรูปที่
๓)
ที่เป็นชนิด
wedge
gate valve ที่อยู่บนเส้นท่อที่เชื่อมระหว่างระบบ
flare
ตัวที่
1
และระบบ
flare
ตัวที่
2
จะปิดอยู่
ผลการตรวจสอบแสดงให้เห็นว่าแม้ว่าภายนอกนั้นจะเห็นว่าวาล์ว
V17
อยู่ในตำแหน่งปิด
แต่ก็ปิดไม่สนิท
และจำเป็นต้องมีการถอดวาล์ว
V17
ออกมาซ่อมบำรุง
แต่การรั่วไหลดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้จนกว่าจะถึงช่วงเวลาการหยุดเดินเครื่องครั้งใหญ่ครั้งต่อไป
ในรายงานกล่าวถึงการตรวจพบปัญหาการรั่วไหลดังกล่าวจากหน่วย
alkylation
unit และระบบ
flare
gas recovery system ปฏิกิริยา
alkylation
คือปฏิกิริยาการเติมหมู่
alkyl
(-CnHn-1)
ในที่นี้น่าจะเป็นปฏิกิริยาระหว่างโอเลฟินส์โมเลกุลเล็ก
(เช่น
C4)
กับไฮโดรคาร์บอนโมเลกุลเล็ก
(เช่น
C3-C4)
ให้กลายเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวโซ่กิ่ง
(brached
chain) ที่มีเลขออกเทนสูงเหมาะสำหรับการนำไปผสมในน้ำมันเบนซิน
(gasoline)
ส่วน alkylation
อีกแบบหนึ่งคือการเติมหมู่อัลคิลไปที่วงแหวนเบนซีนเพื่อสังเคราะห์สารประกอบ
alkyl
benzene
ส่วนระบบ
flare
gas recovery system
นั้นเป็นการดึงเอาแก๊สไฮโดรคาร์บอนที่จะปล่อยออกทางปล่อง
flare
บางส่วนมาให้เป็นเชื้อเพลิงในโรงงาน
แทนที่จะเผาทิ้งโดยไม่ได้อะไรเลย
ถือว่าเป็นการประหยัดพลังงานอย่างหนึ่ง
แต่การจะทำดังกล่าวได้ต้องมั่นใจว่าปริมาณแก๊สปล่อยทิ้งมีมากพอที่จะเดินเครื่องหน่วยได้อย่างสม่ำเสมอและไม่ควรมีไฮโดรเจนผสมในปริมาณที่มากเกินไป
(ไฮโดรเจนทำให้น้ำหนักโมเลกุลแก๊สลดลง
ก่อให้เกิดปัญหากับการทำงานของคอมเพรสเซอร์ได้
และยังมีอัตราการเผาไหม้ที่รวดเร็วกว่าไฮโดรคาร์บอนมาก)
คำว่า
"wedge"
ที่ปรากฏคู่กับ
gate
valve นั้นเป็นตัวระบุรูปร่างของแผ่น
disk
หรือ
gate
ที่ทำหน้าที่ปิดกั้นเส้นทางการไหล
กล่าวคือเป็นแผ่นที่มีลักษณะพื้นผิวสองด้านเรียวสอบลงล่างเล็กน้อยไม่ได้ขนานกัน
(ถ้าขนานกันจะเรียกว่าเป็นแบบ
parallel
plate gate valve) gate valve ที่แสดงในรูปที่
๔ (เป็นของระบบน้ำดับเพลิงของตึกทำงานของผม)
ก็มีรูปร่างภายนอกคล้ายกับวาล์วตัวที่เป็นต้นเรื่อง
ต่างกันเพียงแค่ขนาด
โดยตัวแผ่น gate
จะยึดติดอยู่กับแกนที่เรียกว่า
stem
หรือ
spindle
ที่มีรูปร่างเป็นสกรูเกลียวที่สอดอยู่ใน
hand
wheel หรือวงล้อสำหรับหมุน
การหมุน hand
wheel สามารถทำให้ตัว
spindle
เคลื่อนที่ขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับทิศทางการหมุน
ซึ่งจะทำให้ตัวแผ่น gate
เคลื่อนที่ขึ้นหรือลงตามไปด้วย
ในกรณีที่ไม่เคยมีการทำเครื่องหมายเอาไว้ก่อนหรือไม่มีการติดตั้ง
valve
positioner เวลาที่หมุน
hand
wheel เพื่อปิดวาล์วจนกระทั่งไม่สามารถหมุนต่อไปได้
(คือเห็นตัว
spindle
ลดระดับต่ำลงจนไม่สามารถลดต่ำลงไปได้อีก)
จะไม่สามารถบอกได้ว่าวาล์วนั้นปิดสนิทหรือยัง
เพราะถ้ามีของแข็งไปตกค้างอยู่ข้างใต้ตัว
gate
ของแข็งนั้นก็จะทำให้ตัว
gate
เคลื่อนลงล่างได้ไม่สุด
ทำให้วาล์วเปิดอยู่เล็กน้อย
(คือยังมีการรั่วไหลผ่านได้)
และเรื่องนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้
สำหรับวันนี้คิดว่าปูพื้นฐานมายาวพอแล้วก็คงจะพอแค่นี้
ตอนต่อไปจะเป็นการเล่าถึงว่าการเตรียมการถอดวาล์วออกมาซ่อมนั้น
ได้มีการทำอะไรกันบ้าง
รูปที่
๔ gate
valve ชนิด
rising
stem ที่มีการติดตั้ง
valve
positioner เข้ากับแกนสกรูที่ใช้ในการเคลื่อนตัวแผ่น
gate
หรือแผ่น
disc
(อันนี้เป็น
positioner
แบบไฟฟ้าที่ส่งสัญญาณตำแหน่งวาล์วว่าเปิดหรือปิดไปยังแผงควบคุม)
เมื่อปิดวาล์วตัวstem
(ที่เห็นเป็นแกนสกรู)
จะเคลื่อนตัวล่าง
และเมื่อเปิดวาล์วตัว stem
จะยกตัวสูงขึ้น
ในกรณีของอุบัติเหตุนี้จุดที่เป็นปัญหาคือมีของแข็งกีดขวางการเลื่อนตัวลงล่างของแผ่น
gate
ทำให้ตัวแผ่น
gate
ไม่สามารถปิดเส้นทางการไหลได้สนิทแม้ว่าจะได้พยายามหมุน
hand
wheel จนไม่สามารถหมุนต่อไปได้แล้วก็ตาม
และผู้ที่ทำการปิดวาล์วนั้นก็ไม่รู้ว่าตัว
stem
ควรจะลดต่ำลงถึงระดับไหนที่แสดงว่าวาล์วนั้นปิดสนิทจริง
การติดตั้งวาล์วเข้ากับท่อในแนวนอนแบบนี้
(รูปที่
๒ ก็เช่นเดียวกัน)
จะทำให้ตัวแผ่น
gate
วางตั้งในแนวดิ่ง
ในรายงานการสอบสวนใช้คำว่า
"mounted
horizontally with wedge gates in vertical position"
ซึ่งเรื่องรูปแบบการติดตั้งวาล์วนี้ก็ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องที่ไม่สามารถปิดวาล์วได้สนิทด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น