ระบบการออก
"Work
permit"
หรือใบอนุญาตทำงานเป็นระบบหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในการทำงาน
โดยทั่วไป work
permit แต่ละใบไม่ได้ครอบคลุมงานทั้งหมด
แต่จะครอบคลุมงานเป็นส่วน
ๆ ไป เพราะผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานแต่ละส่วนนั้นเป็นคนละกลุ่มกัน
ตัวอย่างเช่นในขณะที่โรงงานกำลังเดินเครื่องอยู่และมีความจำเป็นต้องหยุดการใช้งานเครื่องจักรหรืออุปกรณ์บางตัวเพื่อการซ่อมบำรุง
ก็จะมีการออก work
permit
ให้โอเปอร์เรเตอร์ของฝ่ายผลิตทำการตัดแยกระบบเครื่องจักรหรืออุปกรณ์นั้นออกจากกระบวนการผลิต
เช่นด้วยการปิดวาล์วเข้าออก
(ซึ่งอาจต้องคล้องกุญแจล็อกด้วย)
ทำการใส่
slip
plate (หรือ
blank
spade) และระบายสิ่งต่าง
ๆ ที่ตกค้างอยู่ในระบบท่อและอุปกรณ์ออก
เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการเตรียมการแล้วจึงจะออก
work
permit ให้ฝ่ายซ่อมบำรุงเข้าไปจัดการกับเครื่องจักรหรืออุปกรณ์นั้น
ซึ่งอาจจะเป็นเพียงแค่การซ่อมแซม
ณ ตำแหน่งติดตั้งหรือจำเป็นต้องมีการถอดออกไปซ่อมยังที่อื่น
ซึ่งจะว่าไปแล้วในขั้นตอนนี้ก็ควรจะมีโอเปอร์เรเตอร์ของฝ่ายผลิตร่วมสังเกตการณ์อยู่ด้วย
และทางฝ่ายซ่อมบำรุงเองก็ต้องมีการตรวจสอบซ้ำก่อนลงมือทำงานด้วยว่าการตัดแยกระบบที่ได้ทำก่อนหน้านี้ทำได้เรียบร้อยดี
เพราะด้วยรูปแบบโครงสร้างของอุปกรณ์
(ระบบท่อก็เช่นกัน)
หลายชนิดนั้น
จะสามารถกักขัง process
fluid ไว้ในตัวอุปกรณ์ได้
ซึ่งจะกำจัดสิ่งที่ตกค้างภายในได้ก็ด้วยการต้องถอดแยกชิ้นส่วน
ในเหตุการณ์นี้ก็เช่นกัน
เนื่องด้วยท่อ flare
เปรียบได้เสมือนกับท่อน้ำทิ้ง
สารพัดสิ่งจึงมีอยู่ได้ในท่อ
flare
ด้วยเหตุนี้เมื่อต้องมีการถอดหน้าแปลนจึงต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการมีทั้งแก๊สที่เป็นพิษ
(เช่น
H2S)
และไฮโดรคาร์บอนที่ติดไฟได้ที่จะรั่วไหลออกมาเมื่อคลายนอตยึดหน้าแปลนออก
จึงได้มีการเตรียมความพร้อมด้วยการให้มีเจ้าหน้าที่หน่วยดับเพลิงเข้ามาเตรียมเข้าระงับเหตุที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการทำงาน
และจัดหาระบบอากาศหายใจให้กับผู้ที่จะเข้าไปทำการถอดวาล์ว
(ในเหตุการณ์นี้ใช้ระบบเดินท่ออากาศเข้าสู่หน้ากาก
ไม่ใช่การแบบถังอากาศ)
แต่ด้วยการที่บริเวณดังกล่าวไม่มีท่ออากาศ
(plant
air) เดินไปถึง
ก็เลยแก้ปัญหาด้วยการใช้เครื่องอัดอากาศที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์
"ดีเซล"
ทำหน้าที่แทน
ในโรงงานจะมีการผลิตอากาศอัดความดัน
(plant
air) ไว้ใช้ในงานต่าง
ๆ เช่น ใช้แทนที่แก๊สไนโตรเจนใน
vessel
ต่าง
ๆ ก่อนให้คนเข้าไปทำงานภายใน
ใช้กับอุปกรณ์นิวเมติกส์
(เช่นสว่านลม
ปั๊มของเหลว)
ใช้ในการหายใจ
ใช้ขับเคลื่อนวาล์วควบคุม
อากาศที่ใช้งานพวกหลังนี้จะนำ
plant
air ไปกำจัดความชื้นออกก่อนด้วยการนำไปผ่านสารดูดความชื้น
กลายเป็นอากาศที่เรียกว่า
instrument
air
มีความเชื่ออย่างหนึ่งในวงการนี้ก็คือเครื่องยนต์
"ดีเซล"
ปลอดภัยกว่าเครื่องยนต์
"เบนซิน"
ตรงที่ว่าเครื่องยนต์ดีเซลไม่มีระบบไฟแรงสูง
(พวกจานจ่ายและคอยล์จุดระเบิด)
ที่เป็นแหล่งทำให้เกิดประกายไฟ
จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีโอกาสที่จะมีแก๊สไวไฟรั่วไหล
ดังนั้นยานพาหนะใด ๆ
ที่ใช้ในบริเวณดังกล่าวจึงต้องเป็นเครื่องยนต์ดีเซลเท่านั้น
แต่เอาเข้าจริง ๆ
แล้วมันก็มีอยู่หลายกรณีด้วยกันที่การจุดระเบิดนั้นไม่ได้เกิดจากตัวเครื่องยนต์
แต่เกิดจากระบบไฟฟ้า
(พวกไฟส่องสว่างและไฟเลี้ยว)
ของรถยนต์
หรือจากท่อไอเสีย
(ที่มีอุณหภูมิสูงเกินกว่า
autoignition
temperature ของเชื้อเพลิง)
หรือแม้แต่ตัวเครื่องยนต์ดีเซลเอง
ที่ดูดเอาไอระเหยของเชื้อเพลิงเข้าไปในเครื่องยนต์พร้อมกับอากาศที่ไหลเข้าเครื่อง
ทำให้เครื่องยนต์เร่งตัวเองขึ้นจนไม่สามารถหยุดเครื่องได้แม้ว่าจะตัดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วก็ตาม
(เพราะเชื้อเพลิงมันมากับอากาศที่ไม่มีระบบปิดกั้น
และการทำงานของเครื่องยนต์ดีเซลไม่จำเป็นต้องใช้ไฟจากแบตเตอรี่
ไฟจากแบตเตอรี่ใช้เพียงแค่ตอนติดครื่องเท่านั้น)
รูปที่
๙ ของตอนที่แล้วแสดงแผนผังการจัดวางรถเครนและเครื่องอัดอากาศ
กล่าวคือหลังจากมีการวางเครื่องอัดอากาศแล้ว
ในช่วงบ่ายก่อนที่จะเริ่มการทำงานก็มีการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งโดย
และผู้ตรวจสอบก็เห็นว่าตำแหน่งที่ตั้งเครื่องอัดอากาศนั้นอยู่ใกล้กับสถานที่ทำงานมากไป
(คือมีการคำนึงว่ามีอาจของเหลวรั่วไหลลงพื้นและระเหยเป็นไอ)
จึงได้ให้มีการขยับเครื่องอัดอากาศให้ถอยห่างออกไปอีก
รูปที่
๑๐ knock-out
drum หมายเลข
1
รูปที่
๑๐ แสดงระบบ piping
และอุปกรณ์ประกอบของ
knock-out
drum หมายเลข
1
ท่อ
flare
ที่มุ่งมายัง
knock-out
drum ตัวนี้จะลาดลงเข้าหาตัว
knock-out
drum แต่ก่อนที่จะถึงตัว
knock-out
drum ท่อ
flare
จะเลี้ยวขึ้นบนก่อนวกกลับลงล่างเป็นรูปตัว
U
การที่เดินท่อรูปแบบนี้ก็เพื่อรองรับการยืด-หดของท่อเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยน
ไม่ให้การยืดหดนี้ออกแรงกระทำต่อตัว
knock-out
drum โดยตรง
(และยังลดความเค้นของตัวท่อด้วย)
แต่การเดินท่อแบบนี้ก็มีข้อเสียคือถ้าแก๊สไหลไม่เร็วพอจะทำให้มีของเหลวค้างอยู่ที่ผิวท่อด้านล่าง
(เพราะแก๊สไม่สามารถพัดพาไปด้วย)
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการติดตั้งท่อระบายของเหลวจากผิวล่างของท่อ
flare
เข้าไปยังตัว
knock-out
drum โดยตรง
ท่อระบายนี้ประกอบด้วยวาล์ว
๒ ตัวโดยตัวหนึ่งอยู่ทางด้านท่อ
flare
และอีกตัวหนึ่งอยู่ทางด้าน
knock-out
drum
และท่อระหว่างวาล์วสองตัวนี้จะมีท่อแยกติดตั้งวาล์วเอาไว้เพื่อการตรวจสอบ
(รูปที่
๑๑)
วาล์วทั้ง
๓
ตัวนี้อยู่ในตำแหน่งที่สูงจากพื้นและต้องมีการสร้างนั่งร้านชั่วคราวเพื่อเข้าถึง
ไม่เหมือนตัวเกจวัดความดันที่ติดตั้งอยู่ด้านบนของ
knock-out
drum ที่มี
platform
ถาวรสำหรับเข้าไปอ่านค่า
knock-out
drum เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แยกของเหลวออกจากแก๊ส
หลักการทำงานก็คือเมื่อพื้นที่หน้าตัดการไหลเพิ่มขึ้นความเร็วแก๊สก็จะลดลง
ของเหลวที่ถูกแก๊สความเร็วสูงพัดพามาก็จะตกลงล่าง
หรืออาศัยอาศัยการเปลี่ยนเส้นทางการไหลร่วมด้วย
เช่นให้แก๊สเปลี่ยนทิศทางการไหลด้วยการให้พุ่งเข้าปะทะแผ่นกั้น
หยดของเหลวที่ติดมากับแก๊สก็จะพุ่งเข้าปะทะแผ่นกั้นและเกาะตัวรวมกันเป็นหยดใหญ่ขึ้นไหลลงล่างโดยไม่ไหลติดไปกับแก๊ส
รูปที่
๑๑ สิ่งที่ทีมสอบสวนเชื่อว่าเกิดก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ
คือท่อ flare
มีของเหลวอยู่เต็มเนื่องจากมีของเหลวรั่วมามากและแก๊สไหลไม่เร็วพอที่จะพัดพาของเหลวนั้นให้ข้าม
expansion
loop ลงไปใน
knock-out
drum ได้
ประกอบด้วยท่อระบายของเหลวลงสู่
knock-out
drum หมายเลข
1
นั้นอุดตัน
(ท่อขนาด
100
mm หรือ
4
นิ้ว)
ทำให้เมื่อเปิดวาล์วระบายของเหลวจึงไม่เห็นของเหลวไหลระบายออกมา
โอเปอร์เรเตอร์จึงเข้าใจว่าไม่มีของเหลวค้างอยู่ในท่อ
รายงานการสอบสวนเล่าเอาไว้ว่า
ก่อนที่จะอนุญาตให้เริ่มงานนั้น
shift
supervisor (จะเรียกว่าหัวหน้ากะก็คงจะได้)
ได้เข้าไปตรวจบริเวณสถานที่ทำงาน
และกังวลเกี่ยวกับการมีสารตกค้างอยู่ในระบบท่อ
flare
เนื่องด้วยการเตรียมความพร้อม
(คือตั้งแต่ปิดวาล์ว
V10
และการถอดนอตที่ยึด
ring
spacing ออกไปครึ่งหนึ่ง)
นั้นมีการเตรียมมาหลายวันก่อนหน้านี้
เขาจึงได้ทำการไปตรวจค่าความดันที่เกจวัดความดัน
(สเกล
0-15
psig) ที่ติดตั้งอยู่บน
knock
out drum หมายเลข
1
และเมื่อเห็นค่าแสดงเป็นศูนย์ก็สรุปว่าภายในท่อไม่มีความดัน
(หรือต่ำจนเกจวัดความดันอ่านค่าไม่ได้)
จากนั้นก็ไปเปิด
drain
valve ของท่อที่ทำหน้าที่ระบายของเหลวจากผิวล่างท่อ
flare
ลงสู่
knock-out
drum โดยตรง
(ท่อขนาด
100
mm หรือ
4
นิ้ว)
และก็ไม่เห็นมีของเหลวไหลออกมาและมีแก๊สรั่วออกมาเพียงเล็กน้อย
ก็เลยสรุปว่าในท่อ flare
นั้นไม่มีของเหลวค้างอยู่และไม่มีความดัน
(หรือมีความดันค้างอยู่เพียงเล็กน้อยที่ตัวเกจวัดความดันอ่านค่าไม่ได้)
ในรายงานการสอบสวนกล่าวเอาไว้ว่าตัว
shift
supervisor เองนั้นก็คำนึงอยู่เหมือนกันว่าวาล์วที่ใช้ในการตัดแยกระบบ
(รายงานไม่ได้ระบุว่าเป็นตัวไหน
แต่คิดว่าน่าจะเป็น V10
เพราะไม่มีการใส่
blind
spade) อาจปิดไม่สนิทและยังมีการรั่วไหลของแก๊สเข้ามาในระบบได้เล็กน้อย
(ในช่วงเวลานั้นหน่วย
Crude
oil distillation 3 หรือ
COD3
เริ่มเดินเครื่องแล้ว
และแก๊สที่ระบายออกมาจากหน่วยนี้ถูกปิดกั้นไม่ให้ไหลเข้าระบบ
flare
1 ด้วยวาล์ว
V10)
แต่ด้วยการที่งานที่จะทำนั้นเป็นเพียงแค่การถอดวาล์ว
(จัดเป็น
cold
work) โดยไม่มีการใช้เปลวไฟหรือการเชื่อม
(ที่จัดเป็น
hot
work) เข้ามาเกี่ยวข้อง
และการที่ภายในท่อมีความดันอยู่เล็กน้อยยังช่วยป้องกันไม่ให้อากาศรั่วไหลเข้าไปในระบบท่อ
flare
ได้
ตรงนี้ทาง shift
supervior จึงเห็นว่าเป็น
"ความเสี่ยงที่ยอมรับได้"
จึงอนุญาตให้งานถอดวาล์ว
V17
ดำเนินต่อไปข้างหน้าได้
ท่อ
flare
เป็นระบบที่มีเชื้อเพลิงอยู่ภายในและเชื่อมต่อกับหลายต่อหลายหน่วยของโรงงาน
และที่ปลายท่อ flare
ก็ยังมีเปลวไฟลุกติดอยู่
ดังนั้นถ้าหากปล่อยให้มีอากาศรั่วเข้าไปในระบบท่อ
flare
ก็อาจทำให้เกิดเปลวไฟหรือเกิดการระเบิดขึ้นในท่อ
flare
ได้
การป้องกันไม่ให้มีเปลวไฟวิ่งย้อนลงมาตามปล่อง
flare
ทำได้หลายวิธี
เช่นการรักษาความเร็วของแก๊สที่ระบายออกทางปล่อง
flare
ไม่ให้ต่ำเกินไปจนอากาศไหลย้อนเข้ามาได้
การใช้ระบบ water
seal
คือการให้แก๊สระบายออกผ่านใต้ผิวน้ำเพื่อตัดการไหลของแก๊สไม่ให้เป็นเฟสต่อเนื่อง
เป็นต้น
อีกประเด็นหนึ่งที่มีความกังวลในงานนี้ก็คือการเกรงว่าอากาศที่เข้าไปในท่อ
flare
นั้นจะเข้าไปทำปฏิกิริยากับสารประกอบเหล็กซัลไฟด์
(FeS)
ที่อาจมีอยู่ภายในระบบท่อ
ซึ่งสารประกอบตัวนี้สามารถทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศเกิดการลุกไหมได้เองโดยไม่จำเป็นต้องมีเปลวไฟหรือประกายไฟมากระตุ้น
ดังนั้นถ้ามองในแง่นี้แล้วก็พอจะเห็นได้ว่าการตัดสินใจของ
shift
supervisor บนพื้นฐานของความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ที่ยอมให้ทำงานในสภาวะที่ท่อ
flare
มีความดันแก๊สตกค้างอยู่เพียงเล็กน้อย
(โดยให้มีหน่วยดับเพลิงเข้ามาประจำตำแหน่งอยู่ใกล้
ๆ)
ก็เป็นการตัดสินใจที่มีเหตุผลรองรับอยู่เหมือนกัน
วาล์ว
V17
นั้นมี
ring
spacer ประกบอยู่ทางด้าน
down
stream ของวาล์ว
(คือด้านที่ท่อลาดลงต่ำ)
ในการถอดนั้นเริ่มจากการถอดด้าน
ring
spacer ก่อน
(ในตอนนี้ลวดสลิงจากเครนเข้าไปรองรับน้ำหนักของ
ring
spacer เอาไว้ก่อนแล้ว
เพื่อป้องกันไม่ให้มันร่วงหล่นเวลาถอดนอตออกจนหมด)
ผู้ที่เข้าไปทำงานบนนั่งร้านมีด้วยกันทั้งสิ้น
๔ คน
เมื่อเริ่มถอดนอตออกจนเกือบหมดทำให้หน้าแปลนเริ่มเผยอออกเล็กน้อยมีของเหลวหยดออกมาตามช่องว่างระหว่างหน้าแปลน
และมีแก๊สรั่วไหลออกทางด้านบนของข้อต่อ
พนักงานทั้ง ๔
คนนั้นจึงหยุดทำงานและปีนลงจากนั่งร้าน
และขอให้ผู้มีอำนาจสั่งการทำการตรวจสอบใหม่ว่าปลอดภัยที่จะทำงานต่อหรือไม่
ซึ่งผู้มีอำนาจสั่งการในที่นี้ก็คือ
shift
supervisor
ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วก็มีความเห็นว่าปริมาณของเหลวที่รั่วไหลออกมานั้นมีน้อย
(คือคงคิดว่าเป็นของเหลวเพียงเล็กน้อยที่ค้างอยู่ในท่อ)
และแก๊สที่รั่วออกมานั้นเป็นเพียงแค่แก๊สตกค้างอยู่เพียงเล็กน้อยในระบบท่อรอบวาล์ว
V17
จึงให้คำยืนยันว่าระบบปลอดภัยที่จะทำงานต่อไปได้
โดยไม่ได้มีการตรวจสอบเพิ่มเติม
ซึ่งประเด็นตรงจุดนี้ทางทีมงานสอบสวนได้ชี้ให้เห็นว่ายังมีวาล์วอีกตัวหนึ่งที่สามารถใช้ตรวจสอบว่ามีของเหลวค้างอยู่ในท่อหรือไม่คือวาล์วที่อยู่ที่
stub
connection ที่อยู่หน้าวาล์ว
V6
วาล์วที่
stub
connection เป็นวาล์วที่ตกค้างมาตั้งแต่ตอนสร้างท่อ
flare
แต่เนื่องจากวาล์วตัวนี้อยู่ที่ระดับ
pipe
rack และไม่มีเส้นทางเข้าถึง
จึงไม่มีการไปตรวจสอบ
(ย้ำนิดนึงว่าท่อ
flare
อยู่สูงจากพื้นเกือบ
5
เมตร
ถ้านึกไม่ออกว่าระดับ 5
เมตรนี่สูงแค่ไหนก็ลองดูได้จากสะพานลอยเดินข้ามถนนที่จะสร้างให้ระดับพื้นสะพานสูงจากพื้นอยู่
5
เมตร)
แต่ตัวพนักงานที่จะขึ้นไปทำงานบนนั่งร้านยังมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยอยู่
ด้วยกังวลว่าเครื่องมือที่ทำจากเหล็ก
(พวกค้อน
ประแจ)
อาจทำให้เกิดประกายไฟเมื่อมีการกระแทก
(เช่นการเคาะ
การตกลงพื้น)
และจุดระเบิดเชื้อเพลิงที่รั่วไหลออกมานั้นได้
จึงได้ขอเปลี่ยนอุปกรณ์เป็นชนิด
"spark
proof"
คือเป็นอุปกรณ์ที่ทำจากโลหะที่ไม่ทำให้เกิดประกายไฟแม้ว่าจะมีการเคาะหรือตกกระแทกพื้น
และก็ได้รับมอบอุปกรณ์ดังกล่าวก่อนกลับขึ้นไปทำงานใหม่
ในขณะที่ทำการถอดนอตออกเพิ่มเรื่อย
ๆ นั้น การรั่วไหลก็เกิดมากขึ้นทุกที
ในระหว่างการถอดนอตนั้น
ผู้ควบคุมเครนได้รับคำแนะนำว่าให้ทำการดึงตัว
ring
spacer เอาไว้อย่างนิ่มนวล
(ในเอกสารใช้คำว่า
gently)
และเมื่อถอดนอตตัวสุดท้ายออกเมื่อเวลา
๑๖.๑๐
น และเครนเริ่มออกแรงดึง
ring
spacer ปรากฏว่า
ring
spacer ถอนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
ตรงนี้อาจเป็นไปได้ที่ว่าหลังจากถูกกดอยู่ระหว่างหน้าแปลนเป็นเวลานาน
ทำให้ตัว ring
spacer เกิดการยึดติดกับหน้าแปลนแม้ว่าจะถอดนอตยึดออกไปหมดแล้วก็ตาม
ทำให้เครนต้องใช้แรงดึงมากขึ้นเพื่อดึงให้
ring
spacer หลุดออกจากหน้าแปลน
และพอหลุดแล้วก็เลยถูกกระชากออกอย่างรวดเร็ว
(ในเอกสารใช้คำว่า
took
the strain)
ตามด้วยการรั่วไหลของของเหลวจำนวนมากออกมาอย่างรวดเร็วเหมือนมีแรงดันดันให้ไหลออกมาทั้งหกนองนั่งร้านและไหลลงสู่พื้นเบื้องล่าง
ไอระเหยจากเชื้อเพลิงที่รั่วออกมานั้นก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะที่ของเหลวที่ตกลงบนพื้นนั้นแผ่กระจายออกไปก่อนที่จะถูกจุดระเบิด
พนักงานที่ขึ้นไปถอดวาล์วคนหนึ่งที่ทำงานอยู่บนนั่งร้าน
(และคงเป็นด้านที่มีบันไดปีนขึ้น-ลง)
และคนขับเครนสามารถหลบหนีได้ทันแม้ว่าจะโดนไฟไหม้ไปบ้าง
แต่พนักงานอีกสองคนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของนั่งร้านที่เป็นด้านที่ไม่มีบันได
ที่จำเป็นต้องปีนข้ามวาล์วหรือมุดลอดท่อ
flare
มายังฝั่งด้านด้านที่มีบันได
แม้ว่าจะสามารถข้ามฟากมายังฝั่งที่มีบันไดได้
แต่ก็ไม่สามารถหนีออกมาทันและโดนไฟครอกเสียชีวิต
โดยร่างหนึ่งพบอยู่ที่พื้นตรงตีนบันได
ส่วนอีกร่างหนึ่งยังคงอยู่บนนั่งร้าน
แหล่งจุดระเบิดพบว่าคือเครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้ขับเคลื่อนเครื่องอัดอากาศ
โดยพบว่าที่ปลายท่อไอเสียของเครื่องยนต์นั้นไม่มี
spark
arrester ติดตั้งอยู่
spark
arrester (หรือบางทีก็สะกดว่า
spark
arrestor คือต่างกันที่ตัว
e
กับตัว
o)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ป้องกันไม่ให้เศษซากเชื้อเพลิง
(โดยเฉพาะเขม่า)
ที่หลงเหลืออยู่ในไอเสีย
ที่ยังมีการเผาไหม้อยู่ในท่อไอเสีย
ออกมาทำให้เชื้อเพลิงที่อยู่ภายนอกเกิดการลุกไหม้ได้
(เชื้อเพลิงที่อยู่ภายนอกนี้อาจเป็นหญ้าแห้งก็ได้
หรือเป็นไอระเหยของเชื้อเพลิงก็ได้)
ตัวนี้เป็นคนละตัวกับ
flame
arrester ที่ใช้ดับการเคลื่อนที่ของเปลวไฟไที่เคลื่อนที่อยู่ในระบบท่อ)
ในช่วงแรกนั้นดูเหมือนว่าจะสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้
แต่พอเวลาประมาณ ๑๘.๐๐
ก็พบว่าเพลิงลุกไหม้รุนแรงขึ้นอีก
ซึ่งบ่งบอกให้รู้ว่ายังมีการรั่วไหลของแก๊สเข้าระบบ
flare
ที่คิดกันว่าถูกตัดแยกระบบเอาไว้แล้ว
เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ามีการรั่วไหลผ่านวาล์ว
V10
(เพราะเป็นตัวเดียวที่ไม่มีการใส่
blind
spade) จึงจำเป็นต้องมีการหยุดเดินเครื่องหน่วย
Crude
oil distillation 3 (COD3) เพลิงจึงสงบลง
วันรุ่งขึ้น
(วันเสาร์ที่
๑๔)
จึงสามารถเข้าไปกู้ร่างผู้เสียชีวิตที่อยู่ตรงพื้นตรงตีนบันได้
และเวลาประมาณ ๑๓.๐๐
น ของวันถัดมา (วันอาทิตย์ที่
๑๕)
จึงสามารถเข้าไปกู้ร่างผู้เสียชีวิตที่ค้างอยู่บนนั่งร้านได้
ผู้เสียชีวิตทั้งสองรายนั้นเป็นผู้รับเหมาที่เข้ามาทำรับงานถอดวาล์วออกไปซ่อม
ถึงจุดนี้ถ้าเป็นการ์ตูนโทรทัศน์ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน
พอมีคนตายก็ต้องจบตอน
แล้วไปลุ้นกันใหม่ในสัปดาห์ถัดไปภาคไขคดี
ที่จะเฉลยว่าใครเป็นคนร้าย
ดังนั้นในตอนต่อไปจะมาดูกันว่าความผิดพลาดเกิดที่ไหนบ้าง
และเกิดขึ้นได้อย่างไร
และจะมีวิธีป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำได้อีกอย่างไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น