เมื่อตอนต้นเดือน
ตอนที่เอทานอลขาดตลาด
คนหาซื้อเอาไปทำเจลล้างมือ
เอาไปฆ่าเชื้อโรคไม่ได้
ผมก็เลยลองตั้งคำถามเล่น
ๆ ว่าจะเอาน้ำมันแก๊สโซฮอล์
E85
(ที่มีเอทานอลอยู่ 85%)
ที่ขายลิตรกันอยู่ลิตรละไม่ถึง
๒๐ บาท เอาไปทำเจลล้างมือฆ่าเชื้อโรคได้ไหม
แต่จะว่าไปคำถามนี้มันก็เลยไปนิดนึง
คือน่าจะตั้งคำถามก่อนว่าเอทานอลในรูปของ
E85
สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ไหม
ซึ่งตรงนี้ผมก็ไม่รู้
ส่วนคำถามที่ว่าจะเอา
E85
ไปทำเจลล้างมือได้ไหม
ก็มีคนถามในอินเทอร์เน็ตเหมือนกัน
แต่คำตอบมักจะมาในทำนองที่ว่ามัน
E85 มันไวไฟ
(แต่จะว่าไปเอทานอลเข้มข้นสูงมันก็ไวไฟเช่นกัน
แต่คนตอบคำถามไม่ยักเอ่ยถึง)
รูปที่ ๑
Phase diagram
ระหว่างน้ำมันเบนซิน
(gasoline) เอทานอล
และน้ำ
บริเวณที่อยู่เหนือเส้นโค้งคือบริเวณที่ทั้งสามสารรวมกันอยู่ในเฟสเดียวได้
ส่วนบริเวณที่อยู่ใต้เส้นโค้งจะเกิดการแยกเป็นสองเฟส
คือเฟสที่มีน้ำเป็นหลัก
(อยู่ทางด้านซ้าย)
และเฟสที่มีน้ำมันเบนซินเป็นหลัก
(อยู่ทางด้านขวา)
น้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ใช้กันก็ต้องมีส่วนผสมที่อยู่ในช่วงที่เป็นเฟสเดียว
โดยต้องคำนึงถึงอุณหภูมิสูงสุดของการใช้งานด้วย
เพราะการแยกเฟสจะเกิดได้ดีขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น
(รูปจาก
T. Johansen & J.
Schramm, "Low-Temperature Miscibility of Ethanol-Gasoline-Water
Blends in Flex Fuel Applications", Energy Sources Part A(18)
Recovery, Utilization, and Environmental Effects:1634-1645 ·
November 2009)
ที่ผมมองนั้นไม่ใช่การเอา
E85
มาทำเจลล้างมือโดยตรง
เพราะสงสัยอยู่เหมือนกันว่าองค์ประกอบส่วนที่เป็นไฮโดรคาร์บอนที่เป็นโมเลกุลไม่มีขั้วนั้นไปรบกวนการเกิดเป็นเจลหรือไม่
ที่คิดเอาไว้เล่น ๆ ก็คือถ้าเราเติมน้ำลงไปใน
E85
จนในที่สุดมันเกิดการแยกเป็น
๒ เฟส เป็นไปได้ไหมที่จะเอาเฟส
(น้ำ
+ เอทานอล)
ที่มีน้ำมันปนอยู่เล็กน้อย
มาแยกน้ำมันออกและเพิ่มความบริสุทธิ์ของเอทานอล
โดยทิ้งท้ายไว้ว่าน่าจะลองเอาไปทำเป็นโจทย์วิชา
plant design
ให้นิสิตวิศวกรรมเคมีคิดกันเล่น
ๆ ในช่วงนี้ (แต่บังเอิญผมไม่ได้สอนวิชานี้)
คำถามเรื่องเอา
E85
ไปทำเป็นเจลล้างมือนั้น
ก็มีการตั้งคำถามกับบนอินเทอร์เน็ต
และมีคำตอบที่หลากหลาย
ผมขอยกมาตัวอย่างหนึ่งก็แล้วกันนะครับ
ในรูปที่ ๒ ข้างล่าง
ลองอ่านเองก่อนก็แล้วกัน
รูปที่ ๒
คำตอบหนึ่งที่เห็นมีคนตอบทางอินเทอร์เน็ต
ที่ผมติดใจนิดนึงคือแหล่งที่มาข้อมูลน้ำมันเบนซินที่เขาอ้างอิง
ในคำตอบนี้มีบางจุดที่ผมติดใจ
ตัวอย่างแรกก็คือย่อหน้าที่
๔ ที่บอกว่าน้ำมันเบนซินประกอบด้วยอะไรบ้าง
"...
เช่น เอ็นเฮกเซน
เบนซีน ออกเทน เฮบเทน
(อันนี้น่าจะพิมพ์ผิด
ที่ถูกควรจะเป็นเฮปเทน)
เป็นต้น
ซึ่งสารเคมีเหล่านี้มีความเป็นพิษ
.."
ซึ่งถ้าจะว่าตามประโยคที่เขาเขียน
แสดงว่าสารทุกตัวที่เขายกมานั้นต่างมีความเป็นพิษทั้งนั้น
เรื่องความเป็นพิษของสารเนี่ย
จะว่าไปน้ำเปล่าก็เป็นพิษถึงตายได้ถ้าดื่มเข้าไปมากเกินขนาด
เอทานอลก็มีความเป็นพิษเช่นกันไม่ว่าจะเป็นด้วยการดื่มเข้าไปหรือการสัมผัส
สารประกอบไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวพวกพาราฟินเนี่ยจะว่าไปมันมีความเป็นพิษที่ต่ำ
ต่ำขนาดไหนหรือครับ
ก็วาสลีนที่นำมาใช้กันในชีวิตประจำวัน
(ทาริมฝีปากแห้งตอนหน้าหนาวหรือทาผิวหนังที่แตกแห้ง)
หรือใช้ในทางการแพทย์
(เพื่อการหล่อลื่น)
ก็ยังได้มาจากปิโตรเลียม
แต่ทำให้มันมีความบริสุทธิ์สูงด้วยการกำจัดสิ่งปนเปื้อนออกไป
ในส่วนของสารประกอบอะโรมาติก
(aromatic) นั้น
ตัวที่มีความเป็นพิษสูงก็คือเบนซีน
(Benzene C6H6)
ในขณะที่พวกอัลคิลเบนซีน
(alkyl benzenes)
ต่าง ๆ นั้นมีความเป็นพิษต่ำกว่ามาก
รูปที่ ๓
ข้อกำหนดเกี่ยวกับสารประกอบบางตัวในน้ำมันแก๊สโซฮอล์
จากรายละเอียดแนบท้าย ๑
ของประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันแก๊สโซฮอล์
พ.ศ.
๒๕๖๒ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๖ ตอนพิเศษ ๘๗ ง หน้า
๒๕ วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๒
น้ำมันเบนซินประกอบด้วยอะไรบ้างนั้น
ถ้าดูจากข้อกำหนดลักษณะและคุณภาพเราก็จะเห็นว่าสิ่งที่เขากำหนดนั้นพอจะแบ่งออกได้เป็น
(ก)
ส่วนที่เป็นไฮโดรคาร์บอนที่ไม่ใช่อะโรมาติก
(ข)
ส่วนที่เป็นสารประกอบอะโรมาติก
และ
(ค)
ส่วนที่เป็นสารเพิ่มเลขออกเทน
(octance number)
ส่วนที่ว่าแต่ละสารจะมีได้ในปริมาณเท่าใดนั้น
ยังมีพารามิเตอร์อื่นเข้ามาเกี่ยวข้องอีก
ที่สำคัญเห็นจะได้แก่ความดันไอและกราฟอุณหภูมิการกลั่น
ที่เป็นตัวกำหนดว่าควรมีไฮโดรคาร์บอนที่มีจุดเดือดต่ำและสูงผสมกันในสัดส่วนเท่าใด
ซึ่งสองพารามิเตอร์นี้เคยเล่าไว้ใน
Memoir ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๔๘ วันพฤหัสบดีที่
๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ เรื่อง
"กราฟอุณหภูมิการกลั่นของน้ำมันเบนซิน
(Gasoline distillation curve)"
จากข้อมูลที่นำมาให้ดูในรูปที่
๓ จะเห็นว่าปริมาณสารประกอบเบนซีนนั้นถูกจำกัดไว้เป็นพิเศษ
คือไม่ให้เกินร้อยละ ๑.๐
โดยปริมาตร
ในขณะที่ปริมาณอะโรมาติกรวมยอมให้สูงได้ถึงร้อยละ
๓๕ โดยปริมาตร หรือกว่า ๑ ใน
๓ ของน้ำมัน
เหตุผลที่ต้องยอมให้มีพวกสารอะโรมาติกสูงก็เพราะพวกนี้เป็นสารที่มีเลขออกเทนสูงนั้นนั้น
เรียกว่าระดับร้อยกว่าขึ้นไปทั้งสิ้น
แต่มันก็มีปัญหาเรื่องที่มันมีจุดเดือดสูงเช่นกัน
จุดเดือดอะโรมาติกพวก C8
ก็เข้าไปแตะ 140ºC
แล้ว ถ้าเป็น C9
ก็เข้าไปแตะที่ระดับ
170ºC
ที่อะตอม
C เท่ากัน
สารประกอบโอเลฟินส์จะมีเลขออกเทนสูงกว่า
พวกนี้มันเกิดตอนที่ทำให้โมเลกุลใหญ่แตกออกเป็นโมเลกุลเล็ก
แต่ที่ต้องควบคุมปริมาณก็เพราะมันสามารถเกิดปฏิกิริยาการพอลิเมอร์ไรซ์เป็นโมเลกุลใหญ่ได้
กลายเป็นคราบของแข็งสกปรกเกาะติดในระบบจ่ายเชื้อเพลิง
รูปที่ ๔
ส่วนหนึ่งของเนื้อหาบทความที่มีการอ้างอิงในรูปที่
๒ เอกสารต้นฉบับเนื้อหาไปปรากฏอยู่คนละหน้ากัน
ก็เลยขอตัดต่อให้มาอยู่ในหน้าเดียวกัน
แต่ไม่ได้มีการตัดข้อความใด
ๆ ระหว่างกลางทิ้งออกไป
อีกอันหนึ่งที่ผมติดใจก็คือแหล่งข้อมูลอ้างอิงที่รูปที่
๒ อ้างอิงมา
ที่เป็นบทความตีพิมพ์ในวารสารฉบับหนึ่ง
(อยากรู้ว่าเป็นเรื่องอะไรก็คงค้นดูตามลิงก์ที่ปราฏเอาเองนะครับ)
รูปที่ ๔
ผมตัดมาเฉพาะข้อความที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลที่ปรากฏในบทความนั้น
ลองอ่านดูเอาเองก่อนนะครับ
สำหรับคนที่มีความรู้พื้นฐานเคมีอินทรีย์ก็คงจะพอมองเห็นอะไรบ้างแล้วนะครับ
โดยเฉพาะตรงที่ผมขีดเส้นใต้สีแดงเอาไว้
น้ำมันเบนซินกับน้ำมันดีเซลเป็นน้ำมันที่ตรงข้ามกันครับ
โครงสร้างที่ดีสำหรับเบนซิน
(เช่น
โซ่กิ่ง อะโรมาติก)
จะเป็นโครงสร้างที่ไม่ดีสำหรับดีเซล
ส่วนโครงสร้างที่ไม่ดีสำหรับเบนซิน
(พวกโซ่ตรง)
กลับเป็นโครงสร้างที่ดีสำหรับดีเซล
ในขณะที่น้ำมันเบนซินมีเลขออกเทนเป็นตัวบ่งบอกความสามารถในการต้านทานการน๊อค
น้ำมันดีเซลก็มีเลขซีเทน
(cetane number)
ที่เป็นตัวบ่งบอกความสามารถในการต้านทานการน๊อคเช่นกัน
โดยเลขซีเทนของน้ำมันดีเซลที่ใช้ในบ้านเรา
ที่ กรมธุรกิจพลังงานกำหนดไว้ต้องมีค่าไม่น้อยกว่า
๕๐
ข้อความที่ขีดเส้นใต้เอาไว้ในรูปที่
๔ คือ "...
ส่วนประกอบหลักคือ
พาราฟินที่ไม่แยกกิ่งสาขา
(unbranched
paraffins) มีคาร์บอนหลายตัว2
เช่น เบนซีน
โทลูอีน ออร์โธไซลีน และพราราไซลีน
..."
ในภาษาไทยนั้น คำ "เช่น"
ที่ปรากฏเป็นตัวขยายความคำที่อยู่ข้างหน้า
ซึ่งในที่นี้ก็เป็นการยกตัวอย่างโมเลกุลสารประกอบที่เป็นพวกพาราฟินที่ไม่แยกกิ่งสาขา
แต่โมเลกุลที่เขายกมานั้นเป็นพวกอะโรมาติก
ซึ่งเป็นคนละพวกกัน
รูปที่ ๕
ตัวอย่างเลขซีเทนของสารประกอบอะโรมาติกบางตัว
พึงสังเกตว่าพวกนี้ต่างมีเลขซีเทนต่ำมากทั้งนั้น
(จาก
"Compendium of
Experimental Cetane Numbers" โดย J.
Yanowitz, M.A. Ratcliff, R.L. McCormick, J.D. Taylor และ
M.J. Murphy
ดาวน์โหลดได้ที่
https://www.nrel.gov/docs/fy17osti/67585.pdf)
บทความที่มีการอ้างอิงบางทีก็ต้องดูดี
ๆ เหมือนกัน (แม้แต่บทความที่ผมเขียนก็เช่นกัน)
เพราะมันบ่งบอกว่าคนที่อ้างอิงบทความและคนที่เขียนบทความ
(รวมทั้งผู้ประเมินบทความให้ตีพิมพ์ด้วย)
ว่ามีความรู้ในเรื่องนั้นหรือได้อ่านบทความนั้นหรือไม่
เคยเจอเหมือนกัน ที่มีการอ้างอิงบทความ
แต่พอตามไปอ่านจริง ๆ
กลับพบว่าบทความนั้นไม่ได้เขียนเรื่องที่ถูกกล่าวพาดพิงเอาไว้เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น