วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2564

นานาสาระเรื่องการเปิดวาล์ว (๒) MO Memoir : Wednesday 2 June 2564

ผมเขียนเรื่องนี้ครั้งแรกลง blog เอาไว้เมื่อเกือบ ๗ ปีที่แล้ว (วันเสาร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) ตอนนั้นจะเน้นไปที่คำขยายต่าง ๆ (ภาษาอังกฤษ) ที่เกี่ยวข้องกับการเปิด-ปิดวาล์ว เช่นการเปิดเพียงเล็กน้อย การเปิดเพียงแค่รู้สึกว่าวาล์วเปิดแล้ว การค่อย ๆ เปิด-ปิด ฯลฯ เพราะว่ามันจำเป็นเมื่อต้องเขียนคู่มือการทำงานเป็นลายลักษณ์อักษร มาวันนี้จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งคือ จากวาล์วที่เห็นติดตั้งอยู่ในระบบนั้น จะรู้ได้อย่างไรว่าวาล์วตัวนั้นเปิดหรือปิดอยู่

คำตอบสั้น ๆ ก็คือ มันไม่มีสูตรลัดพิเศษ เพราะมันขึ้นอยู่กับการออกแบบ "Stem"

"Stem" ของวาล์วคือชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่าง ชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการไหลผ่านวาล์ว (ที่อาจเป็น disk, plug หรือ ball) และกลไกที่ใช้ในการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการไหลผ่านวาล์ว (ที่กลไกนี้อาจเป็น hand wheel, handle หรือระบบ actuator ต่าง ๆ ที่ใช้กับวาล์วควบคุม) ในกรณีของ gate valve และ globe valve นั้น การทำให้ตัว disk หรือ plug ที่ปิดกั้นช่องทางการไหลนั้นเคลื่อนที่ขึ้น (เพื่อเปิด) หรือเคลื่อนที่ลง (เพื่อปิด) อาจใช้ การเคลื่อนที่ "ขึ้น-ลง" หรือการ "หมุน" ตัว stem ก็ได้ ส่วนในกรณีของ ball valve, plug valve และ butterfly valve นั้นจะใช้การ "หมุน" ตัว stem เพื่อไปทำให้ตัว ball, plug หรือ disk เปิดหรือปิดช่องทางการไหล

รูปที่ ๑ เป็น gate valve ชนิด rising stem with outside screw เวลาที่เราหมุน hand wheel นั้น ตัว hand wheel จะอยู่ที่เดิม แต่ตัวสกรูที่อยู่ตรงกลางตัว hand wheel จะยื่นออกมาหรือหดตัวเข้าไปก็ขึ้นอยู่กับว่าเราหมุนเพื่อเปิดหรือปิดวาล์ว ถ้ามันโผล่ยื่นออกมา วาล์วก็จะเปิด แต่มันหดหายเข้าไปข้างใน วาล์วก็จะปิด วาล์วแบบนี้มันดูง่ายว่าเปิดหรือปิดอยู่ แต่มันก็มีข้อเสียข้อหนึ่งคือใช้พื้นที่มากหน่อยในการติดตั้ง (ต้องมีที่ว่างให้ตัว stem เคลื่อนที่)

สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ต้องระวังก็คือ เวลาที่เราเปิดวาล์วนั้น เราจะหมุน hand wheel จนกระทั่งหมุนต่อไม่ได้ คือเห็นตัว stem โผล่ยื่นออกมาจนไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อได้แล้ว ซึ่งตรงนี้แม้ว่าวาล์วจะเปิด "เกือบเต็มที่" ในขณะที่เราต้องการให้มันเปิด "เต็มที่" มันก็ไม่ส่งผลอะไรกับการทำงานของระบบนั้น แต่สำหรับการปิดวาล์วนั้นเราจำเป็นต้องรู้ว่าต้องเห็นตัว stem หดตัวเข้าไปจนถึงตำแหน่งไหนจึงจะทำให้วาล์ว "ปิดสนิท" โดยเฉพาะกรณีของ gate valve ที่อาจมีสิ่งสกปรกที่เป็นของแข็งค้างอยู่ในร่องสำหรับให้ตัว disk เคลื่อนที่ ทำให้ตัว disk ไม่สามารถเคลื่อนตัวจนปิดวาล์วได้สนิท ของไหลในระบบยังสามารถไหลผ่านช่องว่างเล็ก ๆ นี้ได้ อุบัติเหตุหนึ่งที่เกิดจากการที่วาล์วปิดไม่สนิทนี้ (คือโอเปอร์เรเตอร์หมุน hand wheel จนกระทั่งมันปิดไม่ได้อีกแล้ว ก็เลยคิดว่าวาล์วปิดสนิทแล้ว แต่ในความเป็นจริงมีสิ่งสกปรกขวางอยู่ในร่อง) เคยเล่าไว้ในบทความชุด "เพลิงไหม้และการระเบิดที่ BP Oil (Grangemouth) Refinery 2530 (1987) Case 1-4 เพลิงไหม้ที่ระบบ Flare" ที่เขียนไว้ในช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ การป้องกันได้ด้วยการติดตั้งตัวชี้บอกระดับการเปิดของวาล์วเพื่อให้รู้ว่าวาล์วปิดสนิทแล้วหรือยัง

รูปที่ ๒ เป็น globe valve ชนิด rising stem เช่นกัน แต่เป็นชนิด inside screw เวลาที่เราหมุน hand wheel ตัว hand wheel ก็จะเคลื่อนที่ขึ้นหรือลงก็ขึ้นอยู่กับว่าเราหมุนเพื่อเปิดหรือปิดวาล์ว ถ้าเห็น hand wheel ยกตัวขึ้นสูงก็อาจเดาได้ว่าวาล์วตัวนั้นเปิดอยู่ แต่ถ้าเห็น hand wheel อยู่ที่ระดับต่ำ ๆ มันก็ยากที่จะบอกว่าวาล์วตัวนั้นเปิดอยู่เล็กน้อยหรือปิดอยู่ (เว้นแต่ว่าเคยทำงานกับวาล์วตัวนั้นจนจำตำแหน่งปิดสนิทได้) ต้องใช้การทดลองหมุน hand wheel เอา ส่วนหมุนด้านไหนเพื่อเปิดหรือปิด ก็ให้นึกถึงเวลาที่เราหมุนก็อกน้ำที่บ้านหรืออ่างล้างมือ มันหมุนในทิศทางเดียวกัน

รูปที่ ๑ Rising stem with outside screw gate valve ตัวที่ ๑ และ ๒ นั้นเปิดอยู่ ส่วนตัวที่ ๓ และ ๔ นั้นปิดอยู่


รูปที่ ๒ Rising stem with inside screw globe valve ตัวที่ ๑ และ ๒ นั้นเปิดอยู่ ส่วนตัวที่ ๓ นั้นปิดอยู่ ตัว steam trap ในรูปนั้นติดผิดทิศทาง ตัวนี้มันต้องเอาด้านที่มี name plate อยู่ด้านบน

วาล์วที่ดูจากภายนอกไม่ได้ว่าเปิดหรือปิดอยู่คือวาล์วชนิด non-rising stem ในกรณีของ non-rising stem นั้นการหมุน hand wheel คือการหมุนตัว stem ที่จะทำให้ตัว disk หรือ plug เคลื่อนขึ้นหรือลงโดยที่ตัว stem ไม่ได้มีการโผล่ยื่นออกมาเหนือตัว hand wheel และตัว hand wheel ก็ยังคงอยู่ที่ระดับเดิม ไม่มีการเคลื่อนที่ขึ้นหรือลง ข้อดีของ stem แบบนี้ก็คือใช้พื้นที่ติดตั้งน้อยกว่า แต่ข้อเสียก็คือดูด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่าวาล์วปิดหรือเปิดอยู่ ต้องใช้การลองหมุนวาล์วดูเอาเอง ถ้าสงสัยว่าวาล์วแบบนี้เป็นอย่างไร ลองดูได้ที่มิเตอร์ประปาหน้าบ้าน

อุบัติเหตุหนึ่งที่เกิดจากการใช้วาล์ว non-rising stem คือกรณีของการรั่วไหลของน้ำมันผ่านวาล์วระบายน้ำฝนลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติที่คลังน้ำมัน Caribbean Petroleum Corporation (CAPECO) ที่เมือง Bayamón, Puerto Rico ในคืนวันศุกร์ที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ (ค.ศ. ๒๐๐๙) จนทำให้เกิดการระเบิดที่รุนแรงตามมา (รายละเอียดอยู่ในเรื่อง "UVCE case 6 Puerto Rico 2552(2009) MO Memoir : Sunday 17 February 2562") สาเหตุเป็นเพราะวาล์วระบายน้ำฝนตัวหนึ่งเป็นชนิด non-rising stem เมื่อโอเปอร์เรเตอร์ตรวจด้วยการขับรถผ่านแล้วไม่เห็น stem โผล่ออกมา ก็เข้าใจว่าวาล์วปิดอยู่ ทั้ง ๆ นี้ในความเป็นจริงวาล์วมันเปิดอยู่ (วาล์วระบายตัวฝนตัวอื่นใช้แบบ rising stem ยกเว้นวาล์วตัวนี้)

ดังนั้นการจำว่าให้ดูตำแหน่งของ stem เพื่อที่จะบอกว่า gate valve นั้นเปิดหรือปิดอยู่ มันใช้ได้กับกรณีของ rising stem มันใช้ไม่ได้ถ้าไปเจอกับ gate valve ที่เป็น non-rising stem

ต่อไปจะมาดูกรณีของ ball valve กันบ้าง

รูปที่ ๓ ball valve ตัวนี้ด้านบนของ stem เป็นหัวสี่เหลี่ยมจตุรัส (ที่สามารถถอด handle ออกแล้วสวมใหม่ในทิศทางตั้งฉากกับทิศเดิมได้) โดยมีการบากร่องเพื่อให้รู้ว่า ball อยู่ในตำแหน่งเปิดหรือปิด

Ball valve ตัวเล็ก ๆ จะมี handle ยึดติดมากับตัววาล์ว การดูว่า ball valve เปิดหรือปิดก็ดูว่า handle นั้นอยู่ในแนวเดียวกับท่อหรืออยู่ขวางท่อ ถ้าอยู่ในแนวเดียวกับท่อมันก็เปิดอยู่ ถ้าขวางท่อมันก็ปิดอยู่ แต่ก็เคยเจอเหมือนกันกรณีที่มีการถอด handle ออกมาแล้วใส่ผิด (เช่นในระหว่างการติดตั้ง) ทำให้มันสลับกัน

ball valve ตัวใหญ่จะสามารถถอดตัว handle ออกจากวาล์วได้ หรือไม่ก็ไม่ได้ยึดติดมากับตัววาล์ว โดยส่งมาแยกชิ้นอยู่ พอจะหมุนเปิดหรือปิดก็จะเอา handle มาสวมเข้ากับหัว stem บนตัววาล์ว (คือพอวาล์วตัวใหญ่ขึ้น handle มันจะยาวเกะกะมาก บางทีเขาก็เอาโซ่แขวนห้อย ๆ ไว้อยู่ข้าง ๆ ตัววาล์ว ball valve ขนาด 4" ความยาว handle ก็จะอยู่ที่ประมาณ 60 cm แล้ว) ดังนั้นการดูว่าวาล์วเปิดหรือปิดก็ต้องไปดูว่า stem อยู่ที่ตำแหน่งใด อย่างเข่นในรูปที่ ๓ ด้านบนของ stem เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส รูสำหรับสวมบนตัว handle ก็จะมีรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเช่นกัน ทำให้เราสามารถสวม handle เข้ากับ stem ได้สองทิศทาง ส่วนที่ว่าการหมุนนั้นจะเป็นการเปิดหรือปิดวาล์วก็ให้ดูที่ร่องบากบนหัว stem ว่ามันอยู่ในแนวท่อ (คือเปิด) หรือขวางแนวท่อ (คือปิด)

รูปที่ ๔ ball valve ตัวนี้ด้านบนของตัว stem ทำเป็นรูป Double "D" ที่เห็นได้ชัดจากรูปร่างรูของด้ามจับข้างล่าง

วาล์วของบางบริษัทแก้ปัญหาว่ามองทิศทางของร่องบากยาก ก็ใช้วิธีทำให้รูปร่างส่วนหัวของ stem มันมีรูปทรงที่บ่งบอกตำแหน่งวาล์วเลยว่าเปิดหรือปิดอยู่ ดังเช่นตัวอย่างที่ยกมาในรูปที่ ๔ ที่เขาทำให้ส่วนด้านบนของ stem มีรูปร่างที่เขาเรียกว่า Double "D" คือเปรียบเสมือนสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ฝั่งด้านกว้างแทนที่จะเป็นเส้นตรงกลับเป็นเส้นโค้งนูนออกแทน โดยที่เมื่อหันแนวยาวไปตามแนวท่อก็แสดงว่าวาล์วเปิดอยู่ และถ้าแนวยาวมันหันขวางแนวท่อก็แสดงว่าวาล์วปิดอยู่

เรื่องสุดท้ายสำหรับวันนี้คือสามารถติดตั้ง swing check valve เข้ากับท่อในแนวดิ่งได้ แต่ต้องเป็นแบบไหลจากล่างขึ้นบน แต่ถ้ากังวลว่ามันอาจจะเปิดค้างได้ ก็อาจติดตั้ง counter weight ช่วยครับ (ถ้าวาล์วที่ใช้มันยอมให้ติดตั้งได้) แต่ถ้ากังวลเรื่องมันจะเปิดค้างก็หันไปใช้พวกที่ออกแบบสำหรับติดตั้งกับท่อในแนวดิ่งเลยก็แล้วกัน (เช่น vertical lift check valve)

รูปที่ ๕ swing check valve ตัวนี้ติดตั้งในแนวดิ่ง โดยทิศทางการไหลเป็นจากล่างขึ้นบน ตัวนี้ทำหน้าที่เป็น vacuum breaker กล่าวคือถ้าความดันในระบบต่ำกว่าความดันบรรยากาศ มันจะยอมให้อากาศภายนอกไหลเข้าไปข้างในระบบได้

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๕ Insulated Gate Bipolar Transistor (IGBT) MO Memoir : Saturday 29 May 2564

วิศวกรรมเคมีรุ่นก่อนหน้าผมจะเรียนวิชาพื้นฐานไฟฟ้ากันสองตัวด้วยกัน คือเรียนไฟฟ้ากำลังเทอมหนึ่งและไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์อีกเทอมหนึ่ง รุ่นที่ผมเข้าไปเรียนนั้นเขาปรับหลักสูตรใหม่ ด้วยการเอาไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ออกไป (คงคิดว่าไม่จำเป็นสำหรับวิศวเคมีมั้ง) แต่ก็ได้เรียนนิด ๆ หน่อย ๆ ตอนเรียนวิชาฟิสิกส์ ๒ ที่ยังทันได้เล่นกับหลอดสุญญากาศตอนทำแลป พอมีความรู้แค่พอรู้จักการทำงานของอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำพื้นฐานบางตัว ตอนนั้นหนังสือเรียนเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นที่นิยมมากสุดน่าจะเป็นหนังสือที่เขียนโดย อ. ยืน ภู่วรรวรรณ (คนที่เป็นฝาแฝดกับคุณหมอยง ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในตอนนี้)

ตอนไปเรียนต่างประเทศก็ได้พบกับอาจารย์รุ่นพี่ท่านหนึ่งที่มาจากลาดกระบัง พี่เขามาเรียนทางด้านอิเล็กทรอนิกส์กำลัง (power electronic) ซึ่งตอนนั้นจัดว่าเป็นศาสตร์ค่อนข้างใหม่ในการนำมาใช้งานก็ได้ และเมื่อประมาณ ๔ ปีที่แล้วก็มีศิษย์เก่าคนหนึ่งมาปรึกษาเรื่องการประหยัดพลังงานให้กับปั๊มหอยโข่ง คือเขาพยายามนำเสนอการใช้เทคนิคปรับความถี่ของไฟฟ้าเพื่อไปปรับความเร็วรอบมอเตอร์อีกที แต่ผู้มีอำนาจตัดสินใจนั้นไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไรนัก ผมก็บอกกับเขาไปว่าไม่น่าแปลก เพราะในยุคสมัยเขานั้นอุปกรณ์พวกอิเล็กทรอนิกส์กำลังมันเป็นของใหม่ ยังมีปัญหาเรื่อง reliability อยู่ ทีนี้หลายบริษัทใหญ่ ๆ ในบ้านเราพอวิศวกรทำงานมาได้ถึงระดับหนึ่งก็มักจะย้ายไปทำงานบริหาร ไม่ได้ให้เติบโตและลงลึกทางด้านงานวิศวกร การเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ย้ายหน้าที่ไปแล้วก็เลยไม่ค่อยจะได้ติดตาม อันนี้คือถ้ามองในแง่เทคโนโลยีเป็นหลัก แต่ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่งคือการจัดการ การติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมนั้นหมายถึงผู้ปฏิบัติงานซ่อมบำรุงมีหน้าที่ความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น (ในขณะที่จำนวนคนทำงานและเงินเดือนเท่าเดิม) มันไม่เหมือนกับการเปลี่ยนไปใช้มอเตอร์ที่มีความเร็วรอบลดลง หรือใช้ใบพัดขนาดเล็กลง เพราะภาระงานของผู้ซ่อมบำรุงนั้นยังคงเท่าเดิม

รูปที่ ๑ ตัวอย่างคุณลักษณะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลัง Insulated Gate Bipolar Transistor Module หรือย่อว่า IGBT (น่าจะเป็นคำย่อมาตรฐานด้วย) ที่ทางวิศวกรของบริษัท Mitsubishi ประเทศญี่ปุ่นยกมาเป็นตัวอย่างอบรบ

อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลังจำนวนไม่น้อยเป็นสินค้าควบคุมในกลุ่ม Nuclear Supplier Group (NSG) ลักษณะของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลังที่เข้าข่ายในกลุ่มนี้คือพวกที่ทำงานได้ที่ อุณหภูมิสูง, ความต่างศักย์สูง, กระแสสูง และทำงานได้อย่างรวดเร็ว (เช่นเปิด-ปิดได้อย่างรวดเร็ว) ตัวอย่างหนึ่งของอุปกรณ์นี้ได้แก่ Insulated Gate Bipolar Transistor Module หรือที่ย่อกันว่า IGBT ที่มีการนำไปใช้ในงานหลายอย่าง เช่นตัว inverter (ที่แปลงไฟกระแสสลับ-กระแสตรง), ควบคุมการจ่ายไฟให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ความต่างศักย์สูงและกระแสไฟฟ้าสูง (เช่นรถไฟ) เป็นต้น

อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็น switching device ที่ใช้ในการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้ามีอยู่ด้วยกันหลายชนิด (เช่น bipolar transistor, MOSFET, IGBT, หลอดสุญญากาศ) แต่ละชนิดก็มีช่วงการทำงานของมันเองที่โดดเด่นกว่าตัวอื่น ในรายการแรกของ EU-List คือ 3A001 จะใช้คำกลาง ๆ ว่า Electronic items (รูปที่ ๒) โดยไม่ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเป็นอะไร ระบุแต่ว่าถ้ามันมีความสามารถในการทำงานถึงระดับนี้ก็ต้องเป็นสินค้าควบคุม จากนั้นในส่วนที่เป็น Note จึงค่อยยกตัวอย่างว่ามันครอบคลุมอุปกรณ์อะไรบ้าง

ในหัวข้อ 3A001.h. มีการใช้คำว่า 'modules' (อยู่ในเครื่องหมาย single quote ' .... ') ซึ่งรวมเอาอุปกรณ์ที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนย่อย ๆ หลายชิ้นที่เมื่อนำมาประกอบรวมเข้าด้วยกันแล้วมีคุณสมบัติตามที่กำหนด

คำที่อยู่ในเครื่องหมาย single quote ' .... ' นั้นจะใช้กับหัวข้อนั้นเท่านั้น เช่นคำ 'modules' ที่อยู่ในหัวข้อ 3A001.h. ก็จะจำกัดเฉพาะหัวข้อนี้ แต่ถ้าเป็นคำที่อยู่ในเครื่องหมาย double quote " ... " จะครอบคลุมตลอดทั้ง Annex I (คือ List of Dual-Use Items) คือเป็นการนิยามความหมายของคำศัพท์ต่าง ๆ ที่ปรากฏในรายการ

รูปที่ ๒ ส่วนหนึ่งของรายละเอียดรายการ 3A001 โดย IGBT นั้นอยู่ในรายการ 3A001.h

เมื่อนำ IGBT ในรูปที่ ๑ มาพิจารณาว่าเข้าเกณฑ์สินค้าควบคุมหรือไม่ พบว่ามันเข้าเกณฑ์เพียงแค่ 2 ข้อคือข้อ 2. ที่ใช้กับความต่างศักย์ได้เกิน 300V (มันใช้ได้ถึง 3300V) และข้อ 3. คือรับกระแสต่อเนื่องได้เกิน 1A (มันรับได้ถึง 1500A) แต่ไม่เข้าเกณฑ์ข้อ 1. ที่ว่าต้องทำงานได้ที่อุณหภูมิ junction temperature สูงสุดสูงกว่า 215ºC ดังนั้นมันจึงไม่เป็นสินค้าควบคุมเพราะมันไม่เข้าเกณฑ์ "ครบ" ทุกข้อ

"junction temperature" ตัวนี้ไม่ใช่ ambient temperature ที่เป็นอุณหภูมิสิ่งแวดล้อม แต่เป็นอุณหภูมิที่บริเวณ "juction region" (คือจุดรอยต่อระหว่างสารกึ่งตัวนำสองชนิด)

เนื่องด้วย IGBT มักใช้กับกระแสไฟฟ้าสูง และด้วยการที่ความร้อนที่เกิดนั้นแปรตามปริมาณกระแสไฟฟ้ากำลังสอง การติดตั้ง IGBT จึงอาจต้องมีการติดตั้ง heat sink ช่วยในการระบายความร้อน (ซึ่งอาจจะใช้อากาศหรือน้ำช่วยระบายความร้อนออกจาก heat sink อีกทอดหนึ่ง) และในกรณีของ IGBT ที่มีขนาดใหญ่นั้น ขนาดของ heat sink ก็จะใหญ่ตามไปด้วย ทำให้เกิดกรณีที่ว่า heat sink สำหรับ IGBT นั้นเข้าข่ายเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนสำหรับใช้ในกระบวนการผลิตทางเคมีด้วยหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ได้กล่าวไว้ในตัวอย่างที่ ๒ ของบทความชุดนี้ (วันศุกร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๔)

ใน Annex I นั้นคำว่า IGBT มีปรากฏอยู่แค่หัวข้อ 3A001.h ดังนั้นถ้าตรวจสอบด้วยคำว่า IGBT ก็อาจทำให้ตรวจเพียงแค่หัวข้อ 3A001.h เท่านั้น แต่ถ้าดูหน้าที่การทำงานของมันที่เป็น switching device จะพบว่ามีหัวข้อที่ต้องตรวจสอบเพิ่มเติมอีกในหัวข้อ 3A228.c (รูปที่ ๓)

รูปที่ ๓ รายละเอียดหัวข้อ 3A228.c สำหรับ switching device ที่เป็นสินค้าควบคุม

รูปที่ ๔ เป็นผลการพิจารณาว่า IGBT ตัวที่ยกมาเป็นตัวอย่าง (รูปที่ ๑) เข้าข่ายสินค้าควบคุมในหัวข้อ 3A001.h และ3A228.c หรือไม่ การพิจารณาในกรณีของหัวข้อ 3A001.h นั้นค่อนข้างจะตรงไปตรงมา แต่ในกรณีของหัวข้อ3A228.c นั้นเห็นว่ามีข้อควรระวังอยู่นิดนึง

รูปที่ ๔ ผลการวินิจฉัยในหัวข้อ 3A228.c

ในหัวข้อ 3A228.c นั้น ข้อ 1. และข้อ 2. จะตรงไปตรงมา คือใช้กับความต่างศักย์ได้มากกว่า 2000V และใช้กับกระแสได้ 500A หรือมากกว่า ซึ่งก็พบว่า IGBT ที่ยกมาเป็นตัวอย่างนั้นเข้าเกณฑ์สองข้อแรก แต่ในหัวข้อ 3. นั้นเขาใช้คำว่า "Turn-on time" 1 micro sec (0.000001 s) หรือน้อยกว่า แต่คุณลักษณะในรูปที่ ๑ นั้นให้มาเป็น "Turn-on delay time (td)" และ "Turn-on rise time (tr)" โดยค่า "Turn-on time" นั้นคือค่าผลรวมระหว่าง "Turn-on delay time (td)" และ "Turn-on rise time (tr)" ซึ่งเท่ากับ 0.95 micro sec + 0.3 micro sec = 1.25 micro sec ซึ่งในเกณฑ์นั้นต้องไม่เกิน 1 micro sec จึงทำให้ IGBT ตัวนี้ไม่เป็นชิ้นส่วนควบคุม

รูปที่ ๕ เป็นตัวอย่างคุณลักษณะของ IGBT ยี่ห้อหนึ่งที่เห็นว่ามีรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกับในรูปที่ ๑ เท่าที่ค้นดูพบว่าเขาจะให้ค่า "Turn-on delay time (Td on)" และ "Turn-on rise time (tr)" มาให้ (ตรงที่ขีดเส้นใต้สีแดง) ดังนั้นผู้ตรวจสอบต้องรู้ว่าค่า "Turn-on time" นั้นต้องเอาค่าเวลาทั้งสองมาบวกรวมกัน

ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าการตรวจสอบนั้นจะดูแค่ชื่อเรียกอุปกรณ์ไม่ได้ ต้องดูว่าอุปกรณ์นั้นทำหน้าที่อะไร อยู่ในหมวดหมู่ไหน และไปตรวจสอบในหมวดหมู่นั้น และคุณลักษณะบางอย่างนั้นข้อกำหนดให้ไว้เป็นค่า "ผลรวม" ในขณะที่ผู้ผลิตอุปกรณ์นั้นจะให้ค่าแยกออกมา ซึ่งผู้ตรวจสอบต้องรู้ว่าควรต้องเอาค่าไหนมาบวกรวมกัน

รูปที่ ๕ คุณลักษณะของ IGBT ยี่ห้อหนึ่งที่เห็นมีรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกับตัวอย่างในรูปที่ ๑