ใน
Memoir
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๔๗๙ วันศุกร์ที่
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "GC-2014
ECD & PDD ตอนที่
๒๙ พีค NO
ที่
450ºC
เมื่อมีไอน้ำร่วม"
ผมได้เกริ่นเอาไว้ถึงต้นตอของปัญหาและบอกว่าจะเล่าให้ฟังที่หลัง
ซึ่งตอนนี้ก็ได้เวลาที่จะเล่าให้ฟังแล้วว่ามันเป็นอย่างไร
อนึ่งเรื่องระบบเครื่องปฏิกรณ์
DeNOx
นี้เคยสรุปปัญหาที่เกิดและการแก้ไขที่ได้กระทำไปเอาไว้ใน
Memoir
สามฉบับก่อนหน้านี้คือ
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๕๔ วันอาทิตย์ที่
๖ กันยายน ๒๕๕๒ เรื่อง
"สรุปปัญหาระบบ
DeNOx"
ปีที่
๓ ฉบับที่ ๒๗๗ วันเสาร์ที่
๒๖ มีนาคม ๒๕๕๔ เรื่อง
"สรุปปัญหาระบบ
DeNOx
(ภาค
๒)"
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๔๗๖ วันเสาร์ที่
๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "GC-2014
ECD & PDD ตอนที่
๒๖ การปรับแนวท่อระบบ DeNOx"
รูปที่
๑ แนวท่อแก๊สที่ต่อขึ้นชั่วคราวด้วยท่อทองแดง
(และกำลังจะกลายเป็นระบบท่อถาวร)
การที่ดัดท่อดังกล่าวให้โค้งเป็นรัศมีความโค้งกว้างนั้นเป็น
"การตั้งใจ"
ทำให้เป็นเช่นนั้น
ทั้งนี้เพื่อให้การไหลของแก๊ส
N2
ที่ไหลผ่าน
จุดบรรจุกับแก๊ส NO
เป็นไปอย่างราบเรียบ
และเป็นการลดการสูญเสียความดันในระบบท่อแก๊ส
N2
ก่อนที่จะเข้าบรรจบกับท่อแก๊ส
O2
(ที่เป็นตัวพาไอน้ำมา)
ก่อนเข้าเครื่องปฏิกรณ์
เส้นประสีแดงคือแนวท่อเดิมที่คนประกอบเก็บดูเรียบร้อย
(แต่ก่อปัญหาเยอะ)
จากการยืนมองระบบท่อ
ผมได้ตั้งสมมุติฐานว่าปัญหาน่าจะเกิดจากการที่ระบบก่อนเข้า
reactor
มีความต้านทานเพิ่มขึ้นเมื่อมีการผสมไอน้ำเข้ามา
ไอน้ำนั้นมากับแก๊ส O2
ที่ไหลผ่าน
saturator
เมื่อมีการผสมไอน้ำ
อัตราการไหลของเส้นทางนี้จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
และเมื่อไหลเข้ามาบรรจบโดยไหลเข้ามาตั้งฉากกับเส้นทางการไหลหลัก
จึงทำให้ความต้านทานการไหลของเส้นทางการไหลหลักเพิ่มขึ้น
แม้ว่าอัตราการไหลในเส้นทางการไหลหลักจะสูงมากกว่า
แต่ความดันที่ใช้นั้นไม่ได้สูงกว่ามาก
จึงทำให้เกิดความดันสะสมที่ย้อนกลับไปยังด้านขาออกของ
mass
flow controller ได้
และความดันสะสมนี้เองที่เป็นปัญหาที่ทำให้การไหลของ
NO
ด้านขาออกจาก
mass
flow controller มีปัญหา
เพราะ mass
flow controller ตัวนี้ก็เปิดน้อยอยู่แล้ว
(อันที่จริงสงสัยว่าจะเกิดกับ
NH3
ด้วย)
เราได้ทำการทดสอบสมมุติฐานด้วยการทดลองนำท่อทองแดงมาต่อตามที่แสดงในรูปที่
๑ (ที่ใช้ท่อทองแดงก็เพราะตอนนั้นหาเจอแต่ท่อทองแดง
และมันก็ดัดโค้งได้ง่ายด้วย)
และก็ทดลองวัดความเข้มข้น
NO
ใหม่อีกครั้ง
ด้วยการดัดแปลงเพียงเท่านี้ก็ทำให้เราเห็นความเข้มข้นของ
NO
ด้านขาออกได้สม่ำเสมอตลอดทุกช่วงอุณหภูมิตั้งแต่
100
ไปจนถึง
450ºC
รูปที่
๒
วาล์วสามทางที่ใช้ในการเลือกทิศทางการไหลว่าจะให้แก๊สผสมที่ไหลเข้าวาล์ว
(ลูกศรสีแดง)
ไหลไปยัง
reactor
(ลูกศรสีเหลือง)
หรือไหล
bypass
(ลูกศรสีเขียว)
การใช้วาล์วสามทางในการเลือกทิศทางการไหลนั้นเหมาะสมในกรณีที่เมื่อเราต้องการให้แก๊สไหลไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งนั้น
จะต้องไม่มีแก๊สไหลไปในอีกทิศทางหนึ่ง
หรือในกรณีที่เราต้องการเปลี่ยนทิศทางการไหลอย่างรวดเร็ว
แต่การใช้วาล์วสามทางจะมีปัญหาเรื่องความต้านทานการไหลที่สูงกว่าการใช้ข้อต่อตัว
T
ร่วมกับ
block
valve สองตัว
เพราะรูสำหรับให้แก๊สไหลผ่านลูกบอลของตัววาล์วสามทางนั้นมีขนาดเล็ก
แต่พอสัปดาห์ถัดมาพอเราเริ่มทำการทดลองต่อก็พบว่าปัญหาเดิมเกิดขึ้นอีก
แต่คราวนี้เนื่องจากไม่รู้ว่าจะปรับอะไรที่ด้านขาเข้าของ
reactor
อีกแล้ว
ก็เลยตรวจสอบด้านขาออกแทน
และก็พบปัญหาจริง ๆ
ปัญหาที่เกิดคือเกิดการอุดตันด้านขาออกจาก
reactor
ปัญหานี้ประสบในวันจันทร์ที่
๒๓ กรกฎาคม คือหลังจากที่เราประสบความสำเร็จในการวัด
NO
ผ่านเบดที่บรรจุ
TiO2
แล้วก็ได้เริ่มทำการทดลองโดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาบรรจุ
สิ่งที่พบคือพีคออกซิเจนออกมาล่าช้ากว่าเดิมและมีขนาดเล็กลง
จากนั้นก็ตรวจพบว่าอัตราการไหลของ
N2
ที่ไหลผ่าน
Mass
flow controller ลดลงกระทันหัน
และไม่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้
นอกจากนี้ยังพบว่า Mass
flow controller ของแก๊สตัวอื่นก็รวนไปหมด
ดังนั้นจึงได้ทำการถอดระบบท่อทางออกออกมาตรวจสอบและพบว่าบริเวณข้อต่อสามทางที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง
thermowell
และแก๊สขาออกนั้นมีสิ่งสกปรกอุดตัน
(ดูรูปที่
๓)
และในท่อด้านขาออกก็มีสิ่งสกปรกเกาะอยู่บนผนังท่อด้านในด้วย
จึงได้ถอดออกมาล้างทำความสะอาด
พร้อมกันนั้นก็ได้ปรับปรุงท่อด้านขาออกใหม่ด้วยการปลดวาล์วสามทางที่มีอยู่อีกสองตัวนั้นออกไปด้วย
ซึ่งก็ทำให้ระบบนั้นสามารถทำงานได้เรียบร้อยอย่างน้อยก็จนถึงขณะนี้
รูปที่
๓ ระบบท่อแก๊สด้านขาออกที่เป็นปัญหา
วงกลมแดงคือข้อต่อสามทางที่ใช้ในการสอด
thermowell
ส่วนวงกลมเหลือคือวาล์วสามทางอีกสองตัว
การเรียนภาคปฏิบัตินั้นประกอบด้วย
๓ ขั้นตอนด้วยกัน
ขั้นตอนแรกคือการที่ผู้สอนสาธิตให้ผู้เรียนได้เห็น
ขั้นตอนที่สองคือการให้ผู้เรียนปฏิบัติภายใต้การกำกับดูแลของผู้สอน
และขั้นตอนที่สามคือการให้ผู้เรียนปฏิบัติด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีการกำกับดูแล
ซึ่งในขณะนี้ผมคิดว่าทั้งสาวน้อยร้อยห้าสิบเซนต์ (คนใหม่) และสาวน้อยหน้าบาน (คนใหม่) ก็ได้ผ่านสองขั้นตอนแรกมาแล้ว
ถ้าจะยกภาพเพื่อให้เห็นความสำคัญของอาจารย์ผู้สอนที่ต้องมาลงมือปฏิบัติทำการทดลองเองนั้น
ก็คงเปรียบได้เหมือนหมอผ่าตัด
ซึ่งความสามารถในการผ่าตัดจะยังคงอยู่ตราบเท่าที่เขายังคงลงมือผ่าตัดคนไข้อยู่
เมื่อใดก็ตามที่เขาเลิกจับมีดลงมือผ่าตัดหรือแม้แต่จะมาดูการผ่าตัดจริง
แม้ว่าเขาจะมีบทความวิชาการตีพิมพ์มากเท่าใด
(ซึ่งอาจได้มาจากนักเรียนแพทย์ที่เขียนให้เพื่อให้สำเร็จการศึกษา)
เขาก็ไม่ควรเรียกตนเองว่าเป็นหมอผ่าตัดผู้เชี่ยวชาญ
ที่กล่าวมาข้างบนเป็นบทสนทนาระหว่างผมกับอาจารย์ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยงานท่านหนึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว
การเรียนรู้การแก้ปัญหาจริงในการทำการทดลองนั้นเปรียบเสมือนกับการที่หมอฝึกหัดต้องการประสบการณ์ในการรักษาผู้ป่วยที่ป่วยด้วยอาการแตกต่างกันหรือด้วยโรคเฉพาะที่ตนเองต้องการศึกษา
หมอนั้นไม่สามารถกำหนดได้ว่าต้องมีผู้ป่วยด้วยอาการใดบ้าง
และจำนวนเท่าใดต้องมาพบเขาในเวลาที่เขากำหนด
สิ่งที่เขาทำได้ก็คือนั่งรอว่าจะมีผู้ป่วยอาการเช่นใดมาหาบ้าง
และมีกี่ราย
และเมื่อมีมาหาแล้วก็ต้องลงมือรักษาทันที
การเรียนการแก้ปัญหาในการทดลองก็เช่นเดียวกัน
เราไม่สามารถบอกได้ว่าปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อใด
รู้แต่ว่าเมื่อปัญหามันเกิดขึ้นเราก็จะรีบลงมือแก้ไขทันที
โดยไม่คิดที่จะเรียกให้คนอื่นมารับทราบเรื่องก่อนแล้วค่อยลงมือแก้ไข
และนั่นคือความสำคัญของการที่ต้องมานั่งรอ
(ฝากถึงพวกป.โทปี
๑ ด้วยก็แล้วกัน)