ผมเคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาการของเด็กเอาไว้ในเรื่อง
"ทำไมน้ำกระด้างจึงมีฟอง"
ซึ่งตอนนั้นพูดถึงการพัฒนาการใช้มือ
(ดู
Memoir
ฉบับวันอังคารที่
๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕)
การพัฒนาการของเด็กนั้นต้องประกอบด้วยการพัฒนาการทางร่างกายและการพัฒนาการทางด้านสมองไปพร้อม
ๆ กัน จะขาดเสียอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
แต่ดูเหมือนว่าสังคมในปัจจุบันจะเน้นไปที่การพัฒนาการทางด้านสมองซะเป็นส่วนใหญ่
โดยผู้ใหญ่เอาเป้าหมายที่ตัวเองตั้งเอาไว้ว่าโตขึ้นอยากให้เด็กเป็นอย่างไร
โดยปากก็บอกว่ามึวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กได้ดีตอนโต
แต่หลายกรณีที่เคยประสบมาพบว่าวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของผู้ใหญ่ที่ซ่อนเอาไว้แล้วไม่พูดออกมาคือจะได้มีอะไรเอาไปไว้คุยโอ้อวดกับคนอื่นว่าฉันมีของดีกว่าคนอื่น
โดยไม่ได้สนใจว่าเมื่อเด็กคนนั้นโตขึ้นจนผ่านพ้นวัยเรียนรู้ทางวิชาการไปแล้ว
เขาจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอย่างที่เขาต้องการได้หรือไม่
ผมไม่ได้คิดว่าเด็กเล็กที่เก่งนั้นต้องเป็นคนที่คิดเลขเก่ง
อ่านหนังสือได้หลากหลายภาษา
บอกไว้ว่าดาวเคราะห์มีกี่ดวงหรือไดโนเสาร์หน้าตาอย่างนี้ชื่ออะไร
แต่การเรียนรู้ของเด็กเล็กนั้นควรเริ่มต้นจากธรรมชาติรอบ
ๆ ตัวเขาเอง โดยหาโอกาสให้เขาได้มีประสบการณ์ตรง
ได้สัมผัสกับของจริงให้ได้มากที่สุด
ในขณะที่การทำรายงานของเด็กโตหรือผู้เรียนในมหาวิทยาลัยนั้นจะเน้นไปที่การค้นคว้าเอกสารซะเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งตอนนี้ทำได้ง่ายมากเพราะค้นได้จากอินเทอร์เน็ตที่ไหนก็ได้
ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ต้องไปหาจากหนังสือในห้องสมุด
แต่ผมยังดีใจที่ลูกยังได้มีโอกาสทำรายงานที่ต้องเขียนขึ้นจากการทดลองและสังเกตด้วยตนเอง
รายงานหนึ่งที่เจอมาตั้งแต่สมัยลูกคนแรกคือการปลูกต้นไม้
การสังเกตใบไม้ ดอกไม้
การทำความรู้จักต้นไม้ต่าง
ๆ และประโยชน์ของมัน
โดยครูที่โรงเรียนได้ให้นักเรียนไปถ่ายรูปและนำมาแปะลงในสมุดรายงาน
การทำรายงานแบบนี้แต่ก่อนจะทำยากและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสูง
เพราะต้องถ่ายด้วยกล้องฟิล์ม
เอาฟิล์มไปล้าง อัด
และนำรูปมาตัดแปะ
แถมแต่ก่อนก็ไม่ได้มีกล้องถ่ายรูปกันทุกบ้าน
ในขณะที่ปัจจุบันเรียกได้ว่ามีกันแทบทุกคน
อย่างน้อยก็กล้องที่ติดโทรศัพท์
เอารูปลงรายงานก็ย้ายข้อมูลจากโทรศัพท์เข้าคอมพิวเตอร์ได้เลย
พอถึงสมัยลูกคนที่สองก็เตรียมพร้อมสำหรับรายงานแบบดังกล่าว
ก็เลยปลูกต้นไม้เอาไว้หลายหลายรอบ
ๆ บ้าน โดยกระจายออกเป็นชนิดต่าง
ๆ มีทั้งไม้ดอกที่เอาไว้ให้ความสวยงามและเรียกผีเสื้อและแมลงต่าง
ๆ มากินน้ำหวาน
ซึ่งพอมีแมลงมากินน้ำหวานก็จะมีนกกินแมลงบินมากินแมลงอีกที
ทำให้ที่บ้านไม่ต้องเลี้ยงนก
เพราะจะมีนกหลายหลายสายพันธ์บินเข้ามาเรื่อย
ๆ นอกจากนั้นก็เป็นพวกไม้สวนครัว
ผลไม้ และต้นไผ่เพื่อเอาไม้ไว้ใช้สอย
อย่างน้อยก็ให้ลูก
ๆ ได้เห็นว่าพืชผักที่กินกันในแต่ละวันนั้น
มันมาจากต้นหน้าตาอย่างไร
เวลาที่เขาบอกว่าไม้เลื้อยนั้นมันเลื้อยอย่างไร
ไม้พุ่มเตี้ย พุ่มเล็กนั้นมันเป็นอย่างไร
ขนาดเท่าไร
เดือนที่แล้วคุณครูที่โรงเรียนได้ให้นักเรียนแต่ละคนนำผลไม้ไปคนละสองผล
เพื่อนำไปเรียนและรับประทานกัน
ผลไม้ที่นำไปส่วนใหญ่ก็เป็นชนิดที่หาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไปประเภทที่ไหน
ๆ ก็มี ลูกผมก็เอามังคุดไปสองลูก
แต่ผมก็เก็บมะเฟืองจากต้นที่บ้านอีกสองใบไปให้เขาด้วย
บอกว่าให้เอาไปให้เพื่อน
ๆ ดูกันว่าของจริงหน้าตามันเป็นอย่างไร
เพราะเด็ก ๆ
ก็รู้จักชื่อมะเฟืองจากตอนเรียนอาขยานที่ท่อง
"...มะเฟือง
มะไฟ มะกรูด มะนาว มะพร้าว
ส้มโอ ..."
อยู่แล้ว
ขาดแต่หน้าตาของจริงเท่านั้น
(เรื่องนี้ผมคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ของเด็กกรุงเทพหรือเด็กที่โตในใจกลางเมือง
หรือในหมู่บ้านที่ไม่มีที่จะปลูกต้นไม้ใหญ่ได้
เพราะบ้านจัดสรรปัจจุบันนิยมสร้างให้เต็มพื้นที่จนแทบไม่มีพื้นดินเหลือให้ปลูกต้นไม้ใหญ่ได้)
รูปที่
๑ (บน)
ต้นมันเทศ
(ล่าง)
ต้นที่งอกออกมาจากหัวที่ฝังอยู่ในดิน
เมื่อสองสามเดือนที่แล้วภรรยาเอาหัวมันเทศมาให้สองหัว
บอกให้เอาไปปลูกลงดิน
ผมเองเก็บเอาไว้ตั้งหลายสัปดาห์ไม่ได้เอาไปปลูกสักที
พอเดือนที่แล้วนึกขึ้นมาได้
พอไปดูก็เห็นมันเริ่มแตกใบแล้ว
ก็เลยคิดว่าต้องเอาไปปลูกซักที
ตอนแรกยังไม่รู้จะเอาลงตรงไหนดีก็เลยเอาลงกระถางใบใหญ่เอาไว้ก่อน
พอวันรุ่งขึ้นคุณแม่มาเห็นเข้าก็เลยไปหามุมเหมาะ
ๆที่มันชอบให้แล้วขุดฝังดินปลูกให้
พอได้ปุ๋ยได้น้ำทีนี้ก็เลยงอกงาม
แตกใบแผ่เลื้อยออกไป
ก็เลยถือโอกาสถ่ายรูปมาให้ดูกัน
(รูปที่
๑)
ใครที่เคยเห็นแล้วก็ไม่เป็นไร
ใครที่ยังไม่เคยเห็นก็จะได้รู้จัก
รูปที่
๒ (ซ้าย)
ต้นหนาด
(ขวา)
ใบหนาดที่โตเกือบเต็มที่
ถ่ายรูปเทียบกับไม้บรรทัด
เผื่อมีเด็กต้องใช้ทำรายงาน
จะได้รู้ว่าใบหนาดมีขนาดใหญ่แค่ไหน
อีกต้นหนึ่งได้มาตอนปลายปีที่แล้วจากงานเกษตรบางพระ
ศรีราชา คือต้น "หนาด"
(รูปที่
๒)
ถามคนขายว่าต้นหนาดนี้ใช้ทำอะไร
เขาบอกว่าใบใช้เป็นยาสมุนไพร
ใช้แก้โรคอะไรผมก็ไม่รู้
ผมรู้จักใบหนาดจากการอ่านเรื่องผีของไทย
ซึ่งมักจะกล่าวถึงใบหนาดว่าป้องกันไม่ให้ผีเข้าบ้านได้
โดยการนำมาปักไว้รอบบ้าน
แต่ทำไมผีถึงกลัวใบหนาดก็ไม่รู้เหมือนกัน
ต้นหนาดนี้มันโตเร็ว
เท่านั้นยังไม่พอ
รากของมันจะแผ่ไปใต้พื้นดินตื้น
ๆ แล้วก็จะงอกออกเป็นต้นใหม่แผ่ออกไป
มันไปโผล่ที่แปลงต้นไม้อื่นข้าง
ๆ ซะหลายต้น ก็เลยต้องคอยตามดึงทิ้ง
ให้เหลือเพียงต้นใหญ่ต้นเดียว
มุมที่เอาต้นหนาดไปปลูกนั้นก็เป็นมุมที่อยู่ใกล้
ๆ กับกอกล้วย
ซึ่งกอกล้วยดังกล่าวมันอยู่มาตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้
ตอนที่ซื้อที่ดินแปลงนี้มันก็มีอยู่แล้ว
และมันก็อยู่รอดผ่านพ้นการสร้างบ้านและน้ำท่วมใหญ่มาได้
บังเอิญกอกล้วยดังกล่าวเป็นกล้วยน้ำว้า
ไม่ใช่กล้วยตานี
ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า