วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อ่านระหว่างบรรทัด (Read between the line) MO Memoir : Friday 10 August 2555


ผมเอารูปข้างบนโพสต์ลงใน facebook พร้อมข้อความที่แสดงเมื่อเดือนปลายเดือนมิถุนายน



หนึ่งเดือนถัดไปก็มีคนมาเล่าให้ฟังว่า เขาเอารูปดังกล่าวไปเปิดให้คนที่บ้านดู

ก็เลยได้คำวิพากย์วิจารณ์มาว่าการตีความหมายแบบที่ผมเขียนข้างบนนั้นมัน "ไม่ถูกต้อง" เป็นการเข้าใจผิด

ผมเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่ตีความความหมายของข้อความต่าง ๆ ที่ได้อ่าน ได้เห็น หรือได้ยิน ตามเนื้อความหรือตามตัวอักษร

ถ้าเป็นการเขียนบทความวิชาการหรือข้อกฎหมายมันก็คงต้องเป็นเช่นนั้น

แต่สำหรับการสื่อสารกันระหว่างบุคคลแล้ว การตีความความหมายของสิ่งที่คนหนึ่งพูดหรือเขียนจากประโยคหรือข้อความที่เขาที่เขาแสดงนั้นมัน "ไม่เพียงพอ"

มันมีปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ประกอบอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภูมิหลังของผู้พูด ลักษณะท่าทีการพูด การใช้เสียง สีหน้าหรือกิริยาทางกายประกอบ สภาพการณ์ที่เขาพูด ฯลฯ ซึ่งต้องนำเอาปัจจัยเหล่านี้มาประกอบด้วยว่าเขาต้องการสื่อความหมายดังคำพูด (หรือข้อเขียน) ที่เขาแสดงออกหรือไม่

ตัวอย่างเช่นสมมุติว่าคอลัมนิสต์คนหนึ่งเขียนโจมตีการทำงานของนักการเมืองรายหนึ่งเป็นประจำ
แต่มาวันหนึ่งเขากลับเขียนยกย่องเทอดทูญการทำงานของนักการเมืองผู้นั้น

ในกรณีนี้ถ้าใครมาอ่านเพียงแค่บทความฉบับที่เขาเขียนยกย่องเทอดทูญ ก็อาจจะคิดว่าคอลัมนิสต์ดังกล่าวเห็นว่านักการเมืองผู้นั้นเป็นคนดี

แต่ถ้าใครที่อ่านคอลัมน์ของคอลัมนิสต์ผู้นั้นเป็นประจำอาจจะเห็นบทความฉบับเดียวกันว่าเป็นการประชดประชัน กล่าวคือคนเขียนไม่ได้หมายความ "ตาม" ที่เขียน แต่หมายความ "ตรงข้าม" กับที่เขียน

การอ่านความหมายเช่นนี้ทางฝรั่งเขาเรียนกว่า "Read between the line" ถ้าจะแปลเป็นไทยออกมาตรง ๆ ก็คือการ "อ่านระหว่างบรรทัด" 
 
แต่ผมว่าความหมายที่ถูกต้องน่าจะเป็น "อ่านในสิ่งที่ไม่ได้เขียน (หรือพูด) ออกมาตรง ๆ" มากกว่า และไม่ได้หมายถึงการอ่านแบบบรรทัดเว้นบรรทัด

หนังสือ "ประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารอยุธยา" เขียนโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ ฉบับพิมพ์ครั้งที่สอง เดือนมิถุนายน ๒๕๔๓ โดยสำนักพิมพ์มติชน (พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม ๒๕๒๓)

ความสามารถในการอ่านระหว่างบรรทัดนั้นผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ควรต้องมี

หนังสือ "ประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารอยุธยา" ที่ผมเอารูปมาให้ดูเป็นตัวอย่างในหน้าที่แล้วเป็นหนังสือที่ผมซื้อมาอ่านด้วยความบังเอิญเพราะชื่อหนังสือมันสะดุดตา

ผมเคยเอาหนังสือเล่มนี้ให้กับนิสิตป.เอกที่ผมสอน (ซึ่งก็มีอยู่คนเดียว) ให้เขาไปอ่าน ซึ่งผมไม่ได้ต้องการให้เขาต้องอ่านทั้งหมด เพียงแต่อย่างน้อยอยากให้เขาอ่านในส่วนคำนำของหนังสือ ซึ่งได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของคนเขียน ซึ่งผู้อ่านต้องทำความเข้าใจคนเขียนก่อน จากนั้นจึงค่อยไปอ่านเนื้อหาที่เขาเขียน แล้วจึงพิจารณาว่าเขาหมายความตามสิ่งที่เขาเขียนเอาไว้หรือไม่

ตัวอย่างเช่นการแก้ไขประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาซึ่งกระทำกันในสมัยรัตนโกสินทร์

หนังสือดังกล่าวชี้ให้เห็นปมซึ่งทำให้ผู้อ่านสามารถตั้งคำถามได้ว่า การที่ผู้เขียนไปแก้ไขเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นก่อนที่ผู้เขียนจะเกิด (หรือก่อนที่พ่อหรือปู่ของผู้เขียนจะเกิด) นั้น เขาทำได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่ได้มีชีวิตหรือได้พูดคุยกับคนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลานั้น

ดังนั้นการอ่านในอดีตนั้นจึงต้องแยกเนื้อหาออกเป็น สิ่งที่เกิดขึ้นจริง กับสาเหตุและความสมเหตุสมผลของการกระทำดังกล่าว

เพราะเหตุการณ์เดียวกันนั้นเมื่อมองจากมุมที่แตกต่างกัน (ขึ้นอยู่กับภูมิหลังของผู้ที่มอง เช่น การศึกษา หน้าที่การงาน ผู้ที่สนับสนุนให้เขียน ระบอบการปกครอง ฯลฯ) ก็ทำให้ได้สาเหตุและความสมเหตุสมผลของการกระทำดังกล่าวที่แตกต่างกันไปได้

ในปัจจุบันการอ่านผู้พูด/ผู้เขียนผมเชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญมากในการรับฟังข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่เรารับฟังข่าวสารจากประเทศทางตะวันตกที่ปกครองด้วยระบบทุนนิยมเป็นหลัก

รายงานข่าวจากสำนักข่าวเหล่านั้นจึงมักมีมุมมองว่าระบบทุนนิยมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และมักจะพยายามโจมตีประเทศอื่นที่ไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าไปหาผลประโยชน์ในประเทศนั้น (เขาไม่สนหรอกว่าประเทศเหล่านั้นจะปกครองโดยระบอบใด แต่ถ้าไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ได้เขาก็มักจะใช้สื่อโจมตีว่าเป็นพวกเผด็จการเสมอ)

ดังนั้นการอ่านสิ่งที่มีการรายงานไว้นั้นมันไม่เพียงแต่การรับรู้เหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น แต่ยังเป็นการรับรู้สิ่งที่ผู้รายงานหลีกเลี่ยงที่จะไม่รายงาน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวจะบ่งบอกถึงภูมิหลังของผู้ที่รายงานเหตุการณ์นั้นด้วย