การใช้รหัสสีเป็นวิธีการหนึ่งในการทำเครื่องหมายบนท่อว่าท่อนั้นใช้สำหรับงานอะไร
หรือมีคุณสมบัติอย่างไร
ท่อบางชนิดผู้ผลิตจะให้สีมาจากโรงงานโดยสีที่ให้มานั้นเป็นไปตามข้อกำหนดมาตรฐาน
เช่นท่อพีวีซีถ้าเป็นท่อสีฟ้าก็จะใช้กับงานประปา
(ทั้งน้ำดีและน้ำเสีย)
ถ้าเป็นท่อสีเหลืองหรือสีขาวก็จะใช้กับงานร้อยสายไฟฟ้าสายโทรศัพท์ต่าง
ๆ
ท่อที่ทำจากพอลิเมอร์พวกพอลิโอเลฟินส์
(เช่นจากพอลิเอทิลีน
(PE)
พอลิโพรพิลีน
(PP)
หรือพอลิบิวทิลีน
(PB))
เมื่อผลิตมาจะเป็นท่อสีดำ
(ไม่ได้มีการทำให้ตัวท่อเป็นสีต่าง
ๆ กันเหมือนกรณีท่อพีวีซี)
ดังนั้นจึงใช้วิธีการทำแถบสีตลอดทั้งความยาวท่อ
เช่นถ้าเป็นแถบสีส้มก็แสดงว่าเป็นท่อสำหรับร้อยสายไฟฟ้า
(รูปที่
๑)
ถ้าเป็นแถบสีฟ้าก็เป็นท่อน้ำ
การให้แถบสีแบบนี้เรียกว่า
"คาดสี"
รูปที่
๑ ท่อ PE
สีดำคาดสีส้ม
สำหรับงานร้อยสายไฟ
ท่อเหล็กกล้าก็มีการคาดสีเหมือนกัน
โดยสีแต่ละสีจะบ่งบอกถึงความหนาของผนังท่อ
เช่นมาตรฐานมอก.
๒๗๖
-
๒๕๓๒
ที่เกี่ยวข้องกับท่อเหล็กกล้านั้น
แบ่งประเภทท่อเหล็กกล้าออกเป็น
๔ ประเภทและกำหนดรหัสสีเอาไว้ดังนี้
ประเภท
๑ ท่อเหล็กแบบมีตะเข็บ
ผนังท่อบาง คาดสีน้ำตาล
ประเภท
๒ ท่อเหล็กแบบมีตะเข็บและไม่มีตะเข็บ
ผนังท่อหนาปานกลาง คาดสีน้ำเงิน
ประเภท
๓ ท่อเหล็กแบบมีตะเข็บและไม่มีตะเข็บ
ผนังท่อหนา คาดสีแดง
ประเภท
๔ ท่อเหล็กแบบมีตะเข็บและไม่มีตะเข็บ
ผนังท่อหนาพิเศษ คาดสีเขียว
โดยการคาดสีท่อนั้นกำหนดให้เป็นแถบสีกว้างประมาณ
๕๐ มิลลิเมตร
ถ้าเอาท่อเหล็กกล้าตามมอก.
๒๗๖
-
๒๕๓๒
ไปอาบสังกะสี
ท่อดังกล่าวก็จะแลายเป็นท่อเหล็กกล้าอาบสังกะสี
(Galvanized
steel pipe - GSP) ซึ่งจะไปเข้ามาตรฐานมอก.
๒๗๗
-
๒๕๓๒
ที่เกี่ยวข้องกับท่อเหล็กกล้าอาบสังกะสี
การคาดสีท่อเหล็กกล้าอาบสังกะสีก็เป็นแบบเดียวกับท่อเหล็กกล้า
แต่การคาดสีตามมาตรฐานมอก.
ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นไม่ได้ทำเป็นแถบสียาวตลอดความยาวท่อ
ทำเป็นเพียงแค่แถบสีตามแนวเส้นรอบวงของท่ออยู่ที่บริเวณปลายท่อเท่านั้นเอง
(ดูรูปที่
๒)
รูปที่
๒ ท่อเหล็กอาบสังกะสีคาดสีเหลืองนี้เป็นท่อเหล็กบาง
ท่อนี้ซื้อมาทำเสาติดจานดาวเทียม
(สงสัยว่าคงจะเป็นตัวเดียวกับประเภท
๑ ตามมาตรฐานมอก.
แต่ทำไมใช้สีต่างกันก็ไม่รู้)
พวกโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานปิโตรเคมีนั้นมีการใช้ท่อหลายหลายทั้งขนาดและชนิดวัสดุ
สิ่งที่ต้องระมัดระวังมากคือต้องใช้ท่อที่ทำจากวัสดุที่ถูกต้องกับอุณหภูมิและความดันของระบบ
การที่จะดูว่าท่อไหนรับความดันได้แค่ไหนนั้นยังพอจะคาดการณ์ได้จากการดูที่ความหนาของผนังท่อ
แต่การที่จะดูว่าท่อไหนใช้งานได้ที่อุณหภูมิสูงแค่ไหนนั้นไม่สามารถใช้การดูด้วยสายตาได้
เพราะมันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทางเคมีของโลหะที่ใช้ทำท่อ
ดังนั้นในการก่อสร้างโรงงานนั้นจึงจำเป็นต้องมีการทำรหัสบนตัวท่อตลอดทั้งเส้น
วิธีการที่ใช้กันทั่วไปคือการทาสีเป็นเส้นยาวตลอดทั้งความยาวท่อ
(จะได้ไม่มีปัญหาเมื่อท่อถูกตัดให้สั้นลง)
โดยต้องมีการกำหนดว่าสีไหนเป็นตัวแทนของท่อที่ทำจากโลหะอะไรและความหนาเท่าใด
การทำเครื่องหมายสีดังกล่าวก็เรียกว่าการ
"คาดสี"
เหมือนกัน
การคาดสีท่อนั้นเริ่มจากการนำเอาท่อเหล็กมาขัดสนิมที่ผิวนอกออกก่อน
การขัดสนิมทำด้วยการพ่นทราย
(ภาษาอังกฤษเรียก
sand
blasting แต่คนไทยมักเรียกสั้น
ๆ ว่าทำ "แซนด์บลาส")
ซึ่งเป็นการใช้ทรายละเอียดผสมเข้าไปในอากาศอัดความดันและพ่นลงไปบนผิวท่อ
ทรายที่พ่นลงไปกระทบผิวท่อก็จะแตกหักเป็นผงที่เล็กลง
ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก
พอขัดสนิมเสร็จแล้วก็จะทำการทาสีรองพื้นซึ่งเป็นสีพวกซิงค์ฟอสเฟต
(zinc
phosphate หรือสังกะสีฟอสเฟตนั่นเอง)
สีรองพื้นนี้ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ป้องกันสนิม
แต่ยังช่วยทำให้สีที่จะทาทับนั้นเกาะติดผิวท่อได้ดีขึ้น
(คือถ้าทาสีลงไปบนผิวท่อเลย
สีจะเกาะติดไม่ดี จะร่อนง่าย
เพราะโมเลกุลสียึดเกาะกับผิวโลหะได้ไม่ดี
เลยต้องมีการทาสีรองพื้นก่อนโดยสีรองพื้นจะยึดเกาะกับผิวโลหะได้ดี
และยึดเกาะกับตัวสีที่จะทาทับลงไปทีหลังได้ดี)
เมื่อทาสีรองพื้นเสร็จแล้วก็จะทำการทาสีบ่งบอกชนิดท่อตลอดความยาวท่อ
(รูปที่
๓ ข้างล่าง)
สาเหตุที่ต้องทาตลอดความยาวก็เพื่อให้มันมีเครื่องหมายอยู่ตลอดไม่ว่าจะตัดท่อให้สั้นลงแค่ไหน
เวลาที่พวกช่างที่ทำงานเดินท่อเรียกชนิดท่อเขาก็จะเรียกตามสีที่คาด
เช่น ท่อคาดส้ม ท่อคาดแดง
ท่อคาดเขียว เป็นต้น
รูปที่
๓
สีที่ทาตลอดความยาวท่อเป็นตัวบอกว่าท่อโลหะนั้นเป็นท่อทำจากโลหะชนิดเดียวกัน
เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
เวลาที่จะคาดสีท่อชนิดใดนั้นก็จะทำเฉพาะท่อชนิดนั้นไปจนเสร็จ
จากนั้นจึงค่อยเปลี่ยนไปคาดสีท่อชนิดอื่น
การพ่นทรายเพื่อขัดสนิมที่ผิวนอกของท่อและการทาสีรองพื้นนั้นทำกันกับท่อที่ใช้งานที่อุณหภูมิสูงไม่มาก
แต่ถ้าเป็นท่อที่ใช้งานที่อุณหภูมิสูงมาก
(หลายร้อยองศาเซลเซียส)
ก็ไม่จำเป็นต้องทาสีรองพื้น
เพราะตัวสีเองมันทนอุณหภูมิได้ไม่สูงอยู่แล้ว
(ลองดูท่อไอเสียรถยนต์ที่ออกมาจากเครื่องยนต์ก็ได้
ไม่มีการทาสีหรอก)
อีกอย่างคือท่อที่ขึ้นสนิมนั้น
เมื่อมีอุณหภูมิสูงขึ้นสนิมจะหลุดออกมาผิวท่อได้เอง
ทั้งนี้เพราะการขยายตัวของสนิมเหล็กกับเนื้อเหล็กนั้นแตกต่างกัน
หลักการนี้ใช้กันในการกำจัดสนิมที่อยู่ด้านในของท่อ
โดยการป้อนไอน้ำเข้าไปเพื่อให้ท่อร้อน
จากนั้นจึงชะไล่เอาสนิมเหล็กที่หลุดร่วงออกมาจากผิวท่อออกจากระบบท่อ
(ต้องไม่ลืมนะว่าการเหล็กที่สัมผัสกับน้ำจะเป็นสนิมก็ต่อเมื่อมีออกซิเจนอยู่
ถ้ามีแต่น้ำหรือไอน้ำโดยที่ไม่มีออกซิเจน
เหล็กก็จะไม่เป็นสนิม)
วันหนึ่งในขณะที่คุมงานวางท่ออยู่นั้น
ก็มองขึ้นไปบน pipe
rack เพื่อดูว่างานคืบหน้าไปแค่ไหน
สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาก็คือท่อน้ำประปา
(สำหรับ
emergency
shower กับ
eye
washer) ซึ่งเป็นท่อเหล็กอาบสังกะสีนั้น
ผิวนอกมีความมันวาวที่แตกต่างกันมาก
คือมีท่อนหนึ่งมีความมันวาวผิดปรกติ
ก็เลยเข้าไปทำการตรวจสอบ
ปรากฏว่าคนงานหยิบท่อผิดมาประกอบ
คือแทนที่จะหยิบท่อประปากลับไปหยิบท่อร้อยสายไฟฟ้า
(ชนิดท่อโลหะอาบสังกะสี)
มาต่อแทน
ผิวด้านในของท่อโลหะสำหรับร้อยสายไฟฟ้านั้นจะเรียบกว่าผิวท่อประปา
ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ฉนวนหุ้มสายไฟเกิดความเสียหายเมื่อร้อยสายไฟฟ้าเข้าไปในท่อ
งานนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าคนงานไปหยิบเอาท่อร้อยสายไฟมาจากไหนได้อย่างไร