ในช่วงสมัยรัชกาลที่
๕ ประเทศไทยได้จ้างชาวต่างชาติเข้ามาทำราชการในหน่วยงานต่าง
ๆ ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมาย
การแพทย์ วิศวกรรมศาสตร์
ฯลฯ และหนึ่งในจำนวนนั้นคือนาย
เฮอเบิร์ท วาริงตัน สมิท
(Herbert
Warington Smyth)
จากประวัติของนายสมิทที่เขียนโดยนาวาเอกอาวุธ
เงินชูกลิ่น (อธิบดีกรมศิลปากรในสมัยนั้น)
ในคำนำหนังสือ
"ห้าปีในสยาม"
นายสมิทผู้นี้ได้เข้าทำงานเป็นผู้ช่วยเจ้ากรมราชโลหกิจและภูมิวิทยา
(กรมเหมืองแร่)
โดยทำงานร่วมกับนายวอลเตอร์
เดอ มุลเลอร์ (W.
De Muller ชาวเยอรมัน)
ที่ทำหน้าที่เป็นเจ้ากรมราชโลหกิจและภูมิวิทยา
(กรมเหมืองแร่)
ในช่วงปีพ.ศ.
๒๔๓๔
-
พ.ศ.
๒๔๓๙
ก่อนจะได้ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมในช่วงปีพ.ศ.
๒๔๓๔
-
พ.ศ.
๒๔๓๙
ถัดจากนายมุลเลอร์
เมื่อออกจากราชการแล้ว
นายสมิทได้เขียนหนังสือ
Five
Years in Siam vol. 1 ซึ่งจัดพิมพ์ในปีค.ศ.
๑๘๙๘
และ Five
Year in Siam vol. 2 (ไม่ได้มีการระบุปีที่พิมพ์เอาไว้)
หนังสือ
Five
Years in Siam vol. 1
นั้นทางกรมศิลปากรได้ทำการแปลเป็นภาษาไทยและพิมพ์เผยแพร่ในปีพ.ศ.
๒๕๔๔
ส่วนฉบับภาษาอังกฤษนั้นทางสำนักพิมพ์
White
Lotus ได้ทำการจัดพิมพ์ใหม่ในปีพ.ศ.
๒๕๓๗
รูปที่
๑ หนังสือห้าปีในสยาม
แปลมาจากหนังสือ Five
years in Siam vol. 1 เขียนโดยนาย
Herbert
Warington Smyth อดีตเจ้ากรมเหมืองแร่ของประเทศสยาม
แปลโดยน.ส.
เสาวลักษณ์
กีชานนท์ จัดพิมพ์โดยกรมศิลปากร
ผมไปได้หนังสือแปลฉบับภาษาไทยจากศูนย์หนังสือจุฬา
(ศาลาพระเกี้ยว)
เมื่อเดือนมกราคม
พ.ศ.
๒๕๔๗
ซึ่งหลังจากที่อ่านจบแล้วก็เก็บเอาไว้บนชั้นหนังสือ
เมื่อวานได้โอกาสเอามาเปิดดูใหม่
เพราะคลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีข้อมูลที่น่าสนใจอยู่ในนั้น
.....
แล้วก็พบจริง
ๆ
ข้อมูลนั้นคือ
"บันทึกปริมาณน้ำฝนที่ตกในกรุงเทพมหานครในช่วงปีค.ศ.
๑๘๘๒
-
ค.ศ.
๑๘๙๐
หรือ "เมื่อ
๑๓๐ ปีที่แล้ว"
แต่ก่อนอื่นคงต้องขอทำความเข้าใจเรื่องการนับปีพ.ศ.
กับปีค.ศ.
กันก่อน
รูปที่
๒ สถิติอุณหภูมิและปริมาณน้ำฝนในกรุงเทพในปีค.ศ.
๑๘๙๐
จากหนังสือหน้า ๓๖๖
ที่ถูกต้องผมคิดว่าเดือนมกราคมถึงมีนาคมควรต้องเป็นปีพ.ศ.
๒๔๓๒
ส่วนพ.ศ.
๒๔๓๓
จะเริ่มต้นในเดือนเมษายน
(ดูคำอธิบายเรื่องการเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ของไทยในหน้าถัดไป)
ประเทศไทยเดิมนั้นวันขึ้นปีใหม่คือวันที่
๑ เมษายน ซึ่งเป็นวันที่จะมีการเปลี่ยนปีพ.ศ.
เช่นสมมุติว่าวันนี้คือวันที่
๓๑ มีนาคม พ.ศ.
๒๔๘๐
(ตรงกับวันที่
๓๑ มีนาคม ค.ศ.
๑๙๓๘)
วันรุ่งขึ้นจะเป็นวันที่
๑ เมษายน พ.ศ.
๒๔๘๑
(ตรงกับวันที่
๑ เมษายน ค.ศ.
๑๙๓๘)
พอไปถึงวันที่
๓๑ ธันวาคม พ.ศ.
๒๔๘๑
(ตรงกับวันที่
๓๑ ธันวาคม ค.ศ.
๑๙๓๘)
วันถัดไปจะเป็นวันที่
๑ มกราคม พ.ศ.
๑๔๘๑
(แต่จะเป็นวันที่
๑ มกราคม ค.ศ.
๑๙๓๙
-
ปีค.ศ.เปลี่ยน
แต่ปีพ.ศ.
ยังไม่เปลี่ยน)
ประเทศไทยมาปรับวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่
๑ มกราคมในปีพ.ศ.
๒๔๘๔
กล่าวคือปีพ.ศ.
๒๔๘๓
จะมีเพียง ๘ เดือนเท่านั้นเอง
คือจากวันที่ ๑ เดือนมีนาคม
พ.ศ.
๒๔๘๓
ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ.
๒๔๘๓
(ค.ศ.
๑๙๔๐)
วันถัดไปจะเป็นวันที่
๑ มกราคม พ.ศ.
๒๔๘๔
(ค.ศ.
๑๙๔๑)
ซึ่งเป็นครั้งแรกที่วันที่มีการเปลี่ยนปีพ.ศ.
ตรงกับวันที่มีการเปลี่ยนปีค.ศ.
รูปที่
๓ สถิติปริมาณน้ำฝนในกรุงเทพในช่วงปีค.ศ.
๑๘๘๒
ถึงปีค.ศ.
๑๘๙๐
จากหนังสือหน้า ๓๖๗
ตารางนี้ผมคิดว่าไม่น่าจะถูกต้องในส่วนการแปลงปีค.ศ.
เป็นปีพ.ศ.
ของเดือนมกราคมถึงมีนาคมเช่นเดียวกับตารางในรูปที่
๒
รูปที่
๔ สถิติการส่งออกข้าวในช่วงปีค.ศ.
๑๘๘๕
ถึงปีค.ศ.
๑๘๙๖
จากหนังสือหน้า ๓๘๐
จะเห็นว่ามีการพูดถึงปริมาณน้ำฝนในบางปีด้วย
ในภาคผนวก
๑ เรื่อง "กระแสน้ำและลมในแม่น้ำเจ้าพระยา"
ของหนังสือดังกล่าวมีการให้ข้อมูลอุณหภูมิและปริมาณน้ำฝนที่ตกในกรุงเทพมหานครในช่วงปีค.ศ.
๑๘๘๒
-
ค.ศ.
๑๘๙๐
(หน้า
๓๖๖ ในรูปที่ ๒ และหน้า ๓๖๗
ในรูปที่ ๓)
และยังมีปรากฏในภาคผนวก
๓ (หน้า
๓๘๐ ในรูปที่ ๔)
ในส่วนท้ายของภาคผนวก
๑ นั้น (หน้า
๓๖๘ ในหนังสือ)
นายสมิทได้กล่าวเอาไว้ว่า
"การวัดปริมาณฝนตกที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวในประเทศนี้จัดทำขึ้นโดยองค์กรเอกชนหรือเป็นของส่วนบุคคล(๑)
ข้อมูลที่เห็นอยู่ด้านบนได้มาจากบริษัทบอร์เนียว
เป็นที่คาดหวังกันมากว่าประเทศที่ต้องพึ่งพาปริมาณฝนตกอย่างมากมายที่สยามและประเทศซึ่งความผันแปรต่าง
ๆ
มีอิทธิพลที่สำคัญยิ่งต่อผลผลิตประจำปีและต่อการติดต่อสื่อสารกับจังหวัดต่าง
ๆ มากมายที่อยู่ห่างไกลเช่นนี้
รัฐบาลควรจะก่อตั้งสถานีเก็บข้อมูลไว้ในทุก
ๆ จังหวัด
และแม้ว่าจะได้มีการนำเข้าเครื่องวัดปริมาณน้ำฝนเป็นจำนวนมากตั้งแต่
๓-๔
ปีที่แล้ว(๒)
แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยได้เห็นผลงานใด
ๆ ที่เกิดจากเครื่องวัดเหล่านั้น"
หมายเหตุ
(๑)
คือข้อมูลในรูปที่
๓ ที่เอามาแสดงให้ดู
(๒)
น่าจะเป็นช่วงปีค.ศ.
๑๘๙๔
-
ค.ศ.
๑๘๙๕
หรือปีพ.ศ.
๒๔๓๗
-
พ.ศ.
๒๔๓๘
ผมลองค้นข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงานที่ทำหน้าที่พยากรณ์อากาศในประเทศไทย
พบว่าหน่วยงานแรกที่ทำหน้าที่ดังกล่าวคือกองทัพเรือ
จากหน้าเว็บของกองอุตุนิยมวิทยา
กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ
(รูปที่
๕)
ให้ข้อมูลไว้ว่า
กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
(ผู้บัญชาการทหารเรือในขณะนั้น)
ได้วางแนวทางการศึกษาและเป็นผู้บรรยายวิชาการอุตุนิยมวิทยา
ณ โรงเรียนนายเรือในปีพ.ศ.
๒๔๔๙
(ช่วงปลายรัชกาลที่
๕)
และมีการเรียบเรียงตำราอุตุนิยมวิทยาฉบับภาษาไทยเป็นครั้งแรกในปีพ.ศ.
๒๔๕๕
(ต้นรัชกาลที่
๖)
โดยพลเรือโทพระยาราชวังสัน
ทำให้น่าจะเชื่อได้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับสภาพอากาศของไทยควรจะมีการเก็บรวบรวมมาก่อนปีพ.ศ.
๒๔๔๙
แล้ว
ในเดือนสิงหาคมปีพ.ศ.
๒๕๐๕
จึงได้มีการโอนกิจการอุตุนิยมวิทยา
(ก็คือพยากรณ์อากาศนั่นแหละ)
จากกรมทดน้ำ
กระทรวงเกษตราธิการไปสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี
แต่ในกองทัพเรือเองก็ยังคงมีหน่วยงานพยากรณ์อากาศของตัวเอง
ขึ้นอยู่กับสถานีทหารเรือสัตหีบ
๑
ดังนั้นปีพ.ศ.
๒๕๐๕
ก็น่าจะเป็นปีที่ก่อตั้งกรมอุตุนิยมวิทยาปัจจุบัน
ดังนั้นถ้านับอายุจากวันดังกล่าวมาถึงปัจจุบัน
กรมอุตุนิยมวิทยาก็พึ่งจะมีอายุครบรอบ
๕๐ ปีในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี้เอง
รูปที่
๕ หน้าเว็บของกองอุตุนิยมวิทยา
กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ
(ณ
วันศุกร์ที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๕)
การโอนกิจการนั้นอาจเป็นเพียงแค่
การโอนหน้าที่ไปให้หน่วยงานใหม่รับผิดชอบ
คือให้หน่วยงานใหม่ทำหน้าที่ดังกล่าว
ส่วนตัวหน่วยงานใหม่จะรับเอาบุคลากร
อุปกรณ์ และข้อมูลต่าง ๆ
ของหน่วยงานเดิมที่ทำหน้าที่อยู่นั้นไปด้วยหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถ้าไม่มีการโอนข้อมูลจากหน่วยงานเดิมไปยังหน่วยงานใหม่
หน่วยงานใหม่ที่ตั้งขึ้นก็คงจะมีช้อมูลสะสมย้อนหลังไปถึงเพียงแค่วันที่ก่อตั้งหน่วยงานนั้น
ประวัติของกรมอุทกศาสตร์กองทัพเรือเองก็แสดงให้เห็นว่าทางกองทัพเรือก็มีหน่วยงานด้านพยากรณ์อากาศเป็นของตนเองที่ทำหน้าที่คู่ขนานไปกับหน่วยงานด้านพยากรณ์อากาศในส่วนที่ไม่ใช่ของกองทัพ
และกองทัพเรือเองก็เป็นหน่วยงานแรกของประเทศไทยที่ให้ความสนใจงานด้านอุตุนิยมวิทยา
(เริ่มเมื่อกว่า
๑๐๐ ปีที่แล้ว)
ตอนนี้เราคงจะได้เห็นกันแล้วนะว่า
ข้อมูลปริมาณน้ำฝนที่ตกในกรุงเทพมหานครมีการบันทึกเอาไว้อย่างเป็นระบบ
(ส่วนจะต่อเนื่องแค่ไหนนั้นไม่รู้เหมือนกัน)
เอาไว้อย่างน้อยเมื่อ
๑๓๐ ปีที่แล้ว
ผมพึ่งจะตรวจพบว่า
Memoir
ฉบับที่
๔๘๘ นั้นไม่มี คือมันกระโดดจากฉบับที่
๔๘๗ ไปยัง ๔๘๙ เลย
ดังนั้นเพื่อเป็นการปรับแก้ตัวเลข
Memoir
ฉบับนี้แทนที่จะเป็นฉบับที่
๕๑๒ ก็เลยต้องให้เป็นฉบับที่
๕๑๑ก แล้วฉบับต่อไปจึงจะให้เป็นฉบับที่
๕๑๒