เอกสารฉบับนี้แจกจ่ายเป็นการภายใน
เนื้อหานำลง blog
เพียงบางส่วน
เนื้อหาในเอกสารฉบับนี้เกี่ยวกับการเตรียมโครงร่างเพื่อทำการสอบสำหรับนิสิตปริญญาตรีรหัส
๕๒ ที่ทำซีเนียร์โปรเจค
ทั้งนี้เพื่อให้มีความเข้าใจที่ตรงกับว่างานที่จะต้องทำนั้นมีอะไรบ้าง
และบรรดารุ่นพี่ที่ทำวิทยานิพนธ์อยู่จะได้รับรู้ว่าต้องดูแลน้อง
ๆ อย่างไรบ้าง
๑.
ภาพรวมทั่วไป
๑.๑
ถึงเวลานี้นิสิตป.ตรีปี
๔
คงจะเห็นภาพบ้างแล้วว่าการทำการทดลองเพื่อการวิจัยนั้นมีปัญหาอะไรบ้าง
สิ่งสำคัญสิ่งแรกที่ทุกคนได้เห็นคือการทำให้เครื่องมือวัด
(โดยเฉพาะ
GC
ที่พวกคุณต้องใช้)
ใช้งานได้
และให้ผลการวิเคราะห์ที่เชื่อถือได้
๑.๒
โดยปรกติแล้วก่อนที่จะเริ่มทำการทดลอง
ผู้ใช้เครื่องต้องทำการตรวจสอบการทำงานของเครื่องก่อนว่าทำงานได้เรียบร้อย
ไม่มีปัญหา สัญญาณที่ได้นั้นมีความสม่ำเสมอ
ไม่ใช่ว่าเมื่อวานเปิดเครื่องแล้วได้สัญญาณแรงระดับหนึ่ง
พอมาวันนี้เปิดเครื่องแล้วได้สัญญาณแรงอีกระดับหนึ่ง
หรือตอนเช้าสัญญาณแรงระดับหนึ่ง
พอตกเย็นความแรงของสัญญาณเปลี่ยนไป
ถ้าอุปกรณ์ยังเป็นเช่นนี้อยู่เราจะไม่สามารถทำการทดลองได้
๑.๓
ความแรงของสัญญาณที่กล่าวในข้อ
๑.๒
คือ "ขนาด"
ของสัญญาณที่เครื่องส่งออกมาต่อปริมาณสารตัวอย่างที่ฉีดเข้าไปในเครื่อง
ในกรณีของเครื่อง GC
นั้น
"ขนาด"
ที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ
"พื้นที่พีค"
สมมุติว่าวันนี้ฉีดโทลูอีน
0.5
ไมโครลิตรแล้วได้พื้นที่ระดับ
100000
หน่วย
พอตกเย็นหรือวันรุ่งขึ้นมาเปิดเครื่องใหม่แล้วฉีดโทลูอีน
0.5
ไมโครลิตรเข้าไปใหม่
ก็ควรได้สัญญาณอยู่ที่ระดับ
100000
หน่วยเช่นเดียวกัน
๑.๔
ที่บอกว่าระดับ 100000
หน่วยในข้อ
๑.๓
นั้นไม่ได้หมายความว่าต้องฉีดออกมาได้พื้นที่
100000
หน่วยพอดี
แต่หมายความว่าถ้าทดลองฉีดโทลูอีน
0.5
ไมโครลิตรซ้ำหลายครั้ง
พื้นที่เฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับประมาณนี้
เช่นสมมุติว่าวันนี้ฉีด ๕
ครั้งได้พื้นที่ 100000
105000 98000 95000 102000 ซึ่งก็เฉลี่ยออกมาประมาณ
100000
แต่พอวันรุ่งขึ้นฉีดใหม่
๕ ครั้งได้พื้นที่ 100000
120000 105000 110000 110000 ซึ่งให้ค่าเฉลี่ยออกมามากกว่า
100000
ไปเกือบ
10%
แสดงว่าความว่องไวของ
detector
สองวันนั้นไม่เท่ากัน
ต้องทำการปรับความว่องไวของ
detector
ให้เท่ากันก่อน
ที่สำคัญคือต้องปรับความว่องไวของ
detector
ให้เท่ากับวันที่สร้าง
calibration
curve (กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณสารและความแรงของสัญญาณจาก
detector)
๑.๕
ความว่องไวของ detector
นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
แต่โดยปรกติแล้วเรามักจะปรับแต่งภาวะการทำงานของเครื่องให้
detector
มีความว่องไวสูงสุดก่อน
จากนั้นจึงค่อยสร้าง
calibration
curve
๑.๖
อย่าไปสับสนระหว่างความแรงของสัญญาณที่กล่าวมาข้างต้นนั้นกับระดับเส้น
base
line ระดับเส้น
base
line ของการวิเคราะห์แต่ละครั้งอาจจะแตกต่างกันได้
(เป็นเรื่องปรกติที่เรามักจะเห็นระดับเส้น
base
line มีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า
ๆ)
เช่นวันนี้ระดับเส้น
base
line อยู่ที่
100000
หน่วย
แต่พออีกวันหนึ่งอยู่ที่
50000
หน่วย
แต่ถ้าฉีดตัวอย่างในปริมาณที่เท่ากัน
จะต้องให้พีคที่มีขนาดพื้นที่เท่ากัน
๑.๗
ในการทดสอบ GC
นั้นหลังจากที่เราทำให้เครื่องนิ่งได้แล้ว
เราจะเริ่มจากให้ใครสักคนฉีดตัวอย่างที่ปริมาตรหนึ่งที่คงที่เข้าเครื่องหลาย
ๆ ครั้ง แล้วดูว่าได้พื้นที่พีคออกมาคงที่หรือไม่
การทดสอบนี้เป็นการทดสอบฝีมือการฉีดสารของแต่ละคนว่าคงเส้นคงวาแค่ไหน
ถ้ายังทำตรงนี้ไม่ได้ก็จะทำการทดลองต่อไปไม่ได้
จากนั้นจึงลองเปลี่ยนคนฉีดตัวอย่าง
โดยให้คนที่สองทดลองฉีดตัวอย่างที่ปริมาตรเดียวกันกับที่คนแรกฉีด
แล้วดูว่าได้พื้นที่พีคออกมาเหมือนกับที่คนแรกฉีดหรือไม่
ถ้าสองคนนั้นทำพื้นที่พีคได้ในระดับเดียวกัน
ก็จะสามารถใช้ calibration
curve เส้นเดียวกันได้
แต่ถ้าออกมาแตกต่างกัน
แต่ละคนต้องมีเส้น calibration
curve ของตัวเอง
(แม้ว่าจะเป็นสารเดียวกัน)
การทดสอบตรงนี้เป็นการหาความคลาดเคลื่อนที่ขึ้นกับตัวบุคคล
๑.๘
ในส่วนของเครื่อง GC-2014
ที่เราฉีดโดยใช้
samplig
loop นั้น
ปัญหาจะอยู่ตรงที่การปรับความดันใน
sampling
loop ให้เท่ากับความดันบรรยากาศก่อนฉีด
ซึ่งตรงนี้เรามีวิธีปฏิบัติที่ชัดเจนอยู่แล้ว
แต่ส่วนของ GC-8A
ที่ใช้
syringe
ฉีดนั้นจะมีปัญหาเรื่องเทคนิคการดูดตัวอย่างที่เป็นของเหลวเข้ามาใน
syringe
โดยต้องไม่มีฟองอากาศ
และยังมีเรื่องการอ่านสเกลที่ข้าง
syringe
อีกซึ่งขึ้นอยู่กับสายตาของแต่ละคน
๑.๙
แต่การฉีดด้วย syringe
ก็มีข้อดีเหมือนกัน
เพราะไม่ไปรบกวนการไหลของ
carrier
gas แต่ถ้าทำการฉีดด้วย
sampling
loop นั้นอัตราการไหลของ
carrier
gas จะมีการเปลี่ยนแปลง
เพราะเมื่อวาล์วฉีดสารตัวอย่างเปลี่ยนตำแหน่งระหว่างตำแหน่งเก็บตัวอย่างและตำแหน่งฉีดสารตัวอย่าง
แรงต้านการไหลจะเปลี่ยนไป
(ขนาดรูให้แก๊สไหลผ่านที่
sampling
valve นั้นเล็ก
ไม่น่าเกิน 1/16")
ในกรณีที่การตอบสนองของ
detector
ขึ้นกับอัตราการไหลของ
carrier
gas การเปลี่ยนแปลงอัตราการไหลของ
carrier
gas จะส่งผลต่อระดับเส้น
base
line ซึ่งเรามีประสบการณ์ที่เห็นได้ชัดในกรณีของตัวตรวจวัดชนิด
thermal
conductivity detector (TCD) Electron capture detector (ECD) และ
Pulsed
discharge detector (PDD))
ส่วนในกรณีที่การตอบสนองของ
detector
ไม่ค่อยขึ้นกับอัตราการไหลของ
carrier
gas เราจะพบว่าการเปลี่ยนแปลงอัตราการไหลของ
carrier
gas จะส่งผลต่อรูปร่างปรากฏของพีค
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีของพีค
SO2
ที่วัดด้วย
GC-2014
FPD (Flame photometric detector)
ซึ่งการทดสอบเมื่อวานแสดงให้เห็นว่ารูปร่างพีคขึ้นกับจังหวะเวลาเปลี่ยนตำแหน่งวาล์วจากตำแหน่งฉีดตัวอย่างกลับมาเป็นตำแหน่งเก็บตัวอย่าง
๑.๑๐
ดังนั้นภาพการทำงานของพวกคุณนั้น
ผมไม่ได้คาดหวังว่าพวกคุณจะได้ทำการทดลองหลายการทดลองเพื่อให้ได้ผลออกมาเยอะ
ๆ (โดยไม่สนใจว่าถูกต้องหรือเปล่า)
แต่ผมต้องการให้พวกคุณได้เห็นกระบวนการทดลองทั้งหมด
ซึ่งเริ่มตั้งแต่การปรับแต่งเครื่องมือวัดเพื่อให้ได้ผลการทดลองที่เชื่อถือได้
ดังนั้นการทดลองเพื่อการทดสอบความว่องไวของตัวเร่งปฏิกิริยาที่พวกคุณจะได้ทำนั้น
อาจจะมีเพียงแค่การทดลองเดียวก็ได้
การทดลองเดียวที่กล่าวในย่อหน้าข้างบนไม่ได้หมายความว่าทำการ
run
reaction เพียงครั้งเดียวนะ
แต่อาจหมายถึงการต้อง run
reaction ที่ภาวะเดิม
ๆ ซ้ำหลายครั้ง
เพราะเป็นเรื่องปรกติที่การทดลองทำครั้งแรกมันจะ
"ล้มเหลว"
ถ้าทดลองทำครั้งแรกแล้วไม่มีปัญหาใด
ๆ ผมจะแปลกใจมาก
๑.๑๑
เหตุผลที่ไม่ได้ให้พวกคุณเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยาเพราะต้องใช้เวลาการเตรียมต่อเนื่องกันหลายวัน
ที่ผ่านมาในกรณีที่เป็นนิสิตป.โทนั้นจะมีรุ่นพี่คอยกำกับ
และอาจหมายถึงการต้องมาค้างที่แลปด้วย
ดังนั้นสำหรับพวกคุณที่ต้องเรียนวิชาอื่นและยังมีการบ้านอีก
จึงไม่ได้ให้เตรียมตัวเร่งปฏิกิริยา
แต่ช่วงสัปดาห์นี้พี่ป.โทปี
๑ เขากำลังเตรียม ZSM-5
กันอยู่
พวกคุณก็สามารถเข้ามาศึกษางานจากพวกเขาได้
๑.๑๒ ....