เราพบปัญหานี้เมื่อเริ่มให้นิสิตรหัส
๕๔ มาใช้เครื่อง GC-2014
FPD ใหม่อีกครั้ง
เมื่อทดลองฉีด
SO2
เข้าไปในตอนแรก
ปรากฏว่าได้พีคที่เตี้ยและลากหางยาวไปพักหนึ่ง
แล้วก็เกิดไหล่ที่ลดต่ำลงกระทันหัน
(เส้นสีดำที่มีลูกศร
(๑)
กำกับในรูปที่
๒ ที่อยู่ในหน้าสุดท้าย)
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับผลการวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ก็เห็นได้ชัดว่ามันผิดแปลกไปจากเดิม
หลังจากที่วิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาอยู่พักหนึ่ง
ก็ได้ทดลองให้เปลี่ยนเวลาปรับตำแหน่งวาล์วฉีดแก๊สตัวอย่าง
คือจากเดิมที่ให้ฉีดสารตัวอย่างที่เวลา
0.01
นาที
และหมุนกลับคืนสู่ตำแหน่งเก็บแก๊สตัวอย่างที่เวลา
2.00
นาที
โดยคงเวลาการฉีดแก๊สตัวอย่างไว้ที่เวลา
0.01
นาทีเหมือนเดิม
และทดลองปรับเวลาหมุนกลับคืนสู่ตำแหน่งเก็บแก๊สตัวอย่างมาเป็น
1.00
นาทีและ
20
วินาที
(0.33
นาที)
ปรากฏว่าได้เส้นโครมาโทแกรมที่เปลี่ยนไป
โดยตำแหน่งที่เป็นไหล่นั้นร่นใกล้เข้ามาและราบเรียบขึ้น
รูปที่
๑ (บน)
คอลัมน์ที่ใช้ในการวิเคราะห์
SO2
และ
SO3
มีขนาด
OD
1/16" ID 1 mm (ล่าง)
ปลายด้านต่อเข้า
detector
ยังต้องผ่าน
reducer
ลดขนาดท่อลงเหลือ
1/32"
อีก
สาเหตุดังกล่าวคาดว่าเกิดจากคอลัมน์ที่เราใช้นั้นมีขนาดเล็ก
(ดังแสดงในรูปที่
๑)
และตัววาล์วฉีดสารตัวอย่างนั้น
เมื่อขยับมาอยู่ที่ตำแหน่งฉีดแก๊สตัวอย่างจะทำให้ความต้านทานการไหลของ
carrier
gas สูงกว่าเมื่ออยู่ที่ตำแหน่งเก็บแก๊สตัวอย่าง
ทำให้อัตราการไหลของ carrier
gas ลดต่ำลงเมื่อวาล์วขยับมาอยู่ที่ตำแหน่งฉีดแก๊สตัวอย่าง
ดังนั้นเมื่อเราขยับวาล์วกลับคืนสู่ตำแหน่งเก็บแก๊สตัวอย่างเร็วขึ้น
แก๊สตัวอย่างจึงถูกพัดพาออกจากคอลัมน์ได้เร็วขึ้น
พีคจึงดูแหลมขึ้นและส่วนที่เป็นไหล่ก็ดูราบเรียบขึ้น
คำถามก็คือเราควรจะขยับวาล์วกลับคืนสู่ตำแหน่งเก็บแก๊สตัวอย่างที่เวลาเท่าใด
คำตอบก็คือหลังจากที่มั่นใจว่า
carrer
gas พัดพาเอาแก๊สตัวอย่างใน
sampling
loop ออกไปจนหมดแล้ว
ซึ่งเวลาตรงนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของ
samplig
loop และอัตราการไหลของ
carrier
gas
ในกรณีนี้เราใช้
sampling
loop ขนาด
0.1
ml และอัตราการไหลของ
carrier
gas 15 ml/min ดังนั้นถ้าให้วาล์วคงอยู่ที่ตำแหน่งฉีดตัวอย่างนาน
20
วินาทีก็จะมี
carrier
gas ไหลผ่าน
sampling
loop เป็นปริมาตร
5
ml หรือ
50
เท่าของปริมาตร
samplig
loop ซึ่งก็ถือได้ว่ามากพอที่จะพัดพาเอาแก๊สตัวอย่างออกจาก
samplig
loop จนหมด
แต่ยังมีอีกจุดที่ผมสงสัยอยู่ก็คือ
เครื่อง GC-2014
FPD เครื่องนี้เรามีระบบควบคุมอัตราการไหลของ
carrier
gas ไม่ใช่หรือ
ดังนั้นถ้าหากความต้านทานการไหลเพิ่มขึ้น
ซึ่งส่งผลให้อัตราการไหล
carrier
gas ลดต่ำลง
ตัวเครื่องก็ควรที่จะปรับเพิ่มความดัน
carrier
gas เข้าระบบเพื่อให้ได้อัตราการไหลคงเดิม
แต่สิ่งที่พบปรากฏว่าอัตราการไหลมีการเปลี่ยนแปลง
ซึ่งก็อาจเป็นเพราะ
(ก)
ระบบปรับความดันเพื่อปรับอัตราการไหลนั้นเสีย
แต่ผมยังไม่คิดว่าจะเป็นด้วยสาเหตุนี้
หรือ
(ข)
ความดันด้านขาเข้าที่จ่ายให้กับ
carrier
gas นั้นต่ำเกินไป
แม้ว่าระบบจะเพิ่มความดันจนเต็มที่แล้วก็ยังไม่สามารถปรับอัตราการไหลให้คงเดิมได้
ซึ่งผมสงสัยว่าปัญหานั้นเกิดจากสาเหตุนี้หรือเปล่า
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้เราก็ควรแก้ไขด้วยการเพิ่มความดันที่จ่ายให้กับ
carrier
gas ให้สูงขึ้น
(ความดันแก๊สเข้าเครื่อง
ไม่ใช่ความดันที่ pressure
regulator ที่หัวถังแก๊ส)
ดังนั้นถ้าจะใช้เครื่อง
GC-2014
FPD นี้อีกครั้งเมื่อใด
ก็ขอให้ช่วยตรวจสอบตรงนี้ด้วย
รูปที่
๒ โครมาโทแกรมแสดงพีค SO2
ตรงตำแหน่งไหล่
(ลูกศรชี้)
คือผลที่เกิดจากการเปลี่ยนตำแหน่งวาล์วฉีดสารตัวอย่าง
จากตำแหน่ง "ฉีด"
ตัวอย่างมาเป็น
"เก็บ"
ตัวอย่าง
ซึ่งพบว่าตำแหน่งนี้เปลี่ยนแปลงไปตามตำแหน่งเวลาที่สั่งให้วาล์วฉีดตัวอย่างขยับตัว
ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดจากการที่มีพีคขนาดเล็กซ้อนอยู่บนส่วนหางพีคขนาดใหญ่แต่อย่างใด