"ไม่เอารูปที่ทิ้งไว้ในตู้เก็บของกลับไปด้วยเหรอ"
ผมถามแบบแซวเล่นในวันหนึ่งที่
"เธอ"
แวะผ่านมาที่ภาควิชา
"ทิ้ง
ๆ มันไปเถอะคะอาจารย์"
"เธอ"
ตอบกลับมาแบบยิ้ม
ๆ
ผมจำไม่ได้แล้วว่าคุยกันเมื่อใด
แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบกัน
ตู้เก็บที่ผมกล่าวถึงใบนั้นคือตู้
๔ ลิ้นชัก
ที่ปัจจุบันตั้งไว้ตรงทางเดินเชื่อมระหว่างห้องแลป
ในตู้ใบหนึ่งนั้น ลิ้นชัก
๒ ชั้นบน เป็นตู้เก็บเอกสารงานต่าง
ๆ ของ "เธอ"
ผู้นั้น
ซึ่งรวมทั้งรูปถ่ายขยายใหญ่ของเธอด้วย
ปัจจุบันชื่อของ "เธอ"
ก็ยังคงติดอยู่ที่หน้าตู้ใบนั้น
รูปเหล่านั้นตอนนี้ไม่ได้อยู่ในลิ้นชักนั้นแล้ว
แต่เชื่อว่ามันคงจะได้ไปอยู่กับผู้ที่มันควรอยู่ในไม่ช้านี้
"อาจารย์ไม่คิดจะรับนิสิตป.เอก
อีกบ้างหรือคะ"
นิสิตหญิงป.โท
ในห้องแลปคนหนึ่งถามผม
"ไม่หรอก"
ผมตอบ
"ทำไมล่ะคะ"
คำถามตามมาอีก
"เดี๋ยวนี้หาผู้สมัครสวย
ๆ ไม่ได้ ไม่เหมือนเมื่อก่อน"
คำตอบแบบกวน
ๆ ของผมทำเอาคนถามค้อนไปนิดนึง
ผมก็เลยต้องไปหยิบรูปถ่ายของ
"เธอ"
ในตู้ดังกล่าวมาให้ดู
"พี่เขาสวยนะคะ"
ขนาดสาว
ๆ ด้วยกันเองยังชม
"คนที่แหละ
ที่ทำให้เกิดกรณีศึกชิงนางในภาควิชา"
ปีพ.ศ.
๒๕๓๘
เป็นการเริ่มต้นปีที่สองของการทำงานของผม
ปีนั้นทางภาควิชาเริ่มมีทุนสำหรับรับนิสิตเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาเอก
สำหรับนิสิตที่จบปริญญาตรีและมีผลการเรียนอยู่ในระดับ
๓.๒๕
ขึ้นไปนั้น
สามารถสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกได้เลย
และ
"เธอ"
สาวน้อยน่ารัก
ท่าทางเหนียมอาย จากภาควิชาเคมีเทคนิค
(รหัส
๓๔)
ก็เป็นหนึ่งของผู้ที่สมัครเข้ามาเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่ภาควิชาของเรา
และ "เธอ"
ก็เป็นนิสิตหญิงระดับป.เอก
คนแรกของแลปเราด้วย
สมัยนั้นความสัมพันธ์ระหว่างหมู่นิสิตบัณฑิตศึกษาในรุ่นเดียวกัน
หรือระหว่างห้องปฏิบัติการ
หรือระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง
แนบแน่นกันมากกว่านี้เยอะมากครับ
อาจเป็นเพราะว่าทุกห้องปฏิบัติมีพื้นที่ทำงานอยู่ในบริเวณเดียวกันทั้งหมด
เป็นพื้นที่เล็ก ๆ
และจำนวนนิสิตก็ไม่มาก
การสอนการทำแลปแต่ก่อนนั้น
(จวบจนถึงปัจจุบัน)
แลปของเราก็ใช้วิธีการเรียนสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นพี่ที่น้องใหม่ผู้นั้นรับช่วงงานต่อ
มันก็เริ่มกันจากการที่รุ่นน้องต้องมาเฝ้าดูว่ารุ่นพี่เขาทำงานอย่างไรก่อน
จากนั้นก็ตามด้วยการลงมือทำเองภายใต้การกำกับดูแลของรุ่นพี่
และถ้าเห็นว่าทำเองได้แล้วจึงปล่อยให้บินเดี่ยวได้
เนื่องด้วยจำนวนอุปกรณ์ที่มีจำกัด
และระยะเวลาการทำการทดลองที่ยาวนาน
จึงไม่แปลกที่จะมีการทำการทดลองกันทั้งวันทั้งคืน
มีการนอนค้างกันเป็นประจำ
แม้ว่าแต่ละคนจะมีการทดลองของตนเองที่ต้องทำ
แต่คนเพียงคนเดียวก็ไม่สามารถทำการทดลองต่อเนื่องยาวนานได้
ก็เลยเป็นเรื่องปรกติที่จะมีการฝากกันให้ช่วยดูแลอุปกรณ์หรือเก็บตัวอย่าง
เพื่อที่จะได้มีเวลานอนพักผ่อนต่อเนื่องหน่อย
ด้วยเหตุนี้นิสิตที่เรียนกันในสมัยนั้น
จึงไม่เพียงแต่ทำการทดลองของตัวเองเป็น
แต่ยังรู้ด้วยว่าวิธีการทดลองของเพื่อนนั้นต้องทำอย่างไร
อันที่จริงผมก็ไม่ได้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอผู้นั้นหรอกครับ
เพียงแต่ตอนนั้นผมเองก็เพิ่งจะมีนิสิตปริญญาโททำวิจัย
งานเครื่องมือวิเคราะบางอย่างก็ต้องลงมาทำเอง
ประจวบกับกรุงเทพช่วงนั้นเริ่มดำเนินการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายแรก
และบางวันภาควิชายังมีการสอนภาคนอกเวลาราชการที่เลิกเอาสามทุ่มครึ่งอีก
พอวันรุ่งขึ้นยังต้องสอนภาคปรกติกันตอนแปดโมงเช้าอีก
ช่วงเปิดเทอมก็เลยมีการนอนค้างคืนที่ห้องทำงานบ่อยครั้ง
(ห้องน้ำอาจารย์ชั้น
๔ ของตึกเก่าเขาทำห้องอาบน้ำให้ด้วย)
ด้วยความจำเป็นดังกล่าวก็เลยพอมีความสนิทสนมกับนิสิตที่เจอหน้ากันตอนกลางคืนอยู่บ้าง
เหตุการณ์แรกที่เกี่ยวข้องกับ
"เธอ"
และทำให้เกิดเป็นเรื่องราวที่ผมเคยนำมาเล่าให้นิสิตรุ่นหลังฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ในแลปนั้น
เกิดขึ้นตอนกลางคืนครับ
แต่ผมไม่ได้อยู่ในคืนที่เกิดเหตุ
เพียงแต่ได้ยินนิสิตเขาเล่าให้ฟัง
สาเหตุคาดว่าเกิดจากความเข้าใจผิดของฝ่ายชาย
(ที่คบกันมาสมัยเรียนป.ตรี)
ที่คิดว่ารุ่นพี่ที่เขาช่วยสอน
"เธอ"
ผู้นั้นจะมาแย่ง
"เธอ"
ผู้นั้นไป
ก็เลยมีการบุกมาถึงห้องปฏิบัติการในตอนค่ำ
เหตุการณ์แท้จริงเป็นอย่างไรผมว่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์น่าจะรู้ดีที่สุด เรื่องเล่าบอกว่าฝ่ายชายที่เข้าใจผิดนั้นจะชกนิสิตรุ่นพี่ที่เขาเข้าใจผิด ดีที่มีคนห้ามไว้ก่อน เป็นเหตุการณ์ที่ตอนนั้นพวกนิสิตในแลปเรียกกันเล่น ๆ ว่า "ศึกชิงนาง" เกิดในช่วงก่อนที่จะย้ายแลปจากชั้น ๔ ตึกเก่ามายังที่ตั้งปัจจุบัน ก็น่าเกิดจะในปีพ.ศ. ๒๕๓๙ หรือเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว
เหตุการณ์แท้จริงเป็นอย่างไรผมว่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์น่าจะรู้ดีที่สุด เรื่องเล่าบอกว่าฝ่ายชายที่เข้าใจผิดนั้นจะชกนิสิตรุ่นพี่ที่เขาเข้าใจผิด ดีที่มีคนห้ามไว้ก่อน เป็นเหตุการณ์ที่ตอนนั้นพวกนิสิตในแลปเรียกกันเล่น ๆ ว่า "ศึกชิงนาง" เกิดในช่วงก่อนที่จะย้ายแลปจากชั้น ๔ ตึกเก่ามายังที่ตั้งปัจจุบัน ก็น่าเกิดจะในปีพ.ศ. ๒๕๓๙ หรือเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว
ผลจากเหตุการณ์วันนั้นหรือครับ
ทั้ง "เธอ"
และฝ่ายชายผู้นั้นก็แยกทางกันไป
ด้วยการทะเลาะกันเพียงครั้งเดียว
ด้วยเหตุนี้แหละครับเวลาที่บางคู่เขามาสวีทกันต่อหน้าให้ผมดู
ผมก็เลยมักจะแหย่เล่น ๆ
อยู่เป็นประจำว่าเคยทะเลาะกันบ้างหรือยัง
เพราะเคยเห็นกันหลายครั้งแล้ว
บางรายคบกันมาหลายปี
แต่พอทะเลาะกันทีเดียวก็เลิกกันเลย
--------------------------------------
การทำแลปแต่ก่อนเนี่ยลงมือทำกันด้วยตนเองนะครับ
ไม่มีการเกี่ยงว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
ตึกเก่าไม่มีลิฟต์ขนของ
นิสิตต้องแบกท่อแก๊สกันเองขึ้นลงบันได
๔ ชั้น เอาท่อแก๊สใส่รถเข็น
ขนท่อเปล่าลงล่าง
ขนท่อใหม่ที่บริษัทนำมาเปลี่ยนให้ขึ้นข้างบน
ช่วยกัน ๖ คน จับคู่ตัวเท่า
ๆ กันด้านซ้าย-ขวา
นิสิตในแลปในยุคนั้นทั้งชายและหญิงขนท่อแก๊สแบบนี้กันไม่รู้กี่เที่ยว
โชคดีที่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเลยสักครั้ง
โดยเฉพาะตอนย้ายตึกเนี่ย
ต้องขนกันลงมาหลายสิบท่อเลย
แต่ไม่ต้องขนขึ้นตึกใหม่เพราะเขามีลิฟต์ให้
ดีที่ช่วงหลังทางคณะเขาจัดหาคนงานมาช่วยขนย้ายสิ่งของให้
ก็เลยเบาแรงไปเยอะ
นิสิตทำหน้าที่เพียงแค่ถอดแยกชิ้นส่วนและนำไปประกอบใหม่เท่านั้นเอง
อุปกรณ์อีกอันหนึ่งที่มีน้ำหนักมากได้แก่โต๊ะวางเครื่อง
thermogravimetic
analysis ตอนนั้นเครื่องที่แลปใช้คือ
Shimadzu
TGA-50 (ตอนนี้ก็ยังอยู่
แต่ไม่มีใครใช้)
โต๊ะตัวดังกล่าวประกอบด้วยแผ่นคอนกรีต
๓ ชิ้นประกอบเข้าด้วยกัน
น้ำหนักแต่ละแผ่นก็น่าดูอยู่เหมือนกัน
ปรากฏว่าระหว่างการขนย้ายเกิดอุบัติเหตุทำให้แผ่นพื้นด้านบนแตกหัก
เลยต้องหาแผ่นใหม่มาเปลี่ยน
งานนี้ "เธอ"
นั้นรับทำหน้าที่จัดหาให้
เข้าใจว่าคุณพ่อของเธอที่เป็นทหารอากาศนั้นช่วยจัดหาให้ด้วยการหาคนช่วยหล่อคอนกรีตให้ใหม่
และนำมาส่งให้ที่แลป
คอนกรีตแผ่นนี้ก็ยังคงอยู่ถึงปัจจุบันนะครับ
แผ่นพื้นโต๊ะปูนเปลือยในรูปข้างล่างนั่นแหละครับ
หลังจากที่ตึกใหม่สร้างเสร็จ
ภาควิชาก็ได้รับคำสั่งจากทางคณะให้ทำการขนย้ายเข้าสู่อาคารใหม่ทันที
เนื่องจากมีแผนการที่จะทุบตึกทำการเดิมทิ้งและสร้างอาคารใหม่
แต่เหตุการณ์ฟองสบู่แตกเมื่อปี
๒๕๔๐ ก็เลยทำให้ตึกเก่าของภาควิชายังคงตั้งอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
ในขณะที่หน่วยงานส่วนใหญ่ย้ายไปยังตึก
๔ มีแต่แลปตัวเร่งปฏิกิริยาที่ย้ายไปยังตึก
๕ ที่เป็นตึกปฏิบัติการ
แลปเราเป็นบุคคลกลุ่มแรกที่เข้าไปใช้อาคารดังกล่าว
โดยได้ใช้พื้นที่บนชั้น ๕
ที่เป็นที่ตั้งมาจนถึงปัจจุบัน
แต่ตอนที่ย้ายเข้าไปนั้นตึกนั้นวังเวงน่าดู
เพราะชั้น ๑-๔
มันไม่มีใครเลย
ตอนกลางคืนมันปิดไฟมืดไปหมด
พื้นที่แต่ละชั้นที่เป็นที่โล่ง
ๆ มันก็ไม่น้อย เกือบ 1000
ตารางเมตร
ลองนึกภาพดูเอาเองนะครับว่าถ้าคุณต้องทำงานอยู่คนเดียวในบริเวณดังกล่าวที่เป็นห้องโล่ง
ๆ ใหญ่ ๆ ตอนกลางคืน
บรรยากาศจะเป็นเช่นใด
ยิ่งก่อนหน้านี้มีเรื่องเกิดที่ตึกเก่าที่อยู่ติดกัน
ทำเอานิสิตบางรายเลิกทำแลปตอนกลางคืนไปเลย
ทั้ง ๆ ที่เขานั้นก็ไม่ได้มารบกวนอะไร
แค่โผล่มาแสดงตัวให้เห็นเท่านั้นเอง
:)
:) :)
เวลาทำแลปกันต่อเนื่องยาวนาน
ถึงเวลากินก็จะมีบางคนที่ต้องเฝ้าแลป
ในขณะที่คนอื่นออกไปกินข้าวและซื้อข้าวกลับมาเผื่อ
มีอยู่คืนหนึ่งก่อนกลับบ้าน
ผมก็ถามแหย่ "เธอ"
ผู้นั้นว่าจะอยู่ทำแลปค้างคืนเหรอ
จะอยู่ได้เหรอ ไม่กลัวแน่นะ
ซึ่งเธอก็บอกว่าอยู่ได้
พอตอนเช้าเจอหน้ากัน
"เธอ"
ก็บอกว่า
"อาจารย์
เมื่อคืนตอนเขาออกไปข้างนอกกัน
หนูเปิดไฟสว่างทั้งชั้นเลย"
ครับ
หลอดไฟทั้งชั้นก็ร่วม ๒๐๐
หลอดได้มั้งครับ
สว่างขนาดตีแบดกันได้สบาย
--------------------------------------
หลังผ่านการสอบปกป้องวิทยานิพนธ์ที่
"เธอ"
สอบผ่านด้วยคะแนน
"ดีมาก"
"เธอ"
ก็ถูกเรียกให้ไปสอบสัมภาษณ์เข้าทำงาน
ณ โรงกลั่นน้ำมันแห่งหนึ่งที่ศรีราชา
เรื่องที่ "เธอ"
มาปรึกษากับผมก็คือจะแต่งตัวไปสอบสัมภาษณ์งานอย่างไรดี
เพราะเรื่องแบบนี้ถ้าโทรไปถามทางบริษัทเขา
เขาก็คงจะตอบว่า "ก็แล้วแต่"
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะแต่งอย่างไรก็ได้
เขาไม่ว่าอะไร แต่นั่นอาจเป็นข้อสอบข้อแรก
คือเขากำลังสอบเราว่าเรามีวิจารณญาณในการทำงานมากน้อยแค่ไหน
เรื่องการแต่งตัวไปสอบสัมภาษณ์ที่โรงงานเนี่ย
ถ้าเป็นผู้ชายคงไม่ค่อยเท่าใด
แต่ถ้าเป็นผู้หญิงจะยุ่งยากนิดนึง
คือไม่รู้ว่าควรจะแต่งชุดสวมกระโปรงหรือกางเกงไปสอบ
ถ้าแต่งชุดสวมกระโปรงไปสอบ
แล้วเขาพาเข้าชมโรงงานด้วย
มันก็ไม่เหมาะ แต่ถ้าแต่งชุดสวมกางเกงไปสอบ
แต่เขาทำเพียงแค่สอบสัมภาษณ์กับผู้ใหญ่ในสำนักงาน
ผู้ใหญ่บางคนก็อาจจะดูว่าเป็นการแต่งตัวไม่เรียบร้อยได้
งานนี้ผมเลยแนะนำให้เขาโทรไปถามทางโน้น
แต่ไม่ได้ให้ถามว่าจะให้แต่งตัวอย่างใด
แต่ให้ถามว่า
"มีข้อห้ามเรื่องการแต่งกายแบบใดบ้าง
หรือห้ามนำอะไรติดตัวไปบ้าง
ในการเข้าไปที่โรงงานในวันสอบสัมภาษณ์"
เพราะโรงงานแบบนี้ถ้าต้องเข้าเขตโรงงานแล้วมันมีเรื่องความปลอดภัยของเครื่องแต่งกายเข้ามาเกี่ยวข้อง
--------------------------------------
หลังสอบสัมภาษณ์เสร็จ
"เธอ"
ก็กลับมาเล่าให้ผมฟังเรื่องเหตุการณ์ของการสอบวันนั้นที่มีผู้ไปสอบกัน
๕ ราย
กล่าวคือในช่วงเช้าวันนั้นทางบริษัทพาเข้าไปเยี่ยมชมกระบวนการผลิตในโรงกลั่นก่อน
และในช่วงบ่ายก็ให้เขียนบทความเป็นภาษาอังกฤษความยาวไม่เกิน
๒ หน้ากระดาษ A4
เกี่ยวกับเรื่องโรงงาน
"เธอ"
เล่าให้ฟังว่าคนอื่นเขาเขียนกันสองหน้ากระดาษเต็ม
ส่วน "เธอ"
เองเขียนไปเพียงแค่ครึ่งหน้า
จากนั้นก็เรียกเข้าไปสัมภาษณ์ทีละคน
โดยเรียงลำดับตามผลการเรียน
จากเกรดสูงไปเกรดต่ำ
ซึ่งเธอก็เป็นคนสุดท้ายที่เขาเรียกเข้าไปสอบสัมภาษณ์
แล้วผลเป็นยังไงเหรอครับ
ในบรรดา ๕ คนที่ไปสอบในวันนั้น
"เธอ"
เป็นคนเดียวที่บริษัทนั้นรับเข้าทำงาน
--------------------------------------
ไปอยู่แรก
ๆ นี่เป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้และการทดสอบความสามารถ
เรื่องหนึ่งที่ "เธอ"
ยอมรับว่าตอนแรกกลัวมากเลยคือต้องไป
"ปีนหอกลั่น"
ปีนในที่นี้คือปีนบันไดเหล็กขึ้นไปนะครับ
ไมได้เดินขึ้นไป
หอกลั่นบางหอมันก็สูงหลายสิบเมตร
เรียกว่าต้องใช้กำลังแขนและความกล้าหน่อยจึงจะปีนได้
คนที่กลัวความสูงพอมองไปรอบ
ๆ มันเห็นรอบตัวโล่ง ๆ ไปหมด
มีแต่ราวกันตกนี่มันหมดแรงปีนเอาง่าย
ๆ เหมือนกัน
แต่งานนี้โดยพี่ที่โรงกลั่นเขาเคี่ยวเข็ญว่าต้องทำให้ได้
และในที่สุดเธอก็ผ่านมันไปได้
วิทยานิพนธ์ที่ได้ผลการสอบออกมาเป็น
"ดีมาก"
นี่ต้องผ่านการพิจารณาของกรรมการบริหารคณะอีกรอบ
ก่อนจะส่งไปให้บัณฑิตวิทยาลัย
บังเอิญช่วงนั้นกรรมการคณะท่านหนึ่งมีอคติกับอาจารย์หลายท่านในภาควิชาของเราค่อนข้างมาก
ดังนั้นพอมีเรื่องของภาควิชาเข้าสู่การพิจารณาทีใด
ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอาจารย์ในภาคที่เขาไม่ชอบหน้าด้วย
เรื่องนั้นก็มักจะโดนตีรวนทุกที
และเรื่องที่โดนตีรวนมากที่สุดเห็นจะได้แก่เรื่องผลการสอบวิทยานิพนธ์ที่ได้ผลเป็น
"ดีมาก"
ของนิสิตของภาควิชา
การตีรวนตรงนี้มันไม่ใช่เรื่องของความผิดพลาดของเอกสาร
แต่เป็นเรื่องของการใช้การตั้งข้อสังเกตหรือให้ความเห็นเพื่อชักจูงให้กรรมการผู้อื่นเข้าใจผิด
ทำให้ต้องมีการส่งเรื่องกลับไปทบทวนและให้นำเสนอกลับเข้ามาใหม่ในการประชุมครั้งถัดไป
(ซึ่งจัดทุก
ๆ ๒ สัปดาห์หรือเดือนละ ๒
ครั้ง)
ซึ่ง
"เธอ"
เองก็โดนหางเลขดังกล่าวไปด้วย
เรียกว่าขนาดไปทำงานตั้งหลายเดือนแล้วทางมหาวิทยาลัยยังไม่ประกาศอนุมัติสำเร็จการศึกษาซะที
ต้องลางานกลับมาแก้ไขบ่อยครั้ง
(นั่นเป็นเหตุที่ว่าทำไปผมทราบเรื่องการทำงานของ
"เธอ"
ที่โรงกลั่น
เพราะ "เธอ"
กลับมาเล่าให้ฟัง)
จนพี่ที่ทำงานอยู่ด้วยเรียกเข้าไปคุย
พอทราบว่าใครเป็นคนตีรวน
พี่คนนั้นก็เลยเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดเพราะเขาก็รู้จักพฤติกรรมของอาจารย์ท่านนั้นด้วยว่าไปเรียนต่างประเทศที่เดียวกัน
ก็เลยเล่าสิ่งที่เขาเคยประสบกับอาจารย์ท่านนั้นสมัยเรียนต่างประเทศให้
"เธอ"
ฟังว่าเคยโดนอย่างไร
ท้ายสุดของการสนทนากับพี่คนนั้น
เขาก็กล่าวขึ้นมาว่า
"นี่
ถ้าเธอยอมเขาตั้งแต่แรกมันก็สิ้นเรื่องแล้ว
แต่เอ๊ะ เธอเป็นผู้หญิงนี่นา"
แล้วทั้งคู่ก็นั่งหัวเราะกัน
"เธอ"
ไม่ได้เล่าให้ผมฟังหรอกครับว่าพี่คนนั้นเขาเล่าอะไรให้
"เธอ"
ฟัง
แต่ผมพอจะเดาได้อยู่
เพราะตอนนั้นมันก็มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอยู่
เว้นแต่จะหาเจ้าทุกข์ไม่ได้เท่านั้นเอง
ทำนองว่า "จะยอมมันหรือจะไม่จบ"
--------------------------------------
ผมไม่ทราบเหมือนกันว่า
"เธอ"
ทำงานอยู่ที่โรงกลั่นน้ำมันนานเท่าใด
ที่พบกันตอนหลังก็เป็นช่วงที่
"เธอ"
ย้ายมาทำงานบริษัทขุดเจาะน้ำมันแห่งหนึ่ง
โดยประจำสำนักงานที่กรุงเทพ
เวลามีโอกาสเจอกัน "เธอ"
ก็เล่าให้ฟังว่าบางครั้งก็ต้องลงไปตรวจแก้ปัญหาที่แท่นขุดเจาะน้ำมันกลางอ่าวไทย
ต้องเดินทางลงใต้ก่อนจะเปลี่ยนไปนั่ง
ฮ.
ไปยังแท่นขุดเจาะ
ซึ่งก็นับว่าแปลกอยู่
เพราะปรกติมักจะเห็นแต่คนที่เคยทำงานด้านขุดเจาะประเภทอยู่กลางทะเลหรือเดินสายไปตามที่ต่าง
ๆ ย้ายมาทำงานสำนักงานประจำอยู่กับที่บนฝั่งมากกว่า
จะมีก็รายนี้ที่พิเศษที่เปลี่ยนจากงานประจำสถานที่มาเป็นงานเดินสาย
แต่ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะมันให้
"เธอ"
ได้กลับมาอยู่ใกล้บ้านมากขึ้น
ไม่ต้องแยกไปอยู่ต่างจังหวัดเหมือนเดิม
--------------------------------------
เมื่อบ่ายวันพฤหัสที่ผ่านมาผมได้ทราบข่าวคราวของ
"เธอ"
อีกครั้งจากอาจารย์รุ่นน้องที่เป็นเพื่อนเรียนปริญญาตรีมาด้วยกันกับ
"เธอ"
อาจารย์รุ่นน้องคนนั้นถามผมว่ายังจำ
"เธอ"
ได้หรือเปล่า
ผมก็ตอบว่าจำได้ (ก็ผมเอาเรื่องของ
"เธอ"
มาเล่าให้นิสิตฟังและนำมาเขียนใน
blog
ไปตั้งหลายเรื่อง)
สักพักผมก็เดินออกจากห้องทำงานไปยังห้องแลป
เพื่อไปหยิบเอารูปที่ "เธอ"
ทิ้งเอาไว้ไม่ยอมนำกลับไป
เพราะคิดว่ามันเป็นเวลาที่สมควรส่งคืนแก่เจ้าของแล้ว
แม้ว่ารูปเหล่านั้นจะถ่ายไว้ในช่วงเวลาหนึ่งที่
"เธอ"
กำลังมีความสุขในชีวิต
แต่เนื่องด้วยมันจบลงไม่งดงาม
"เธอ"
ก็เลยทิ้งมันไว้ที่แลปโดยไม่นำกลับไป
แต่ก็ไม่ได้ทำลายมัน
"ฝากเอาไปคืนเจ้าของตอนไปงานเขาด้วยนะ"
ผมกล่าวกับอาจารย์รุ่นน้องคนนั้นตอนเอารูปไปให้
--------------------------------------
ในชีวิตการทำงานด้านการเรียนการสอนกว่า
๒๐ ปีที่ผ่านมาของผมนั้น
ในแต่ละปีมีนิสิตที่เข้ามาใหม่และจบออกไปกว่า
๑๐๐ ราย (ทั้ง
ตรี โท และเอก)
แต่มีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นครับที่ทิ้งความทรงจำที่ดี
ๆ เอาไว้ให้ ซึ่ง "เธอ"
ก็เป็นหนึ่งในนั้น
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเกือบ
๒๐ ปีแล้วก็ตาม
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเรื่องราวต่าง
ๆ ที่ "เธอ"
ประสบนั้นมันไม่เป็นเพียงแค่เหตุการณ์ส่วนตัว
แต่ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตของของคณะและภาควิชา
ผมจึงได้เขียนให้บทความนี้ให้อยู่ในชุด
"ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ"
เพื่อที่จะได้เตือนความจำตนเองว่าช่วงหนึ่งก็เคยไม่ได้มีโอกาสรับทราบเรื่องราวในชีวิติของนิสิตหญิงผู้สุภาพเรียบร้อย
ท่าทางเหนียมอาย ผู้หนึ่ง
ผู้ได้ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง
ๆ ในช่วงที่เธอเรียนปริญญาเอกอยู่ที่ภาควิชา
อุปสรรคต่าง ๆ
ที่ต้องฝ่าฝันในการทำงานและในชีวิต
จนมาถึง ณ วันนี้ ซึ่งเป็นวันที่
"เธอ"
ไม่ต้องผจญกับอุปสรรคหรือความยากลำบากใด
ๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะ "เธอ"
ได้ไปดีแล้ว
--------------------------------------
เรื่องราวของ
"เธอ"
ที่ผมระลึกถึงนั้นทำให้ผมนึกถึงโฆษณาชิ้นหนึ่งที่ออกอากาศช่วงต้นปีพ.ศ.
๒๕๕๘
ซึ่งในโฆษณาชิ้นนั้นมีข้อความว่า
"....
ที่แรกที่คนตายจะเดินทางไปถึง
คือการได้เข้าไปในความทรงจำของใครสักคน
แต่จะเป็นความทรงจำที่ดีหรือไม่
ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราปฏิบัติกับคน
ๆ นั้น ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
....."
บทความนี้ขออุทิศให้แด่
"เธอ"
ผู้นั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น