วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เราเคยมีนั้น มันผ่านพ้นไปนานแล้ว MO Memoir : Monday 27 October 2557


รูปถ่ายใบเล็ก ๆ ใบนั้น นิสิตกลุ่มหนึ่งที่ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เขาทำมาให้ผมพร้อมกับเคลือบฟิลม์พลาสติกไว้อย่างดี ผมก็เก็บเอามันใส่ไว้ในกระเป๋าที่ถือติดตัวมาทำงานทุกวัน แม้กระเป๋าจะเปลี่ยนไป แต่ของในกระเป๋าบางอย่างมันก็ติดตามมาอยู่ในกระเป๋าใบใหม่ตลอด

เมื่อสัก ๓๐ ปีที่แล้วตอนที่ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยนั้น หลักสูตรปริญญาตรีบ้านเรา สำหรับคณะส่วนใหญ่แล้วจะกำหนดให้เรียนจบได้ใน ๔ ปีการศึกษา (ก่อนผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยนั้นยังมีคณะวิศวกรรมศาสตร์บางสถาบันใช้หลักสูตรปริญญาตรี ๕ ปี) แต่ก็ให้เวลาเรียนได้ถึง ๘ ปีการศึกษา และที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นเรื่องปรกติที่จะจบการศึกษากันภายในระยะเวลาที่หลักสูตรตั้งใจให้เรียนจบคือ ๔ ปีการศึกษา กล่าวอีกอย่างก็คือไม่มีใครคิดว่าการใช้เวลาเรียนปริญญาตรีถึง ๘ ปีเป็นเรื่องปรกติ
  
แต่ที่น่าแปลกก็คือทีหลักสูตรปริญญาโทที่เขียนไว้ว่าเป็นหลักสูตร ๒ ปีการศึกษา แต่อาจารย์กลับบอกว่าไม่มีใครเขาจบกันใน ๒ ปีการศึกษาหรอก กว่าจะเรียนจบก็ต้องใช้เวลาเต็มที่คือ ๕ ปีการศึกษา (ตอนนั้นปริญญาโทให้เวลาเรียนได้ถึง ๕ ปีครับ มาปรับเป็นเหลือ ๔ ปีเมื่อประมาณ ๒๐ ปีที่แล้ว)
  
อย่างนี้เรียกว่าจะเรียนว่าเป็นการหลอกผู้เรียนได้ไหม ตอนเขียนหลักสูตรบอกว่าเป็นหลักสูตรเรียนจบได้ใน ๒ ปี แต่พอมีคนหลวมตัวเข้ามาเรียนกลับบอกเขาว่าคุณไม่จบใน ๒ ปีหรอก ต้องอยู่ยาวเหยียดจนถึง ๕ ปีโน่นแหละจึงจะให้จบ
  
๒๐ กว่าปีที่แล้วและย้อนหลังขึ้นไปอีก หลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์บ้านเราที่มีการเปิดสอนกันถึงระดับปริญญาเอกมีเพียงไม่กี่สาขาและมีเพียงไม่กี่สถาบันเท่านั้นเองที่มีการเปิดสอน และก็หาคนมาเรียนยากด้วย เหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะเรียนเมืองไทยใช้เวลานาน จบก็ยาก ไปเรียนต่างประเทศดีกว่า ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ
  
อาจารย์หานิสิตปริญญาโทมาเป็นลูกมือทำวิจัยให้ไม่ได้ ตัวอาจารย์เองก็ไม่อยากลงมาทำการทดลองเอง แต่ความก้าวหน้าในอาชีพอาจารย์ต้องมีผลงานวิจัย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คืออะไรต่อมิอะไรก็ไปลงที่ซีเนียร์โปรเจคของนิสิตปริญญาตรีกันหมด
   
ดังนั้นจึงไม่แปลว่านิสิตป.ตรี ปี ๔ ในยุคสมัยนั้นในหลายต่อหลายสถาบัน กว่าจะสำเร็จการศึกษากันก็อยู่ทำซีเนียร์โปรเจคกันจนสิ้นสุดภาคฤดูร้อน แถมยังมีรายการทำซีเนียร์โปรเจคกันตลอดทั้งปี (อาจารย์จะได้มีรายงานความคืบหน้า) ทั้ง ๆ ที่นิสิตลงทะเบียนเรียนวิชานี้เพียงแค่ภาคการศึกษาปลายภาคเดียวเท่านั้น
   
ถ้าจะหาคนมาเรียนต่อโทให้ได้ ก็จำเป็นต้องมีการแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ในเวลานั้นสิ่งแรกที่หน่วยงานที่ผมเข้าทำงานนำมาพิจารณาก็คือ อาจารย์ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าทำไมนิสิตปริญญาโทถึงไม่จบใน ๒ ปีการศึกษา ในเมื่อหลักสูตรมันกำหนดไว้ว่าให้เรียนจบได้ใน ๒ ปีการศึกษา อาจารย์ก็ต้องทำให้ได้อย่างนั้น อาจารย์คนไหนที่มีความพร้อมที่จะสอนนิสิตให้จบได้ตามกำหนดเวลาก็ประกาศไปเลย ใครยังไม่ค่อยพร้อมก็บอกแก่ผู้สมัครไปตามตรง ไม่ใช่ไปเที่ยวป่าวประกาศว่าเป็นหลักสูตร ๒ ปีแต่พอมีคนสมัครเข้ามาเรียนกลับบอกเขาว่าต้องอยู่กัน ๔-๕ ปี
   
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคือวิธีการรับนิสิตเข้าเรียนต่อ เดิมทีนั้นใช้การรับนิสิตเข้ากองกลางตามจำนวนที่ภาควิชากำหนด (ตัวเลขที่กำหนดมาได้ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน) แล้วค่อยให้นิสิตไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาเอง วิธีการนี้มีการทำมานานแล้วทั่วไปหมด และยังใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ผลที่เกิดขึ้นก็คือมีการบ่นกันเป็นประจำจากอาจารย์ที่ไม่ได้มีส่วนเข้าร่วมการคัดเลือกว่า ทำไมรับแต่คนไม่มีคุณภาพเข้ามา บางปีอาจารย์มีหัวข้อเยอะก็มีเสียงบ่นจากอาจารย์ที่หานิสิตทำวิจัยไม่ได้ว่าทำไปรับนิสิตมาน้อย บางปีอาจารย์มีหัวข้อน้อยก็มีเสียงบ่นจากอาจารย์ที่มีนิสิตไปขอให้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาว่าทำไมรับนิสิตมาเยอะ (ทั้ง ๆ ที่ก็รับเท่าจำนวนเดิม) ใครเป็นคนรับเข้ามาก็ให้รับผิดชอบนิสิตเหล่านั้นเอาเอง พอเปลี่ยนมาเป็นไม่จำกัดจำนวน เป็นคืออาจารย์คนไหนอยากได้นิสิตทำวิจัยก็ให้มาสัมภาษณ์เอง คัดเลือกเอง นำเสนอความพร้อมเอง รับผิดชอบเรื่องงานวิทยานิพนธ์ของนิสิตคนนั้นไปเลย ภาควิชาทำหน้าที่เพียงแค่รวบรวมตัวเลขนิสิตที่อาจารย์แต่ละคนรับเข้ามาเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้เกิดความพยายามปรับปรุงการเรียนการสอนและงานวิจัยให้มีความพร้อมที่จะสามารถสอนนิสิตให้จบตามระยะเวลาของหลักสูตรได้ อาจารย์คนไหนที่ขึ้นชื่อว่าชอบเก็บนิสิตไว้ทำวิจัยให้นาน ๆ ก็จะหาคนเรียนต่อด้วยไม่ได้ ทำให้อาจารย์ต้องมีการปรับปรุงตัว
  
สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคืออาจารย์ในภาควิชาเองต่างเห็นว่านิสิตของภาควิชานั้นเป็นผู้ที่มีความสามารถสูง ถ้าได้มาเรียนต่อโท-เอกด้วยก็จะทำให้ได้ผู้เรียนที่มีความสามารถสูง ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือมีอาจารย์ทุ่มเทให้กับการเรียนการสอนในระดับ "ปริญญาตรี" เพื่อหวังสร้างความประทับใจให้กับนิสิตป.ตรีของตนเองในเรื่องความรู้ความสามารถของอาจารย์ จะได้ชักชวนนิสิตให้เข้ามาร่วมเรียนต่อกับอาจารย์ผู้นั้นในระดับปริญญาโท-เอก ได้ง่ายขึ้น
   
เวลานั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ภาควิชาของเราเคยมี และผมก็โชคดีที่ได้มีโอกาสทำงานอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น


ช่วงเวลานั้นภาควิชาของเราเองมีผู้มาสมัครเรียนต่อโท-เอก กันเยอะครับ เรียกว่าอาจารย์มีผู้สมัครมาเป็นลูกมือทำงานวิจัยให้เยอะไปหมด เยอะจนกระทั่งมีอาจารย์เห็นว่าวิชา "ซีเนียร์โปรเจค" นั้นเป็น "ภาระ" ที่ไม่อยากสอน เพราะงานซีเนียร์โปรเจคเป็นเพียงแค่งานเล็ก ๆ ไม่มีเนื้องานมากพอที่จะเอาเขียนเป็นบทความหรือนำเสนอในที่ประชุมใด ๆ ได้
  
ผลงานวิชาการที่ได้มาจากการที่มีผู้เรียนต่อระดับปริญญาโท-เอก มากขึ้น นำมาซึ่ง ลาภ ยศ และสรรเสริญ ให้กับอาจารย์ผู้มีผลงาน ความอยากจะเป็นผู้ที่อยู่เหนือคนอื่น ไม่เป็นรองใคร อยากเป็นผู้มีชื่อเสียงในวงวิชาการ ทำให้ความคิดเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เริ่มมีการมองว่าการสอนระดับปริญญาตรีเป็นภาระ เพราะมันไม่ทำให้ได้ผลงานที่สามารถนำไปแลกเป็น ลาภ ยศ และสรรเสริญ ทำให้อาจารย์หลายรายเริ่มมีความคิดว่า การสอนระดับปริญญาตรีควรทำให้น้อยที่สุด หรือไม่ก็พยายามหาข้ออ้างว่าถ้ามีผลงานวิจัยเยอะก็ไม่ควรสอนระดับปริญญาตรี ควรให้ทำวิจัยอย่างเดียว มีการมองว่าการผลิตนิสิตระดับปริญญาตรีที่มีฝีมือดีนั้นควรให้คนอื่นเป็นคนทำ การนั่งรอดึงเอานิสิตคุณภาพสูงเหล่านั้นมาเป็นลูกมือทำวิจัยให้มันสบายกว่าการเสียเวลาทุ่มแรงกายลงไปผลิตเอง และการผลิตป.ตรี มันไม่มีผลงานที่จะนำไปสู่ความก้าวหน้าในตำแหน่ง
  
ประโยคในย่อหน้าข้างบนไม่ได้คิดเองเออเองนะครับ ผมได้ยินคนที่คิดอย่างนี้เขาพูดให้ผมฟังตั้งหลายครั้ง พอย้อนถามอาจารย์ที่คิดอย่างนี้กลับไปว่า "จะไม่สอนก็ได้ แต่ควรย้ายไปเป็นนักวิจัยเต็มตัว จะได้ทำวิจัยอย่างเดียวโดยไม่มีใครว่าอะไรได้ เพราะตำแหน่งหน้าที่นักวิจัยคือทำวิจัยอย่างเดียว ไม่ต้องสอน ถ้ายังอยากให้คนอื่นเรียกตัวเองว่าเป็นอาจารย์ ก็ต้องมีภาระการสอนด้วย" ก็ไม่เห็นมีใครยอมย้ายไปเป็นนักวิจัยเต็มตัวเลยสักราย

ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ เขาอยากจะเน้นการผลิตไปที่ระดับบัณฑิตศึกษาก็ได้ เพราะเขามีมหาวิทยาลัยจากทั่วทุกมุมโลกที่จะผลิตผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีพื้นฐานดี ที่จะมาทำวิจัยให้กับเขา แต่นี่ในประเทศไทยของเราเอง จำนวนผู้จบการศึกษาในสาขาเดียวกันก็มีน้อยอยู่แล้ว แถมยังต้องแย่งชิงกับตลาดแรงงานและศาสตร์สาขาอื่นอีก ถ้าไม่คิดพัฒนาคนของตนเองให้เข้ามาเรียนต่อเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ได้ก่อน แล้วจะไปเอาคนที่ไหนมาทำวิจัยให้
  
ดังนั้นจึงไม่น่าที่จะแปลกใจว่าทำไม่ในช่วงเวลาไม่นาน ภาควิชาของเราจึงหาผู้ที่จบที่ภาควิชานั้นเรียนต่อที่ภาควิชาเดิมได้ยาก หลายรายเลือกที่จะไปเรียนต่อในศาสตร์สาขาเดียวกันที่สถาบันอื่นภายในประเทศ (ต้องยอมรับนะครับว่าก็ยังมีบางรายก็เป็นพวกที่อยู่ใกล้แท้ ๆ แต่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย พอมาเรียนต่อโท-เอกแล้วรู้ความจริงเข้าก็ถึงขั้นพูดไม่ออก แต่ตอนนั้นก็ถอนตัวไม่ได้ซะแล้ว)
  
สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญมากในการเรียนการสอนระดับบัณฑิตศึกษาคือ "ความจริงใจ" ของอาจารย์ที่มีต่อนิสิต การเรียนการสอนที่ดีนั้นผู้สอนต้องมองไปที่ "ความสำเร็จของตัวนิสิต" เองเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เอา "ความก้าวหน้าในอาชีพการงานของอาจารย์" เป็นตัวตั้ง ผมเคยกล่าวต่อหน้านักวิจัยอาวุโสรายหนึ่งว่า เมื่อนิสิตเขามีผลงานได้ตามเกณฑ์มาตรฐานการสำเร็จการศึกษาแล้วก็ควรที่ต้องให้เขาจบการศึกษา แต่ถ้าหากเขาอยากจะอยู่ต่อเพื่อทำผลงานให้สูงกว่าเกณฑ์ดังกล่าว โดยความต้องการดังกล่าวเป็นความต้องการของตัวนิสิตเอง นั่นเป็นการสอนที่ประสบความสำเร็จสูง แต่ถ้าเอาความต้องการของอาจารย์เป็นที่ตั้งที่ต้องการให้นิสิตผู้เรียนมีจำนวนผลงานที่ "มากกว่า" เกณฑ์มาตรฐานการจบการศึกษา นั่นไม่ใช่การเรียนการสอน แต่เป็นการ "บังคับใช้" ให้ทำงานให้
  
แต่ดูเหมือนว่าพฤติกรรมอย่างหลังนั้นมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกที เห็นได้จากการนำเอาเกณฑ์ที่ใช้สำหรับนิสิตปริญญาเอกมาบังคับใช้ (โดยตัวอาจารย์ที่ปรึกษาเอง) กับนิสิตปริญญาโท (ด้วยข้ออ้างต่าง ๆ ที่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้วจะเห็นว่าเหตุผลของข้ออ้างนั้นมาจากความต้องการความก้าวหน้าในอาชีพการทำงานของอาจารย์ทั้งสิ้น) และมีการเพิ่มเกณฑ์การจบระดับปริญญาเอก (โดยตัวอาจารย์ที่ปรึกษาเองเช่นกัน) ให้สูงขึ้นไปอีก

ผลที่ตามมาก็คือการบอกกันปากต่อปาก สิ่งที่เกิดขึ้นคือมีอาจารย์บางรายที่มีทุนวิจัยหลายทุนจากหลายแหล่ง แต่หาคนสมัครเรียนด้วยไม่ได้ (หลัง ๆ ผู้สมัครแบบหลับหูหลับตาเดินเข้ามาโดยไม่รู้อะไรมีน้อยลงไปเยอะ ส่วนใหญ่เขาก็สืบหาข้อมูลเป็นการภายในจากคนที่เรียนอยู่ก่อน) คนที่ซวยสุดก็คือคนที่กำลังทำงานอยู่กับอาจารย์เหล่านั้น เพราะถ้าหากปล่อยให้คนเก่าจบไปโดยที่หาคนใหม่มาแทนไม่ได้ แล้วใครจะเป็นคนทำงานให้อาจารย์ มันก็เลยมีการเก็บตัวเอาไว้นาน ๆ เกิดขี้นอีก กลับกลายเป็นว่าคนที่ทำงานเก่ง ๆ แทนที่จะเรียนจบเร็ว อาจจะเรียนจบช้ากว่าเพื่อน เพราะโดนกักตัวเอาไว้ใช้งาน และนั่นก็เป็นมุมมองที่ทำให้ผมโพสลงใน facebook ของผมเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่า
    
"ในระหว่างการประชุมวันนี้ มีการตั้งคำถามว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้นิสิตที่จบป.ตรีของภาควิชา เรียนต่อโท-เอก ที่ภาควิชาให้มากขึ้น แม้ว่าทางภาคจะสนับสนุนทุนให้มากกว่านิสิตที่มาจากสถาบันอื่น
ผมก็เลยถามกลับไปว่า ทำไมถึงอยากจะได้นิสิตที่จบป.ตรีของภาคมาเรียนต่อที่ภาค เพราะเห็นนิสิตที่จบมาจากสถาบันอื่น เรียนโทเพียงแค่สองปีก็สอบจบได้ตามกำหนดแล้ว ส่วนนิสิตของภาควิชาเองเรียนโทมาตั้งสองปีแล้วยังเห็นไม่จบกันตั้งหลายราย ยังเห็นเดินไปเดินมาอยู่เต็มไปหมด
ผลก็คือที่ประชุม "เงียบ" ก่อนที่จะคนกล่าวว่า "ผมไม่เกี่ยว เพราะผมไม่มีนิสิตของภาควิชา" แล้วก็โยนกันไปโยนกันมา"

จากภาควิชาที่มีการเปิดรับสมัครเพียงครั้งเดียวก่อนเริ่มภาคการศึกษาใหม่ จากภาควิชาที่เคยมีผู้สมัครมากเกิดความต้องการ กลายเป็นภาควิชาที่ต้องมีการเปิดรับสมัครกันหลาย ๆ รอบ เปิดรับทั้งภาคการศึกษาต้นและภาคการศึกษาปลาย ถึงกระนั้นจำนวนผู้สมัครก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของอาจารย์

ตามความคิดของผมเองผมเห็นว่าเงิน (ไม่ว่าจะเป็นในรูปของทุนการศึกษาหรือทุนวิจัยก็ตาม) ใช้สร้างความสัมพันธ์ในรูปแบบนายจ้างกับลูกจ้างได้ แต่ใช้สร้างความสัมพันธ์ในรูปแบบอาจารย์กับลูกศิษย์ไม่ได้
  
ผมเคยอธิบายให้นิสิตที่คิดจะรับทุน (ไม่ว่าทุนอะไรก็ตาม) ว่าเงื่อนไขของการรับทุนนั้นกับเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษามันเป็นคนละเรื่องกัน แต่ที่ผ่านมามักจะพบว่าเงื่อนไขตามสัญญาทุนนั้นมักจะ "สูงกว่า" เงื่อนไขการสำเร็จการศึกษา และก็มีอาจารย์จำนวนไม่น้อยที่ใช้เงื่อนไขตามสัญญาทุนมาเป็นข้อกำหนดในการสำเร็จการศึกษาของนิสิต ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องกัน เพราะจะว่าไปแล้วอาจารย์สามารถให้นิสิตสอบจบได้เมื่อเขามีผลงานครบตามเงื่อนไขสำเร็จการศึกษา แล้วหลังจากนั้นนิสิตจึงค่อยมาทำงานเพิ่มเติมเพื่อให้ครบตามที่สัญญาไว้กับแหล่งทุน
  
นิสิตระดับปริญญาตรีของภาควิชาเราเองนั้น กว่าจะมาถึงวิชาซีเนียร์โปรเจค (ที่จะว่าไปแล้วตามหลักสูตรเดิมให้เรียนแค่ภาคการศึกษาปลายภาคเดียวเท่านั้น) ก็ต้องผ่านการเรียนวิชาปฏิบัติการมาเยอะแล้ว เฉพาะของภาควิชาเองก็ตั้ง ๔ วิชา (นี่ยังไม่รวมวิชาปรับพื้นฐานและวิชาพื้นฐานวิศวกรรมนอกภาควิชาอีก) ผมเองมองว่าถ้าอยากจะฝึกให้เขารู้จักคิดรู้จักลงมือปฏิบัติในการทำการทดลอง ก็ควรต้องลงไปฝึกไปสอนกันตั้งแต่ตอนนั้น ไม่ใช่จะมาเน้นเอาเฉพาะตอนที่จะให้ทำซีเนียร์โปรเจค
  
ยุคสมัยหนึ่งภาควิชาของเราก็มีการให้นิสิตส่งรายงานความก้าวหน้าและสอบวิชาซีเนียร์โปรเจคกันตั้งแต่เริ่มเรียนปี ๔ ทั้ง ๆ ที่นิสิตยังไม่ได้ลงทะเบียนเรียนวิชาดังกล่าว ผมก็ถามผู้ที่รับผิดชอบว่าการกระทำดังกล่าวนั้นสมควรหรือไม่ เพราะนิสิตเหล่านี้เรียนในหลักสูตรที่กำหนดไว้ว่าให้ทำซีเนียร์โปรเจคเพียงแค่ภาคการศึกษาเดียว ไม่ใช่ให้ทำทั้งปี และการกำหนดให้มีการส่งรายงานและสอบโดยที่ผู้เรียนยังไม่ได้ลงทะเบียนเรียนวิชาดังกล่าวนั้นเป็นการกระทำที่สมควรหรือไม่ ถ้าหากวิชาอื่นจะทำอย่างนี้บ้างด้วยการเรียกให้นิสิตมาเรียน ทำการบ้านส่ง และสอบ โดยที่นิสิตยังไม่ได้ลงทะเบียนเรียนวิชาดังกล่าว ภาควิชาจะยินยอมหรือไม่ และถ้ามีการฟ้องร้องกันเกิดขึ้น จะให้เหตุผลอธิบายอย่างไร ก็กลายเป็นว่าให้มีแต่แค่ส่งรายงานความก้าวหน้า ส่วนเรื่องการสอบหัวข้อนั้นเอาไว้ก่อน ค่อยไปสอบกันหลังจากสิ้นสุดภาคการศึกษาแรกไปแล้ว ส่วนการที่จะให้ทำซีเนียร์โปรเจคกันทั้งมีก็มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร โดยแยกจากเดิม ๓ หน่วยกิตในภาคการศึกษาเดียวมาเป็น ๑ หน่วยกิตในภาคการศึกษาต้นและ ๒ หน่วยกิตในภาคการศึกษาปลาย ซึ่งก็เริ่มใช้ครั้งแรกในปีการศึกษานี้

เดิมทีวิชาซีเนียร์โปรเจคมันเป็นวิชา ๓ หน่วยกิตเรียนกันในภาคการศึกษาปลายภาคเดียว แต่อาจารย์อยากจะใช้นิสิตทำงานให้ตั้งแต่ภาคการศึกษาต้น พอโดนทักท้วงว่ามันไม่ถูกต้องนะ ก็เลยทำการปรับหลักสูตรเป็น ๑ + ๒ คือภาคการศึกษาต้น ๑ หน่วยกิต ภาคการศึกษาปลาย ๒ หน่วยกิต แต่ตอนเรียนจริงไม่รู้ว่าในทางปฏิบัติมันจะเป็นแบบ ๓ + ๓ หรือเปล่า คือขนาดงานมันจะกลายเป็นเท่ากับลงเรียนวิชา ๓ หน่วยกิตทั้งในภาคการศึกษาต้นและภาคการศึกษาปลาย ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นผมว่ามันก็ไม่ถูกต้อง แต่ตอนนี้ก็ได้แต่เพียงแค่คอยดูเท่านั้นเอง
    
ถ้าอ่านมาถึงจุดนี้คิดว่าหลายคนที่เคยอยากจะมาเรียนต่อโท-เอกกับผม แล้วผมถามเขากลับไปว่า "เราเก็บความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อกันตลอดช่วงเวลา ๓ ปีที่ผ่านมา ให้มันคงอยู่ต่อไปตลอดกาลจะดีกว่าไหม" คงทราบเหตุผลแล้วนะครับว่า ประโยคดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร

ไม่มีความคิดเห็น: