ช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
เห็นมีการทำโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่าง
ๆ หลายกิจกรรม เห็นว่ามีอะไรที่น่าสนใจ
ก็เลยลองเอามาให้ดูเล่น ๆ
กัน ไม่รู้ว่าพวกคุณจะคิดเหมือนผมหรือเปล่า
หรือว่าผมคิดมากไปเอง
๑.
ถนัดซ้ายหรือขวา
คุณเป็นคนถนัดซ้ายหรือถนัดขวา
แล้วคุณสวมนาฬิกาข้อมือที่มือข้างไหนครับ
ที่เห็นทั่วไปคือเสื้อที่มีกระเป๋าเสื้อเพียงใบเดียว
จะมีกระเป๋าเสื้ออยู่ที่อกเสื้อด้านซ้าย
และถ้าจะทำตราหรือเครื่องหมายอะไรบนกระเป๋าเสื้อ
ตรานั้นก็จะไปปรากฏบนอกเสื้อด้านซ้าย
ในกรณีนี้เข้าใจว่าผู้ออกแบบคงต้องการให้เห็นตราของสถาบันที่ปรากฏบนเสื้อของผู้ใส่ด้วย
ก็เลยต้องให้ผู้เป็นแบบทำท่าเขียนหนังสือด้วยมือซ้าย
แต่ที่สะดุดตาผมก็คือนาฬิกาข้อมือที่ปรากฏอยู่บนข้อมือซ้าย
เพราะคนถนัดขวาจะสวมนาฬิกาที่มือซ้าย
๒.
ใครเป็นคนจัด
การชักชวนคนไปทำ
"ความดี"
เป็นสิ่งที่ดี
แต่มีข้อแม้ว่า "ความดี"
ที่ชักชวนให้ไปกระทำนั้นต้องไม่มีผลประโยชน์อื่นใดที่เป็นผลประโยชน์ส่วนตัว
(คือของผู้จัดที่อาจเป็นตัวบุคคลหรือองค์กร)
แอบแฝงอยู่
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นมันก็เหมือนกับการหลอกให้คนอื่นไปสร้างภาพให้ตัวเอง
หลายปีที่แล้วระหว่างนั่งกินข้าวอยู่ที่โรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัย
มีนิสิตถือกล่องมาขอรับบริจาคเงินทำบุญ
พอผมถามเขาว่าทำบุญให้กับวัดไหน
เขาก็ตอบว่า "วัดใหญ่"
ผมก็ถามเขากลับไปว่า
"วัดใหญ่"
คือวัดไหน
เขาก็ตอบแต่ว่ารุ่นพี่ให้ตอบแค่ว่า
"วัดใหญ่"
ผมก็เลยบอกว่าเขาไปว่าคุณน่าจะถอนตัวออกจากชมรมนี้จะดีกว่านะ
ลองคิดดูซิว่า "วัดใหญ่"
ของคุณน่ะมันไปก่อเรื่องราวอะไรเอาไว้มากน้อยแค่ไหน
คนเขาถึงรังเกียจกันมากขนาดคนในชมรมเองยังต้องกำชับว่าเวลาออกไปทำกิจกรรมใด
ๆ อย่าให้คนอื่นรู้ว่าจัดโดยวัดนี้
ขนาดชื่อยังต้องหลีกเลี่ยงไม่เอ่ยถึง
การทำ
Rebranding
เป็นวิธีการหนึ่งที่มีการทำกันเป็นประจำในภาคธุรกิจ
สาเหตุที่ทำให้ต้องทำ
rebranding
กันก็คือต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของธุรกิจหรือองค์กร
ถ้าวัตถุประสงค์หลักของการทำ
rebranding
คือการสร้างภาพลักษณ์ขึ้นมาใหม่ที่ต้องการบอกว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
(ซึ่งควรเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น)
และมีการลงมือกระทำว่ามีการเปลี่ยนแปลงจริง
ก็เป็นการดี
แต่ถ้าเป็นเพื่อการหลอกคนกลุ่มใหม่ให้หลงเข้าใจผิดเพื่อดึงมาเป็นลูกค้า
โดยที่ยังคงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดปัญหาในอดีตเอาไว้โดยไม่ยอมแก้ไข
ผมเห็นว่ามันก็เป็นการหลอกลวงแบบหนึ่ง
กิจกรรมดังกล่าวจัดโดยใครก็ไม่ได้บอกไว้ชัดเจน
และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงคืออะไรนั้น
ก็ขอให้พิจารณาเอาเอง
๓.
ความ
(ที่คิดว่า)
เทห์ต้องมาก่อน
ความปลอดภัยไว้ทีหลัง
สถาบันการศึกษาระดับสูงที่ได้ชื่อว่าสามารถเป็นแหล่งอ้างอิงทางวิชาการให้กับสังคมได้นั้น
เวลาที่จะเผยแพร่อะไรออกไปก็ควรต้องมีการระมัดระวังเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะในเรื่องความถูกต้องของข้อมูล
การแต่งกายให้เหมาะสมกับพิธีการ
เทศกาล หรือกิจกรรมใด ๆ ทั่วไป
ที่ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยนั้น
แต่ละสถาบันก็มีข้อกำหนดแตกต่างกันออกไปตามสภาพสังคมที่สถาบันนั้นตั้งอยู่หรือตามเอกลักษณ์ที่สถาบันต้องการฝึกฝนผู้ที่เข้ามาเรียนในสถาบันนั้น
แต่การแต่งกายให้เหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่ที่เครื่องแต่งกายนั้นส่งผลถีงความปลอดภัยในการทำงาน
จะใช้ข้ออ้างเรื่องอิสระภาพในการแต่งกายหรือใคร
ๆ เขาก็ทำกันนั้น
ว่าจะแต่งอย่างไรก็ได้นั้น
มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
เมื่อปีพ.ศ.
๒๕๓๒
ผมได้มีโอกาสไปฝึกงานที่โรงงานปิโตรเคมีแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น
ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการผลิตนั้นทุกคนจะต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายก่อน
(ทางบริษัทจัดให้)
เครื่องแบบของเขาเป็นเสื้อแบบแจ็กเก็ตแขนยาวไว้สวมทับเสื้อคอกลมข้างใน
ไม่มีกระเป๋าใด ๆ
ชายเสื้อเป็นแบบพอดีเอว
แม้จะไม่สามารถสอดชายเสื้อเข้าในกางเกง
แต่ก็ไม่มีชายเสื้อปล่อยรุงรัง
ไม่มีที่ให้เหน็บปากกาหรือกลัดป้ายชื่อ
(ใช้วิธีปักลงบนเสื้อ)
กางเกงเป็นกางเกงขายาว
กระเป๋ากางเกงมีอยู่ที่ขาทั้งสองข้างระดับประมาณหัวเข่า
เรียกว่าเดินเอามือล้วงกระเป๋าไม่ได้
การที่เขาออกแบบเสื้อเช่นนี้ก็เพราะหลีกเลี่ยงปัญหาที่สิ่งของต่าง
ๆ ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อหรือที่เหน็บอยู่นั้น
ตกร่วงหล่นลงไปในอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต
(เช่นในขณะที่ก้มลงไปดู)
ส่วนกางเกงที่มีกระเป๋าอยู่ต่ำจนเดินเอามือล้วงกระเป๋าไม่ได้นั้นก็เพื่อให้สามารถจับคว้าราวยึดต่าง
ๆ ได้ทันเวลาถ้าหากมีการเสียหลักระหว่างการเดิน
ชายเสื้อที่กระชับก็เพราะไม่ต้องการให้ถูกดึงด้วย
rotating
equipment ที่มีอยู่ทั่วไปในโรงงาน
และแม้จะไม่มีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเสื้อที่สวมแล้วต้องกลัดกระดุมเสื้อให้เรียบร้อยทุกเม็ดหรือรูดซิปให้เรียบร้อย
แต่ก็ถือว่าเป็นข้อปฏิบัติที่เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไป
(แต่เวลาที่สวมหมวกนิรภัยเขาจะมีการกำชับไว้อย่างชัดเจนว่าให้ใช้สายรัดคางด้วย
เพราะหมวกส่วนใหญ่ที่เราใส่กันทั่วไปนั้นไม่มีสายรัดคาง)
และในงานที่จำเป็นต้องสวมรองเท้านิรภัย
ถุงมือ และแว่นตานิรภัย
ก็จะมีการกำหนดเอาไว้อย่างชัดเจน
รูปที่เอามาแสดงนั้นเป็นรูปเชิญชวนนักเรียนระดับมัธยมปลายให้เข้ามาร่วมกิจกรรมที่นิสิตระดับมหาวิทยาลัยเป็นผู้จัด
ในรูปต้นฉบับนั้นผู้แสดงแบบก็ไม่ได้สวมแว่นตา
ส่วนที่เหลือก็ขอให้พิจารณากันเองก็แล้วกันว่าการแต่งกายและกิจกรรมที่เขาแสดงในรูปนั้น
มีความเหมาะสมกันมากน้อยแค่ไหนเพียงใด
ช่างภาพนั้นมักจะต้องการให้ภาพออกมาดูดี
(ในสายตาของเขา)
ส่วนจะถูกต้องหรือเหมาะสมนั้นเอาไว้ทีหลัง
เรื่องการแต่งกายนั้นเห็นนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อยออกมาโจมตีระเบียบข้อบังคับของทางสถาบันที่ว่าด้วยการแต่งกาย
หาว่าล้าสมัยบ้าง
จำกัดสิทธิเสรีภาพบ้าง
แต่ตอนรับปริญญาไม่เห็นออกมาโวยวายว่าทำไมต้องสวมครุย
หรือพอเข้าไปทำงานในหน่วยงานต่าง
ๆ
ที่มีการกำหนดเครื่องแบบการแต่งกายของพนักงานก็ไม่เห็นออกมาจับกลุ่มโจมตีโวยวายเรื่องการแต่งกายเลย
ในสังคมนั้น
แต่ละกิจกรรมมันจะมีการแต่งกายที่เหมาะสมกับกิจกรรมนั้น
ๆ ความเหมาะสมของการแต่งกายนั้นอาจกำหนดขึ้นจาก
ความปลอดภัยในการทำกิจกรรม
ความสะดวกในการทำกิจกรรม
การลดความแตกต่างระหว่างผู้ทำกิจกรรม
การสร้างจุดเด่นของผู้มีหน้าที่ปฏิบัติงานออกจากผู้เข้าร่วมงานทั่วไป
เป็นต้น
การกำหนดเรื่องเครื่องแต่งกายก็เช่นกัน
ถ้าหากกำหนดให้แต่งด้วยเครื่องแบบที่มีผู้ผลิต
(เป็นใครก็ไม่รู้)
อยู่เพียงรายเดียวโดยไม่มีผู้อื่นแข่งขันนั้น
เป็นการสมควรหรือไม่
เพราะเห็นอยากจะแต่งตัวอย่างนั้นอย่างนี้เข้าเรียน
แต่พอถามว่าเงินค่าเสื้อนั้นไปเข้ากระเป๋าใคร
ใครได้ประโยชน์
และมันจำเป็นหรือไม่ที่ต้องทำอย่างนั้น
ก็ไม่เห็นจะมีใครตอบได้สักราย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น