ไข้เลือดออกที่มีสาเหตุจากยุงลายยังมีการระบาดหนักแบบปีเว้นปี
แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่ากลัวกว่ายุงลาย
ที่ใครที่เคยได้รับเข้าไปแล้วจะเข้าใจดี
นั่นคือ ...
อาจารย์ไลน์
...
ผมไม่ได้เป็นคนตั้งชื่อพาหะนี้ขึ้นมาเองหรอกครับ
เพียงแต่ได้มีโอกาสรู้จักกับผู้ที่ต้องประสบชะตากรรมได้รับผลกระทบจาก
"อาจารย์ไลน์"
ดังกล่าวจนเขาต้องโพสข้อความข้างบนออกมา
และได้เห็นความทุกข์ทรมานของเขากว่าที่จะก้าวผ่านภาวะวิกฤตนั้นไปได้
(โดยที่ไม่เป็นข่าว)
แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ยังมีเพื่อนพ้องอีกหลายคนที่ยังต้องประสบชะตากรรมแบบเดียวกับที่เขาได้ประสบมา
แต่ที่ทำให้ความทุกข์ทรมานของผู้ที่ประสบชะตากรรมจาก
"อาจารย์ไลน์"
ไม่เป็นที่รู้จักกันมากนั้น
คงเป็นเพราะเกือบทั้งหมดมันมักเกิดกับผู้ที่เรียนระดับ
"ปริญญาเอก"
และเกิดกับประเทศในเขตเอเซียบางประเทศที่ผู้คนในประเทศชื่นชอบการส่งสติ๊กเกอร์
ต้นตอของกลุ่มอาการนี้มาจากประเทศญี่ปุ่น
ก่อนที่จะเข้าสู่ประเทศไทยผ่านทาง
App
Store และ
Google
Play
ที่ต้องรีบนำเอาเรื่องนี้มาเผยแพร่ก็เพราะคิดว่าอีกไม่นานคงมีการระบาดหนักขึ้น
(โดยเฉพาะคนไทยที่ชื่นชอบการติดต่อสื่อสารแบบจ่ายตังค์ทีเดียวแล้วใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง)
เพราะมันแพร่กระจายผ่านทางสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใช้กับโทรศัพท์มือถือ
(ดังนั้นการระบาดจึงไม่ขึ้นกับฤดูกาล)
เท่าที่ทราบโรคนี้มีอุบัติการครั้งแรกกับผู้ใช้มือถือระบบ
3G
แต่หลังการประมูลคลื่น
4G
ที่ผ่านไปเมื่อไม่นานนี้พร้อมกับการที่ผู้ให้บริการบางรายเปิดให้บริการระบบ
4G
แล้ว
ทำให้คาดว่าจะมีการระบาดที่รวดเร็วมากขึ้นไปอีก
ความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้นอยู่กับผู้เผยแพร่และผู้ได้รับแต่ละราย
ผู้เผยแพร่บางรายเป็นเพียงแค่พาหะที่ไม่แสดงอาการ
เพียงแต่เฝ้าดูและเก็บข้อมูลอย่างเงียบ
ๆ ส่วนใหญ่ของผู้เผยแพร่นั้นมักเป็นผู้ใหญ่อยู่ในช่วงวัยกลางคนขึ้นไป
ในขณะที่ส่วนใหญ่ของผู้ได้รับนั้นมักจะมีอายุอยู่ในช่วง
๒๐-๓๐
ปีเป็นหลัก
เคยมีกรณีของผู้ที่ได้รับนั้นที่มีอาการหนักมากถึงขั้นชักจนต้องนอนโรงพยาบาล
โดยหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ยังมีอาการทางระบบสมองหลงเหลือปรากฏให้เห็นชัดติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน
กรณีหนึ่งที่เคยประสบได้แก่ผู้ป่วยที่ขอใช้นามแฝงว่า
"โป๊ต
สมมุติฐาน"
ที่เปลี่ยนจากการเป็นผู้ที่ชื่นชอบการเล่นเกมส์ต่อสู้บนคอมพิวเตอร์ทั้งวัน
(แม้แต่เวลาทำงาน)
กลายมาเป็นผู้ที่เคร่งเครียดจริงจังกับการทำ
simulation
ทั้งวัน
การพูดการจาจากเดิมที่หาสาระไม่ค่อยได้กลับกลายเป็นคุยแต่เรื่องงาน
จากการเฝ้าสังเกตอาการ
ยังพบอาการอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก
ตัวอย่างเช่น
-
ถ้าในช่วงเวลาดังกล่าวมีเหตุการณ์อกหักจากเพศตรงข้ามแทรกเข้ามา
อาจส่งผลให้เปลี่ยนไปรักเพศเดียวกันได้
(ทำเอาเพื่อนร่วมงานเพศเดียวกันแอบหนาวไปตาม
ๆ กัน คือกลัวมันจะปล้ำเอา
แต่มีบางคนก็แอบดีใจอยู่ภายในโดยไม่แสดงออกมา)
-
ทำใจยากกับของรักของหวงที่ต้องสูญเสียไป
เช่นในกรณีของ "โป๊ต
สมมุติฐาน"
ที่ปลามังกรที่เลี้ยงเอาไว้เสียชีวิต
แต่แทนที่จะเอาไปทิ้ง
(หรือทำอะไรกินเป็นการถอนทุน)
กลับเอาไปแช่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็นนานเป็นเวลาหลายวันเพราะทำใจไม่ได้
ก่อนจะสามารถตัดใจกำจัดซากปลาไปได้
-
น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเข้าสู่เลข
๓ หลัก ซึ่งเป็นผลจากการกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ
คือกุ้งที่ซื้อมาแพง ๆ
แทนที่จะกินเองกลับเอาไปให้ปลามังกรกิน
ส่วนตัวเองนั่งกินแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
-
อารมณ์อาจเปลี่ยนแปลงจากสุขเป็นเศร้าซึมกระทันหัน
ถ้าหากได้รับเชื้อนี้ในช่วงเวลาสำคัญ
เช่นกำลังจะออกไปกินข้าวเย็นและดูหนังกับเพื่อนฝูง
แต่กลับกลายเป็นว่ามีงานต้องส่งหรือมีประชุมในเช้าวันรุ่งขึ้น
หรือเย็นวันศุกร์กำลังจะหยุดยาวไปเที่ยวไกล
ๆ ในช่วงสุดสัปดาห์
กลับกลายเป็นว่าต้องมีงานส่งในเช้าวันจันทร์
เป็นต้น
-
การติดต่อสื่อสารทำได้ช้าลง
จากเรื่องที่คุยกันไม่กี่ประโยค
ทำความเข้าใจกันได้ในเวลาไม่ถึงนาที
กลับกลายเป็นว่ากว่าจะสื่อสารกันได้ต้องใช้เวลาไม่รู้กี่นาที
ทั้งนี้เป็นเพราะความสามารถในการฟังและการพูดจาถดถอยน้อยลง
กลายเป็นต้องใช้การสื่อสารผ่านทางตัวอักษร
-
รักสันโดษ
(เป็นข้ออ้างของผู้ได้รับรายหนึ่ง
ที่จะไม่เลี้ยงเพื่อนฝูงฉลองในโอกาศที่เขาเรียนจบ
โดยอ้างว่าจะหลบไปพักผ่อนเงียบ
ๆ คนเดียว)
-
ถ้าหากผู้ได้รับนั้นเกิดการพัฒนากลายเป็นผู้เผยแพร่
จะส่งผลต่อสภาพจิตใจ
คือเห็นความสำคัญของผู้อื่นน้อยลง
เกิดความหยิ่งผยอง
รังเกียจที่จะพูดคุยด้วย
คาดหวังว่าอีกฝ่ายต้องเฝ้านั่งหน้าจอโทรศัพท์
เมื่อส่งเชื้อนี้ออกไปเมื่อใด
อีกฝ่ายต้องแสดงอาการติดเชื้อทันที
ถ้าผู้ได้รับคนใดก็ตามประสบเหตุการณ์เช่นนี้
ก็พอจะเอาคืนได้ด้วยการถืออุเบกขา
คือนิ่งเฉยเสีย
แต่หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่ดวง
สำหรับผู้ได้รับที่ประสบปัญหาดังกล่าวเข้าไปแล้วก็ต้องทำใจว่ามันไม่มีวิธีการรักษา
ทำได้แค่เพียงประคองอาการไปเท่านั้น
ในช่วงที่อาการกำลงรุนแรงก็อาจพอบรรเทาได้ด้วยการปิดการใช้สัญญาณ
3G สำหรับผู้ที่ยังไม่ประสบปัญหาดังกล่าวก็พอจะป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงการมีสมาร์ทโฟน
หรือถ้าจำเป็นต้องมีก็ควรใช้เพื่อการโทรพูดคุยเพียงอย่างเดียว
พยายามทำตัวให้ low
tech มากที่สุดแล้วโอกาสที่จะรอดปลอดภัยจะสูง
(ยิ่งนิยมใช้ช่องทางการติดต่อที่ติดต่อกันได้ฟรีแบบไม่จำกัดจำนวนแบบต้องพิมพ์ข้อความ
โอกาสที่จะประสบปัญหาก็จะเพิ่มมากสูงขึ้นตามไปด้วย
เพราะปัญหานี้นิยมของฟรี
ไม่นิยมช่องทางที่ต้องเป็นฝ่ายจ่ายตังค์เอง)
การป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำสามารถทำได้ด้วยการเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่พร้อมกับการเปลี่ยน
account
ใหม่
(โดยต้องป้องกันไม่ให้ผู้เผยแพร่ทราบเบอร์ใหม่และ
account
ใหม่)
เนื่องด้วยจรรยาบรรณของผู้สื่อข่าวประจำแลป
ผมจึงไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของผู้ได้รับผลกระทบจาก
"อาจารย์ไลน์"
ได้
แต่เชื่อว่าหลายต่อหลายคนในแลปคงเดากันได้ไม่ยากว่าเขาคือใคร
:)
:) :)
ในการติดต่อสื่อสารนั้น
วิธีการที่ฝ่ายหนึ่งใช้ติดต่อกับอีกฝ่ายหนึ่งเป็นตัวบอกว่า
ผู้ส่งสารนั้นให้ความสำคัญกับผู้รับสาร
หรือให้ความสำคัญกับข้อความที่ต้องการสื่อสารนั้นมากน้อยแค่ไหน
ในเรื่องที่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ
การไปพบด้วยตัวเองก็ต้องเรียกว่าเป็นการให้เกียรติอีกฝ่ายหนึ่งมากที่สุด
ในกรณีที่ไม่สามารถไปพบด้วยตัวเองได้หรือเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน
การต่อโทรศัพท์สายตรงเพื่อการพูดคุยติดต่อก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติที่สูงเช่นกัน
(กรณีเช่นนี้เห็นได้จากเวลาที่ประมุขของคณะรัฐบาลของประเทศต่าง
ๆ มีการโทรศัพท์คุยกันเมื่อใด
ก็จะมีข่าวปรากฏทุกที)
จดหมายที่เขียนด้วยลายมือก็แสดงถึงความสำคัญที่ผู้ส่งมีให้แก่ผู้รับ
แต่เดี๋ยวนี้กลับกลายเป็นว่าเราไม่ได้ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่มีการพัฒนาไปมากนั้นเพื่อการสร้างความรู้สึกและความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน
แต่กลายเป็นว่าเราใช้มันเพื่อให้มีข้ออ้างว่าได้ส่งข้อความไปแล้ว
ส่วนผู้ที่เขาต้องการให้รับข้อความนั้นจะรับรู้ว่ามีข้อความส่งมาถึงหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เหตุการณ์ทำนองนี้ดูเหมือนว่าในสถานที่ทำงานต่าง
ๆ จะเกิดมากขึ้นทุก ๆ ที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น