วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สิ่งที่น่ากลัวกว่ายุงลาย คือ ... MO Memoir : Sunday 22 November 2558

ไข้เลือดออกที่มีสาเหตุจากยุงลายยังมีการระบาดหนักแบบปีเว้นปี
แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่ากลัวกว่ายุงลาย ที่ใครที่เคยได้รับเข้าไปแล้วจะเข้าใจดี นั่นคือ ... อาจารย์ไลน์ ...


ผมไม่ได้เป็นคนตั้งชื่อพาหะนี้ขึ้นมาเองหรอกครับ เพียงแต่ได้มีโอกาสรู้จักกับผู้ที่ต้องประสบชะตากรรมได้รับผลกระทบจาก "อาจารย์ไลน์" ดังกล่าวจนเขาต้องโพสข้อความข้างบนออกมา และได้เห็นความทุกข์ทรมานของเขากว่าที่จะก้าวผ่านภาวะวิกฤตนั้นไปได้ (โดยที่ไม่เป็นข่าว) แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ยังมีเพื่อนพ้องอีกหลายคนที่ยังต้องประสบชะตากรรมแบบเดียวกับที่เขาได้ประสบมา แต่ที่ทำให้ความทุกข์ทรมานของผู้ที่ประสบชะตากรรมจาก "อาจารย์ไลน์" ไม่เป็นที่รู้จักกันมากนั้น คงเป็นเพราะเกือบทั้งหมดมันมักเกิดกับผู้ที่เรียนระดับ "ปริญญาเอก" และเกิดกับประเทศในเขตเอเซียบางประเทศที่ผู้คนในประเทศชื่นชอบการส่งสติ๊กเกอร์
ต้นตอของกลุ่มอาการนี้มาจากประเทศญี่ปุ่น ก่อนที่จะเข้าสู่ประเทศไทยผ่านทาง App Store และ Google Play ที่ต้องรีบนำเอาเรื่องนี้มาเผยแพร่ก็เพราะคิดว่าอีกไม่นานคงมีการระบาดหนักขึ้น (โดยเฉพาะคนไทยที่ชื่นชอบการติดต่อสื่อสารแบบจ่ายตังค์ทีเดียวแล้วใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง) เพราะมันแพร่กระจายผ่านทางสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใช้กับโทรศัพท์มือถือ (ดังนั้นการระบาดจึงไม่ขึ้นกับฤดูกาล) เท่าที่ทราบโรคนี้มีอุบัติการครั้งแรกกับผู้ใช้มือถือระบบ 3G แต่หลังการประมูลคลื่น 4G ที่ผ่านไปเมื่อไม่นานนี้พร้อมกับการที่ผู้ให้บริการบางรายเปิดให้บริการระบบ 4G แล้ว ทำให้คาดว่าจะมีการระบาดที่รวดเร็วมากขึ้นไปอีก
  
ความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้นอยู่กับผู้เผยแพร่และผู้ได้รับแต่ละราย ผู้เผยแพร่บางรายเป็นเพียงแค่พาหะที่ไม่แสดงอาการ เพียงแต่เฝ้าดูและเก็บข้อมูลอย่างเงียบ ๆ ส่วนใหญ่ของผู้เผยแพร่นั้นมักเป็นผู้ใหญ่อยู่ในช่วงวัยกลางคนขึ้นไป ในขณะที่ส่วนใหญ่ของผู้ได้รับนั้นมักจะมีอายุอยู่ในช่วง ๒๐-๓๐ ปีเป็นหลัก
  
เคยมีกรณีของผู้ที่ได้รับนั้นที่มีอาการหนักมากถึงขั้นชักจนต้องนอนโรงพยาบาล โดยหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ยังมีอาการทางระบบสมองหลงเหลือปรากฏให้เห็นชัดติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน กรณีหนึ่งที่เคยประสบได้แก่ผู้ป่วยที่ขอใช้นามแฝงว่า "โป๊ต สมมุติฐาน" ที่เปลี่ยนจากการเป็นผู้ที่ชื่นชอบการเล่นเกมส์ต่อสู้บนคอมพิวเตอร์ทั้งวัน (แม้แต่เวลาทำงาน) กลายมาเป็นผู้ที่เคร่งเครียดจริงจังกับการทำ simulation ทั้งวัน การพูดการจาจากเดิมที่หาสาระไม่ค่อยได้กลับกลายเป็นคุยแต่เรื่องงาน
  

จากการเฝ้าสังเกตอาการ ยังพบอาการอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก ตัวอย่างเช่น
  
- ถ้าในช่วงเวลาดังกล่าวมีเหตุการณ์อกหักจากเพศตรงข้ามแทรกเข้ามา อาจส่งผลให้เปลี่ยนไปรักเพศเดียวกันได้ (ทำเอาเพื่อนร่วมงานเพศเดียวกันแอบหนาวไปตาม ๆ กัน คือกลัวมันจะปล้ำเอา แต่มีบางคนก็แอบดีใจอยู่ภายในโดยไม่แสดงออกมา)
  
- ทำใจยากกับของรักของหวงที่ต้องสูญเสียไป เช่นในกรณีของ "โป๊ต สมมุติฐาน" ที่ปลามังกรที่เลี้ยงเอาไว้เสียชีวิต แต่แทนที่จะเอาไปทิ้ง (หรือทำอะไรกินเป็นการถอนทุน) กลับเอาไปแช่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็นนานเป็นเวลาหลายวันเพราะทำใจไม่ได้ ก่อนจะสามารถตัดใจกำจัดซากปลาไปได้
  
- น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเข้าสู่เลข ๓ หลัก ซึ่งเป็นผลจากการกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ คือกุ้งที่ซื้อมาแพง ๆ แทนที่จะกินเองกลับเอาไปให้ปลามังกรกิน ส่วนตัวเองนั่งกินแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
  
- อารมณ์อาจเปลี่ยนแปลงจากสุขเป็นเศร้าซึมกระทันหัน ถ้าหากได้รับเชื้อนี้ในช่วงเวลาสำคัญ เช่นกำลังจะออกไปกินข้าวเย็นและดูหนังกับเพื่อนฝูง แต่กลับกลายเป็นว่ามีงานต้องส่งหรือมีประชุมในเช้าวันรุ่งขึ้น หรือเย็นวันศุกร์กำลังจะหยุดยาวไปเที่ยวไกล ๆ ในช่วงสุดสัปดาห์ กลับกลายเป็นว่าต้องมีงานส่งในเช้าวันจันทร์ เป็นต้น
  
- การติดต่อสื่อสารทำได้ช้าลง จากเรื่องที่คุยกันไม่กี่ประโยค ทำความเข้าใจกันได้ในเวลาไม่ถึงนาที กลับกลายเป็นว่ากว่าจะสื่อสารกันได้ต้องใช้เวลาไม่รู้กี่นาที ทั้งนี้เป็นเพราะความสามารถในการฟังและการพูดจาถดถอยน้อยลง กลายเป็นต้องใช้การสื่อสารผ่านทางตัวอักษร
  
- รักสันโดษ (เป็นข้ออ้างของผู้ได้รับรายหนึ่ง ที่จะไม่เลี้ยงเพื่อนฝูงฉลองในโอกาศที่เขาเรียนจบ โดยอ้างว่าจะหลบไปพักผ่อนเงียบ ๆ คนเดียว)
  
- ถ้าหากผู้ได้รับนั้นเกิดการพัฒนากลายเป็นผู้เผยแพร่ จะส่งผลต่อสภาพจิตใจ คือเห็นความสำคัญของผู้อื่นน้อยลง เกิดความหยิ่งผยอง รังเกียจที่จะพูดคุยด้วย คาดหวังว่าอีกฝ่ายต้องเฝ้านั่งหน้าจอโทรศัพท์ เมื่อส่งเชื้อนี้ออกไปเมื่อใด อีกฝ่ายต้องแสดงอาการติดเชื้อทันที ถ้าผู้ได้รับคนใดก็ตามประสบเหตุการณ์เช่นนี้ ก็พอจะเอาคืนได้ด้วยการถืออุเบกขา คือนิ่งเฉยเสีย แต่หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่ดวง
  

สำหรับผู้ได้รับที่ประสบปัญหาดังกล่าวเข้าไปแล้วก็ต้องทำใจว่ามันไม่มีวิธีการรักษา ทำได้แค่เพียงประคองอาการไปเท่านั้น ในช่วงที่อาการกำลงรุนแรงก็อาจพอบรรเทาได้ด้วยการปิดการใช้สัญญาณ 3G  สำหรับผู้ที่ยังไม่ประสบปัญหาดังกล่าวก็พอจะป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงการมีสมาร์ทโฟน หรือถ้าจำเป็นต้องมีก็ควรใช้เพื่อการโทรพูดคุยเพียงอย่างเดียว พยายามทำตัวให้ low tech มากที่สุดแล้วโอกาสที่จะรอดปลอดภัยจะสูง (ยิ่งนิยมใช้ช่องทางการติดต่อที่ติดต่อกันได้ฟรีแบบไม่จำกัดจำนวนแบบต้องพิมพ์ข้อความ โอกาสที่จะประสบปัญหาก็จะเพิ่มมากสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะปัญหานี้นิยมของฟรี ไม่นิยมช่องทางที่ต้องเป็นฝ่ายจ่ายตังค์เอง)
  
การป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำสามารถทำได้ด้วยการเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่พร้อมกับการเปลี่ยน account ใหม่ (โดยต้องป้องกันไม่ให้ผู้เผยแพร่ทราบเบอร์ใหม่และ account ใหม่)

เนื่องด้วยจรรยาบรรณของผู้สื่อข่าวประจำแลป ผมจึงไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของผู้ได้รับผลกระทบจาก "อาจารย์ไลน์" ได้ แต่เชื่อว่าหลายต่อหลายคนในแลปคงเดากันได้ไม่ยากว่าเขาคือใคร :) :) :)

ในการติดต่อสื่อสารนั้น วิธีการที่ฝ่ายหนึ่งใช้ติดต่อกับอีกฝ่ายหนึ่งเป็นตัวบอกว่า ผู้ส่งสารนั้นให้ความสำคัญกับผู้รับสาร หรือให้ความสำคัญกับข้อความที่ต้องการสื่อสารนั้นมากน้อยแค่ไหน ในเรื่องที่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ การไปพบด้วยตัวเองก็ต้องเรียกว่าเป็นการให้เกียรติอีกฝ่ายหนึ่งมากที่สุด ในกรณีที่ไม่สามารถไปพบด้วยตัวเองได้หรือเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน การต่อโทรศัพท์สายตรงเพื่อการพูดคุยติดต่อก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติที่สูงเช่นกัน (กรณีเช่นนี้เห็นได้จากเวลาที่ประมุขของคณะรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ มีการโทรศัพท์คุยกันเมื่อใด ก็จะมีข่าวปรากฏทุกที) จดหมายที่เขียนด้วยลายมือก็แสดงถึงความสำคัญที่ผู้ส่งมีให้แก่ผู้รับ

แต่เดี๋ยวนี้กลับกลายเป็นว่าเราไม่ได้ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่มีการพัฒนาไปมากนั้นเพื่อการสร้างความรู้สึกและความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน แต่กลายเป็นว่าเราใช้มันเพื่อให้มีข้ออ้างว่าได้ส่งข้อความไปแล้ว ส่วนผู้ที่เขาต้องการให้รับข้อความนั้นจะรับรู้ว่ามีข้อความส่งมาถึงหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เหตุการณ์ทำนองนี้ดูเหมือนว่าในสถานที่ทำงานต่าง ๆ จะเกิดมากขึ้นทุก ๆ ที

ไม่มีความคิดเห็น: