คงเป็นเพราะเขาเห็นผมเขียนสารพัดเรื่องราวไร้สาระลง
blog
ส่วนตัวเป็นประจำ
ก็เลยมอบหมายหน้าที่ให้ช่วยเป็น
admin
ดูแล
facebook
ของภาควิชาร่วมกับอาจารย์ท่านอื่น
อันที่จริงผมก็ยังถือคติเอา
facebook
ไว้เป็นที่เล่น
ที่พักผ่อน เป็นหลักครับ
ไม่อยากให้เป็นการสั่งงานสั่งการใด
ๆ แต่เมื่อได้รับหน้าที่มา
(โดยไม่มีการระบุรายละเอียดว่าจะให้ทำอะไร)
และโดยฐานะที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารงานอะไรของภาควิชา
ก็เลยคิดว่าจะช่วยทำหน้าที่หาเรื่องราวอะไรต่าง
ๆ มาช่วยโพสเพื่อไม่ให้หน้าเฟสมันเงียบเหงาเกินไป
ดังนั้นถ้าจะคุยอะไรเป็นการเป็นงานก็กรุณาคุยกับแอดมินท่านอื่นนะครับ
เรื่องที่คิดว่าจะโพสก็คงจะเป็นเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยทั่วไปของภาควิชา
คณะ หรือมหาวิทยาลัย
อาจเรียกได้ว่าเป็นข่าวเหตุการณ์ประจำวันทั่ว
ๆ ไป หรือไม่ก็เป็นเรื่องราวในอดีต
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในส่วนที่ตัวเองประสบหรือเคยได้ยินมา
ทั้งนี้เพื่ออยากให้คนรุ่นก่อนได้เห็นว่าปัจจุบันสถานที่และการเรียนการสอนต่าง
ๆ นั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
และให้คนในปัจจุบันได้รับรู้ว่ากว่าจะมาเป็นสิ่งที่เราเห็นทุกวันนี้นั้น
แต่ก่อนมันเป็นอย่างไร
รูปที่
๑ บ้านหลังที่สองของภาควิชา
(คิดว่าคงเข้าใจไม่ผิด)
ด้านหน้าตึกหันลงด้านทิศเหนือ
ด้านตะวันออก (ฝั่งถนนอังรีดูนังต์)
เป็นส่วนของภาควิชานิวเคลียร์เทคโนโลยี
(แม้ว่าอาคารจะต่อเนื่องกัน
แต่ไม่มีทางเดินเชื่อมต่อกัน)
ด้านหลัง
(ทิศใต้)
คือคณะรัฐศาสตร์
ส่วนด้านทิศตะวันตกของอาคาร
(ด้านหันไปยังศาลาพระเกี้ยว)
ปัจจุบันเป็นสนามกีฬา
ที่แบ่งครึ่งกันใช้ระหว่างคณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะรัฐศาสตร์
เรื่องที่จะเอามาแบ่งปันนั้น
บางเรื่องก็จะเป็นเรื่องที่เขียนขึ้นมาใหม่
(เช่นเรื่องนี้)
หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่เคยเขียนลง
blog
เอาไว้แล้ว
(ขี้เกียจเขียนเรื่องเดิมซ้ำ)
และเพื่อให้เรื่องต่าง
ๆ มันค้นกลับได้ง่าย
ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะเขียนลงบน
blog
ด้วย
และค่อยทำลิงค์จากหน้า
faceboook
ของภาควิชาออกมา
โดยเรื่องแรกที่จะขอประเดิมคือสระน้ำข้างตึก
ที่ปัจจุบันหายไปแล้ว
รูปที่
๑ นั้นเป็นอาคารที่ปัจจุบันเรียกว่าอาคารปฏิบัติการรวม
แต่ตอนที่ผมเข้ามาเรียนหนังสือ
(พ.ศ.
๒๕๒๗)
หรือตอนกลับมาทำงานใหม่
ๆ นั้น (พ.ศ.
๒๕๓๗)
ยังเรียกกันว่าอาคารสามภาควิชา
คือประกอบด้วยภาค วิชาวิศวกรรมเคมี
วิศวกรรมโลหการ และนิวเคลียร์เทคโนโลยี
ภาควิชานิวเคลียร์เทคโนโลยีนั้นครอบครองพื้นที่ซึกด้านถนนอังรีดูนังต์
(ด้านตะวันออก)
ของอาคารทั้งสี่ชั้น
โดยไม่มีทางเดินเชื่อมต่อกับอาคารซีกด้านตะวันตกที่เป็นที่อยู่ของภาควิชาวิศวกรรมเคมีและวิศวกรรมโลหการ
อาคารนี้เข้าใจว่าเป็นบ้านหลังที่สองของภาควิชาเรา
โดยบ้านหลังแรกนั้นอยู่ร่วมกับภาควิชาวิศวกรรมสุขาภิบาล
(ชื่อในขณะนั้น)
ตรงบริเวณที่เป็นอาคารที่ตั้งภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน
พื้นที่ชั้น
๑
ของอาคารนั้นมีการแบ่งกันระหว่างภาควิชาวิศวกรรมเคมและวิศวกรรมโลหการ
เพื่อใช้เป็นที่ตั้งห้องปฏิบัติการของนิสิตปริญญาตรีของแต่ละภาควิชา
ชั้นที่ ๒ เป็นพื้นที่ของภาควิชาวิศวกรรมโลหการทั้งหมด
ชั้นที่ ๓
เป็นพื้นที่ของภาควิชาวิศวกรรมเคมีเกือบทั้งหมด
(ที่ใช้คำกว่าเกือบก็เพราะมีห้องกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนของภาคโลหการตั้งอยู่ด้วย)
ชั้นนี้เป็นที่ตั้งของห้องธุรการภาควิชาและห้องทำงานหัวหน้าภาควิชา
(ห้องเจ้าหน้าที่ศูนย์เครื่องมือวิเคราะห์ในปัจจุบัน)
ห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐาน
(เอาไว้จะเขียนเรื่องนี้ออกมาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
ห้องเรียน
ห้องคอมพิวเตอร์
(ปัจจุบันทั้งสองห้องนี้กลายเป็นพื้นที่ของห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานไปแล้ว)
ห้องพักนิสิต
(ที่เอาไว้นั่งเล่น
"จับหมู"
รอเวลาเรียน)
ส่วนชั้นที่
๔ นั้นเป็นของภาควิชาวิศวกรรมเคมีทั้งหมด
เป็นส่วนของห้องพักอาจารย์
และห้องวิจัยของนิสิตปริญญาโท
(ตอนนั้นยังไม่มีหลักสูตรปริญญาเอก)
ปัจจุบัน
(ตั้งแต่ปีพ.ศ.
๒๕๔๐
ที่มีการเปิดใช้อาคารวิศว
๔ และวิศว ๕)
อาคารนี้ในส่วนของภาควิชาวิศวกรรมเคมีและวิศวกรรมโลหการ
หลังจากใช้ชื่อชั่วคราวว่าเป็นอาคาร
๔ ภาควิชาอยู่พักหนึ่ง
ก็เปลี่ยนชื่อเป็นอาคารปฏิบัติการรวม
รูปที่
๒ โถงทางขึ้นตึกยังคงเหมือนเดิม
ที่เปลี่ยนแปลงไปคือกระเบื้องปูพื้นที่มีบริษัทขุดเจาะปิโตรเลียมมาลงทุนทำให้
รูปที่
๓ บันไดทางขึ้นอาคารด้านทิศตะวันตก
ปัจจุบันตรงช่วงจากชั้น ๓
(จากภาควิชาเรา)
ขึ้นไปชั้น
๔ (ไปยังภาคสิ่งแวดล้อม)
มักจะมีคนเอาธูปเทียน
น้ำ (และอาหารในบางครั้ง)
มาวางไว้เป็นประจำ
ที่ยืนยันได้ก็คือคนที่เอามาวางเป็นคนของชั้น
๔
แสดงว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อในอดีตสมัยที่ภาคเรายังคงครอบครองพื้นที่ส่วนนั้น
ปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่
ส่วนเคยเกิดอะไรขึ้นบ้างนั้น
เอาไว้วันหลังจะเล่าให้ฟัง
อันที่จริงก็เคยเขียนลง
blog
ไว้หลายปีแล้ว
ในเรื่อง "เหตุเกิดตอนทำแลปกลางคืน"
เดิมทีนั้นแผนการของทางคณะก็คือเมื่อสร้างอาคารวิศว
๔ และ ๕ เสร็จ
ก็จะทุบตึกนี้ทิ้งและสร้างตึกใหม่ขึ้นมาแทน
แต่วิกฤตเศรฐกิจที่เกิดขึ้นในปีพ.ศ.
๒๕๔๐
ทำให้ไม่มีงบประมาณสร้างตึกใหม่
ประกอบกับอาคารวิศว ๔
ที่เดิมจะให้ภาควิฃาวิศวกรรมเคมีและโลหการย้ายขึ้นไปอยู่นั้น
ไม่ได้รับการออกแบบให้มีห้องปฏิบัติการเคมี
หรือห้องทดลองที่มีการใช้น้ำทำการทดลอง
เป็นเพียงแค่ออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานแบบอาคารสำนักงาน
ก็เลยมีการย้ายบางส่วนงานเท่านั้นไปอยู่ยังอาคารวิศว
๔ และ ๕ ก็เลยมีการดัดแปลงอาคาร
๓ ภาควิชาเดิมให้กลายเป็นอาคารปฏิบัติการรวม
คือเป็นแหล่งรวมห้องทดลอง
แต่ในส่วนของอาคารภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมนั้นมีแผนการทุบตึกเดิมและสร้างตึกใหม่รองรับอยู่แล้ว
ก็เลยมีการดัดแปลงพื้นที่ชั้น
๒ เพื่อให้ภาคเหมืองแร่และปิโตรเลียม
(ตอนนี้กลายเป็นทรัพยากรธรณี)
ย้ายห้องทดลองเข้ามา
(อยู่ร่วมกับภาคโลหการ)
และให้ภาคสิ่งแวดล้อมย้ายห้องทดลองเคมีไปอยู่บนชั้น
๔ ครอบครองพื้นที่ชันนั้นเอาไว้ทั้งหมด
โดยในส่วนของพื้นที่ชั้นล่างนั้นยังคงเหมือนเดิม
ชั้นที่ ๓ ยังคงเป็นของภาควิชาเราอยู่
แต่เปลี่ยนพื้นที่ทั้งหมดเป็นห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐาน
ห้องศูนย์เครื่องมือวิเคราะห์
และห้องวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา
บริเวณด้านทิศตะวันตกของอาคารภาควิชา
ไปจนถึงอาคารภาควิชาวิศวกรรมสำรวจนั้น
เดิมทีเป็นสระน้ำครับ
มีต้นไทรใหญ่ขึ้นอยู่ริมน้ำ
(ปัจจุบันก็ยังอยู่)
ตอนที่ผมเรียนหนังสือ
(ช่วงปีพ.ศ.
๒๕๒๗
-
๒๕๓๑)
ก็ยังเป็นสระน้ำที่สะอาดอยู่
ยังได้เห็นนิสิตคณะรัฐศาสตร์เอาเรือมาพายเล่นในสระดังกล่าว
กลับมาทำงานปี
๒๕๓๗ เนื่องจากต้องมีการกันพื้นที่สำหรับสร้างอาคาร
๔ และ ๕
ทำให้ตึกภาควิชาของเราถูกตัดขาดจากคณะเพราะพื้นที่หน้าตึกทั้งหมดถูกกันไว้เป็นพื้นที่ก่อสร้าง
ทางคณะจึงทำทางเดินชั่วคราวแคบ
ๆ
ให้เลียบสระน้ำดังกล่าวมาทางด้านหลังตึกที่เป็นห้องปฏิบัติการของภาคโยธาและสิ่งแวดล้อม
แม้ว่าตอนนั้นจะมีการนำเอาขยะ
(ทั้งถุงดำและหลอดฟูออเรสเซนส์
โดยใครก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นของคณะวิศว)
ไปโยนทิ้งไว้ในสระน้ำดังกล่าว
(ทางฝั่งคณะวิศว)
แต่ก็ยังได้เห็นนกกวักเดินเล่นอยู่
หรือบางทีก็มีงูเขียวโผล่มาทักทายตรงทางเดิน
และในที่สุดเมื่อสร้างอาคารเสร็จ
ก็เลยมีการกวาดเอาขยะทั้งหมดลงไปในสระน้ำพร้อมกับถมสระน้ำดังกล่าว
กลายเป็นสนามหญ้าสีเขียวแทน
นับเป็นการสิ้นสุดการมีสระน้ำสำหรับพายเรือเล่นตั้งแต่บัดนั้น
เรื่องยังไม่จบครับ
เพราะเมื่อมีการสร้างตึกใหม่ของภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อมแทนที่อาคารเดิม
มีการขุดพื้นที่บริเวณสนามหญ้าใหม่
(เช่นใจว่าต้องการฝังถังหรือทำบ่ออะไรบางอย่าง)
ก็เลยกลายเป็นว่าไปขุดเอาขยะต่าง
ๆ ที่ฝังซุกซ่อนไว้ข้างใต้โผล่ขึ้นมา
และก็ไม่มีที่ให้ใส่กลับลงไปด้วย
สุดท้ายก็เลยต้องทำการเทคอนกรีตปิดทับพื้นสนามหญ้าดังกล่าว
(คงเป็นเพราะไม่อยากให้ใครขุดดินเล่นมั้ง)
ก็เลยกลายมาเป็นสนามกีฬาในปัจจุบัน
ดูเหมือนว่าตอนที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นสระน้ำอยู่ก็ไม่มีใครสนใจว่าเป็นที่ใคร
แต่พอมาเป็นพื้นดินแล้วก็เลยมีปัญหากัน
เข้าใจว่าพื้นที่นี้ในส่วนของสนามบาส
(ที่ทาสีเขียวที่ติดกับอาคารภาควิชา)
จะเป็นคณะรัฐศาสตร์ดูแล
ส่วนที่อยู่ทางด้านภาควิชาวิศวกรรมสำรวจและสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นส่วนที่คณะวิศวดูแล
ในส่วนของพื้นที่คณะรัฐศาสตร์เองนั้นเนื่องจากมันไม่มีถนนเข้าถึง
ก็เลยยังคงเป็นสนามกีฬาเล่นได้ตลอดเวลาอยู่
ส่วนพื้นที่ของคณะวิศวนั้นกลายเป็นลานจอดรถเป็นหลัก
(มีเอารถมาจอดทิ้งไว้ด้วย)
ใครจะใช้พื้นที่เพื่อเล่นกีฬาก็ต้องมีการทำป้ายเตือนไปติดตั้งล่วงหน้า
(หลายวันหน่อยก็ดี)
และประกาศไปเหน็บไว้ตามหน้ารถที่เข้ามาจอด
เพื่อ "ขอ"
ใช้พื้นที่สนามกีฬาดังกล่าว
วันนี้ก็ขอทักทายกันครั้งแรกบนหน้า
facebook
เพียงแค่นี้ก่อนครับ
สวัสดีครับ
รูปที่
๔ บริเวณด้านหลังตึกวิศว
๕ ตรงพื้นที่รอยต่อกับคณะรัฐศาสตร์
เดิมเป็นสระน้ำ มีต้นไทรใหญ่อยู่ริมสระ
ปัจจุบันกลายเป็นสนามกีฬาและลานจอดรถ
(ที่มีขยะสารพัดพิษฝังอยู่ข้างใต้)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น