นิสิตป.โทของภาคเราแต่ก่อนเมื่อกว่า
๒๐ ปีที่แล้ว (ตอนนั้นภาคเราเพิ่งจะมีการสอนป.
เอก
และมีคนเรียนไม่กี่คน)
จำนวนไม่น้อยที่ทำวิจัยกันแบบค้างคืนที่แลป
ตื่นเช้าก็ไปอาบน้ำที่สระว่ายน้ำ
(ข้างศาลาพระเกี้ยวที่เพิ่งถูกทุบทิ้งไป
กลายเป็นลานจักรพงษ์แทน)
ถ้าเป็นตอนกลางคืน
นิสิตหญิงก็จะเข้าไปใช้ห้องอาบน้ำในห้องน้ำชั้น
๔ (อยู่ในส่วนของห้องน้ำอาจารย์)
ส่วนนิสิตชายก็จะขึ้นไปอาบน้ำจากแทงค์น้ำบนดาดฟ้าตึก
ตอนนั้นยังไม่มีตึก ๔ และตึก
๕ ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครอยู่บนที่สูงกว่าจะมองเห็น
ตึกที่สูงกว่าก็อยู่ห่างออกไปทางด้านย่านธุรกิจ
ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้น
ที่ใกล้ที่สุดเห็นจะได้แก่โรงอาหารคณะรัฐศาสตร์
ที่เป็นอาคารเก่า ๆ เล็ก ๆ
ตั้งอยู่ด้านหลังตึกภาควิชา
เพียงแค่เดินลงบันไดแล้วอ้อมไปด้านหลังตึกก็ถึงแล้ว
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่จะพบว่ามีนิสิตป.โท
ของภาควิชาไปนั่งกินข้าวที่นั่นเป็นประจำ
ไม่ว่าจะเป็นช่วง เช้า สาย
เที่ยง บ่าย หรือตอนเย็น
และบริเวณรอบ ๆ
โรงอาหารแห่งนี้ก็ยังเป็นแหล่งชุมนุมของนิสิตคณะรัฐศาสตร์ในช่วงเวลาที่ไม่มีการเรียน
หรือในช่วงเวลาที่มีการทำกิจกรรม
เหตุผลก็คงเป็นเพราะมีของกินอยู่ใกล้และยังเป็นบริเวณที่มีต้นไม้ร่มรื่น
ผมเองนับตั้งแต่กลับมาทำงานก็ใช้บริการที่โรงอาหารแห่งนี้บ่อย
นับตั้งแต่ยุคที่ยังมีน้ำแข็งไส
ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ
ข้าวแกงปักษ์ใต้รสจัดจ้านขาย
(ร้านเหล่านี้ย้ายออกไปหมดแล้ว)
เหตุผลหนึ่งคงเป็นเพราะบรรยากาศของโรงอาหารนี้ที่ยามที่และบริเวณรอบ
ๆ ที่ให้ความรู้สึกร่มรื่นกว่าโรงอาหารเก่าของคณะวิศว
รูปที่
๑ โรงอาหารคณะรัฐศาสตร์เดิม
ปัจจุบันหลังจากทำการซ่อมแซมและปรับปรุง
ก็ยังไม่มีการเปิดใช้ใด ๆ
ตึกสูงที่เห็นทางด้านซ้ายของภาพคืออาคารวิศว
๑๐๐ ปี
รูปที่
๒ ประตูทางเข้าด้านหน้าโรงอาหาร
รูปที่
๓ อาคารทางฟากฝั่งถนนอังรีดูนังต์
รูปที่
๔ อีกมุมหนึ่งของอาคารทางฟากถนนฝั่งอังรีดูนังต์
ปัจจุบันโรงอาหารดังกล่าวปิดทำการมาได้ประมาณสองสามปีแล้ว
นับตั้งแต่ทางคณะรัฐศาสตร์เปิดอาคารฉลองครบรอบ
๖๐ ปีของคณะ
จึงได้ย้ายโรงอาหารไปยังอาคารใหม่ที่อยู่ชั้นล่างในส่วนอาคารที่เป็นอาคารจอดรถ
บริเวณรอบ ๆ
นี้จึงค่อนข้างจะเงียบสงบแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาเปิดภาคการศึกษา
หลังปิดใช้งานก็มีการซ่อมแซมอาคารหลังนี้
(ในส่วนของร้านอาหาร)
แต่เมื่อทำเสร็จแล้วก็ไม่ให้เปิดใช้งานอะไรอีก
ตอนนี้ก็ยังคงปิดเอาไว้อย่างนั้น
อาคารนี้สร้างขึ้นเมื่อใดก็ไม่ทราบเหมือนกัน
แต่ดูจากโครงสร้างที่ใช้เสาไม้และไม้จริงทำโครงสร้างส่วนต่าง
ๆ แล้วทำให้อดคิดไม่ได้ว่ามันคงมีอายุไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
ก็คงเหลือแต่ว่าเขาจะมองมันเป็นอาคารอนุรักษ์หรือจะรื้อทิ้งเพื่อเอาพื้นที่ไปทำอย่างอื่น
(เชื่อว่าถ้ามีการรื้อทิ้งเมื่อใด
คงมีคนจำนวนไม่น้อยสนใจอยากได้ไม้เก่า
ๆ ของอาคารนี้แน่นอน
เพราะไม้แบบนี้คงหาได้ยากในปัจจุบัน)
Memoir
ฉบับนี้ก็ไม่มีอะไรครับ
แค่เป็นบันทึกเรื่องราวของอาคารเล็ก
ๆ หลังหนึ่งของมหาวิทยาลัย
ที่เป็นที่นิสิตป.โทของภาคเราจำนวนไม่น้อยใช้เป็นที่ฝากท้อง
ซึ่งไม่รู้ว่าในอนาคตข้างหน้าอาคารหลังนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ก็เลยต้องขอบันทึกภาพมันเอาไว้ในขณะที่ยังคงอยู่ในสภาพดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น