วันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ย้ายบ้านต้นไทร MO Memoir : Sunday 2 July 2560

ถ้าใช้รูปแบบการแผ่กระจายของราก ก็คงจะแบ่งไม้ยืนต้นออกได้เป็น ๒ พวกคือ พวกที่รากเน้นแผ่ลงลึก และพวกที่รากเน้นแผ่กว้างไปตามผิวดิน สำหรับคนที่ทำไร่แล้ว การมีไม้ยืนต้นแบบที่รากเน้นแผ่นลงลึกนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ (เราถึงมีการปลูกยูคาลิปต้สตามคันนา เพื่อเอาไม้มาใช้ทำกระดาษ) แต่เขาจะไม่ชอบไม้ยืนต้นที่รากเน้นแผ่ปกคลุมพื้นดิน เพราะรากที่แผ่ปกคลุมผิวดินนั้นมันก่อปัญหาเวลาที่ต้องพรวนดิน แต่ถ้าพิจารณาในแง่ของการยึดเหนี่ยวหน้าดินแล้วและทนต่อแรงพายุแล้ว รากเน้นแผ่ไปบนผิวดินดูเหมือนจะทำหน้าที่เหล่านี้ได้ดีกว่า
 
ต้นโพธิ์และต้นไทรก็เป็นไม้ยืนต้นจำพวกที่รากเน้นแผ่ไปตามผิวดิน ต้นโพธิ์ไม่เคยเห็นใครเขาเอามาขายและมีคนซื้อไปปลูก แต่ต้นไทรนี่จะเห็นบ่อยกว่า ข้อได้เปรียบของต้นไทรน่าจะอยู่ตรงที่มันมีรากอากาศที่แตกออกมาจากกิ่ง และเมื่อรากนี้ลงสัมผัสกับพื้นดินมันก็จะกลายเป็นลำต้นโตขึ้นมาใหม่ ช่วยในการพยุงกิ่งที่แผ่ออกไปทางด้านข้างไม่ให้หักโค่นลงมา กิ่งต้นไทรจึงสามารถแผ่ปกคลุมบริเวณพื้นที่กว้างได้ ถ้าหากรอบโคนต้นนั้นมีผิวดินที่รากอากาศสามารถลงถึงได้ อย่างเช่นที่ไทรงาม อ.พิมาย จ.นครราชสีมา
 
ด้วยเหตุที่ว่าทั้งต้นโพธิ์และต้นไทรต่างมีกิ่งที่แผ่กว้างให้ร่มเงาจากแสดงแดด ไม่โค่นล้มจากแรงลมพายุได้ง่าย (แต่จะมีกิ่งหักจากปลวกกินหรือเปล่านั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง) โดยเฉพาะต้นไทรมีใบที่ดกหนาตลอดทั้งปี แถมยังมีลูกไม้เป็นอาหารให้กับสัตว์เล็กสัตว์น้อยอีก จึงไม่แปลกที่ต้นโพธิ์และต้นไทรจะเป็นที่พักพิงอาศัยที่สำคัญของสัตว์เล็กสัตว์น้อยเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีคนนำเอาต้นโพธิ์และต้นไทรมาเปรียบเทียบกับผู้ใหญ่ที่เป็นที่พึ่งพิงของผู้น้อยว่าเสมือนเป็น "ร่มโพธิ์ ร่มไทร" 
  
เคยมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า รูปแบบการเผยแพร่ศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์นั้นแตกต่างกัน ในยุคสมัยของการล่าอาณานิคมนั้นก็มีการใช้การเผยแพร่ศาสนาคริสต์เป็นเครื่องบังหน้า ด้วยการใช้ข้ออ้างว่าดินแดนที่ไม่เชื่อเหมือนตนนั้นเป็นดินแดนล้าหลัง ต้องได้รับการจัดการ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นประวัติการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ไปยังดินแดนต่าง ๆ เต็มไปด้วยความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับคนที่ยังยึดถือความเชื่อเดิมของท้องถิ่น แต่มันก็มีข้อดีที่ตรงว่าเมื่อความเชื่อเดิมถูกทำลายไป มันไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับความเชื่อทางศาสนาที่นำเข้ามาทีหลัง
 
ในกรณีของศาสนาพุทธนั้นแตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาพทางบ้านเรา คือถ้าเห็นว่าความเชื่อเดิมนั้นบางส่วนก็ดีอยู่แล้ว สอดคล้องกับความเชื่อในศาสนาพุทธ ก็จะใช้วิธีนำเอาศาสนาพุทธไปวางไว้เหนือความเชื่อเดิม เช่นด้วยการให้ผี สาง นางไม้ เจ้าป่า เจ้าเขา ฯลฯ ในความเชื่อเดิมนั้น ยังต้องให้ความเคารพต่อพระภิกษุผู้ทรงศีล (หรือการให้มีเห้งเจียที่แม้แต่เง็กเซียนฮ่องเต้ยังไม่สามารถปราบได้ ต้องใช้พระยูไล (พระพุทธเจ้าในหลักมหายาน) มาช่วยปราบให้ เพื่อต้องการสื่อให้เห็นว่าพระพุทธเจ้านั้นมีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าเง็กเซียนฮ่องเต้) วิธีการนี้มีข้อดีตรงที่ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงกับท้องถิ่นที่นำศาสนาพุทธเข้าไปเผยแพร่ แต่มันก็ให้เกิดปัญหาด้านความเชื่อในระยะยาวอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ตรงที่แทนที่พระจะสอนให้ฆราวาสให้ความเคารพแก่พระพุทธเจ้าเป็นหลัก แต่กลับสอนให้กราบไหว้โน้นไหว้นี่ที่มันไม่ใช่หลักคำสอนของศาสนาพุทธเพื่อผลประโยชน์จากรายได้เข้าวัด
 
ฆราวาสจะ เชื่อ เคารพ นับถือ กราบไหว้ สิ่งใดก็ตาม หรือสอนต่อ ๆ กันมา ในสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในคำสอนของศาสนาพุทธ แต่ถ้าสิ่งนั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกับศาสนาพุทธ (คือสอนให้คนละกิเลส ทำแต่ความดี ไม่เบียดเบียนกัน) ศาสนาพุทธก็จะไม่เข้าไปแทรกแซง เพียงแต่ตัวพระภิกษุซึ่งโดยหน้าที่นั้นควรที่จะใช้คำสอนโน้มน้าวให้คนเหล่านั้นหันมาให้ความเคารพในคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก แทนการไปหาสิ่งเหล่านั้นมาตั้งในวัด เพื่อให้คนแห่เข้ามากราบไหว้บูชาเพื่อขอโชคลาภ ความมั่งคั่งร่ำรวย แทนที่จะหาความสงบและความเพียงพอ ตามหลักคำสอนของศาสนาพุทธ

รูปที่ ๑ ไทรต้นนี้อยู่หน้าคณะรัฐศาสตร์มานานเท่าใดแล้วก็ไม่รู้ จำได้แต่ว่าไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ เวลาที่เดินผ่านตรงนี้ไปกินข้าวเที่ยง ก็ยังได้อาศัยร่มเงาของต้นไทรต้นนี้ช่วยบดบังแสงแดดจากดวงอาทิตย์ ไม่กี่วันก่อนได้คุยกับคนที่ทำงานอยู่แถวนั้นเขาบอกว่า มีคนมาบอกว่าต้นมันโดนปลวกขึ้น จำเป็นต้องตัดแต่ง แต่เห็นสภาพหลังการตัดแต่งแล้วหลายต่อหลายคนก็รู้สึกว่า ถ้าจะทำกันถึงขนานนี้ ก็ทำไมไม่โคนเสียเลย จะได้ไม่ต้องมาทำการตัดใหม่อีกครั้ง (สงสัยเหมือนกันว่าจะรอดไหมเนี่ย) สองภาพที่เอามาให้ดูในวันนี้ถ่ายเอาไว้เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา

รูปที่ ๒ ต้นไทรต้นนี้อยู่หลังโรงอาหารคณะรัฐศาสตร์เดิมกับตึกนิวเคลียร์ ด้านนี้เป็นด้านทิศตะวันออก เก้าอี้นั่งตัวนี้ตอนบ่าย ๆ จะมีร่มเงาแดดที่ดีมาก แถมเป็นมุมสงบเสียอีก แต่พอมีความจำเป็นที่ต้องมีการย้ายบ้านมาอยู่ที่นี่ (เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้เอง) ผมว่าใครมานั่งก็คงจะรู้สึกเสียวสันหลังอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาเย็น ๆ หรือพลบค่ำ (แต่โดยปรกติก็ไม่เห็นมีใครมานั่งอยู่แล้ว)

ไม่มีความคิดเห็น: