แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทุเรียน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทุเรียน แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ไต้ฝุ่น Gay และเรือ Seacrest MO Memoir : Thursday 2 November 2560

เอกสาร "ภัยธรรมชาติในประเทศไทย" ที่กรมอุตุนิยมวิทยาเผยแพร่ไว้บนหน้าเว็บ กล่าวถึงการเปิดพายุหมุนเขตร้อนเอาไว้ว่า (https://tmd.go.th/info/risk.pdf
  
"พายุหมุนเขตร้อนเริ่มต้นการก่อตัวจากหย่อมความกดอากาศต่ากําลังแรงซึ่งอยู่เหนือผิวน้ำทะเลในบริเวณเขตร้อนและเป็นบริเวณที่กลุ่มเมฆจํานวนมากรวมตัวกันอยู่โดยไม่ปรากฏการหมุนเวียนของลม หย่อมความกดอากาศต่ำกําลังแรงนี้ เมื่ออยู่ในสภาวะที่เอื้ออํานวยก็จะพัฒนาตัวเองต่อไป จนปรากฏระบบหมุนเวียนของลมอย่างชัดเจน
  
พอปรากฏระบบหมุนเวียนของลมอย่างชัดเจน ก็จะเรียกว่าเป็นพายุแล้ว
 
การจำแนกชนิดพายุหมุนเขตร้อน อาศัยความเร็วลมใกล้จุดศูนย์กลางเป็นหลัก กล่าวคือ
 
ความเร็วลมสูงสุดไม่เกิน 33 นอต (17 เมตร/วินาที หรือ 62 กิโลเมตร/ชั่วโมง) เรียกว่าเป็นพายุดีเปรสชั่น (Depression) ชื่อย่อ TD สัญญลักษณ์ D พายุดีเปรสชั่นนี้ยังไม่มีชื่อตั้งให้
 
ความเร็วลมสูงสุดอยู่ในช่วง 34-63 นอต (17-32 เมตร/วินาที หรือ 63-117 กิโลเมตร/ชั่วโมง) เรียกว่าเป็นพายุโซนร้อน (Tropical Storm) ชื่อย่อ TS สัญญลักษณ์ S พอมาถึงขั้นนี้ก็จะมีการกำหนดชื่อให้กับพายุแล้ว
 
ความเร็วลมสูงสุดอยู่ในช่วง 64-129 นอต (17 เมตร/วินาที หรือ 118-239 กิโลเมตร/ชั่วโมง) เรียกว่าเป็นพายุไต้ฝุ่น (Typhoon) ชื่อย่อ TY


รูปที่ ๑ ข้อความส่วนหนึ่งจาก Executive summary เหตุการณ์ที่เกิดกับเรือขุดเจาะ Seacrest ในอ่าวไทย เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (จากเอกสาร INVESTIGATION OF EVENTS SURROUNDING THE CAPSIZE OF THE DRILLSHIP SEACREST จัดทำโดยหน่วยงาน Failure Analysis Associates®, Inc. ให้กับบริษัท Unocal)
 
การเกิดลมหมุนเข้าสู่ศูนย์กลางจำเป็นต้องพึ่งพาแรงโคริออริส (Coriolis force) ดังนั้นบริเวณที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากเกินไปจะไม่เกิดพายุหมุน (เพราะแรงโคริออริสมีค่าน้อย) ด้วยเหตุนี้ ในบริเวณแถบบ้านเราการก่อตัวจนถึงระดับความแรงที่เป็นพายุได้จึงมักเกิดที่ตำแหน่งเส้นรุ้งสูงเกินกว่า 5 องศาเหนือ
  
วัตถุดิบที่สำคัญสำหรับการก่อตัวเป็นพายุคือไอน้ำที่ระเหยขึ้นมาจากพื้นน้ำ ท้องทะเลที่มีอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงและพื้นน้ำที่กว้าง (เช่นในมหาสมุทรเปิด) จะทำให้พายุก่อตัวได้ง่าย เช่นในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ ในบริเวณพื้นทะเลที่แคบกว่านั้น (เช่นในอ่าวไทยหรือในทะเลจีนใต้) การก่อตัวเป็นพายุขนาดใหญ่ที่มีกำลังแรงนั้นมีโอกาสเกิดได้น้อย แต่ใช่ว่าจะไม่มีซะทีเดียว และพายุลูกหนึ่งที่มีกำลังแรงระดับไต้ฝุ่น ที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในอ่าวไทยคือพายุไต้ฝุ่นเกย์ (Gay) ที่ก่อตัวขึ้นในอ่าวไทยในระหว่างวันที่ ๓ และ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๒ ก่อนขึ้นฝั่งที่บริเวณจังหวัดชุมพร-ประจวบคีรีขันธ์ และข้ามต่อไปยังมหาสมุทรอินเดียก่อนที่จะทวีกำลังแรงขึ้นอีกครั้งและไปสิ้นสุดเมื่อขึ้นฝั่งที่ประเทศอินเดีย


รูปที่ ๒ ตำแหน่งร่องความกดอากาศต่ำ ทิศทางมรสุม และทางเดินพายุหมุนเขตร้อน ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของรอบปี จากเอกสาร "ภัยธรรมชาติในประเทศไทย" จัดทำโดยกรมอุตุนิยมวิทยา

รูปที่ ๓ เส้นทางการเคลื่อนที่ของพายุ Gay (จากขวามาซ้าย) และกำลังของพายุตั้งแต่เริ่มก่อตัวเป็นหย่อมความกดอาศต่ำ (สีน้ำเงิน) ทางใต้แหลมญวน จนเป็นพายุดีเปรสชั่น (สีเขียว) พายุโซนร้อน (สีเหลือง) และพายุไต้ฝุ่น (สีแดง) ก่อนขึ้นฝั่งบริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดชุมพรและประจวบคีรีขันธ์ (ภาพจาก http://agora.ex.nii.ac.jp/digital-typhoon/)


รูปที่ ๔ กราฟการเปลี่ยนแปลงความกดอากาศ (หน่วย hPa) ณ เวลาต่าง ๆ ค่าความกดอากาศยิ่งต่ำ ความเร็วลมยิ่งสูง (ภาพจาก http://agora.ex.nii.ac.jp/digital-typhoon/) จะเห็นว่าพายุลูกนี้เพิ่มกำลังจากพายุดีเปรสชั่น (จุดสีเขียว) ถึงระดับไต้ฝุ่น (จุดสีแดง) ได้ในเวลาไม่ถึง ๑ วัน

Gay เป็นพายุที่มีการทวีกำลังขึ้นอย่างรวดเร็ว เรียกว่าภายในเวลาไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมงสามารถเปลี่ยนตัวเองจากพายุดีเปรสชั่นที่เพิ่งจะก่อตัวได้เพียง ๑ วันกลายเป็นพายุไต้ฝุ่น และบังเอิญว่าบริเวณที่ทวีกำลังแรงขึ้นนั้น มีเรือขุดเจาะน้ำมันชื่อ Seacrest กำลังปฏิบัติหน้าที่ขุดเจาะน้ำมันอยู่ใกล้เคียงกับแนวทางการเคลื่อนที่ของศูนย์กลางของพายุ

รูปที่ ๕ ภาพถ่ายดาวเทียมพายุไต้ฝุ่น Gay ขณะมีกำลังแรงสูงสุดก่อนเคลื่อนขึ้นฝั่งทางใต้ของประเทศไทย (ภาพจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Typhoon_Gay_(1989))

อ่าวไทยไม่ได้มีบริเวณพื้นน้ำที่กว้างใหญ่ การที่หย่อมความกดอากาศต่ำที่อยู่ในอ่าวไทยจะเพิ่มกำลังจนถึงระดับพายุไต้ฝุ่นได้นั้น จะเรียกว่าเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงก็ได้ แถมยังทวีกำลังขึ้นอย่างรวดเร็ว การทวีกำลังของพายุดีเปรสชั่นเป็นพายุโซนร้อน Gay ในวันศุกร์ที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และทวีกำลังแรงเป็นระดับไต้ฝุ่นในวันเดียวกันนั้นเอง ทำให้ผู้ที่ปฏิบัติงานบนเรือ Seacrest ไม่ทันตั้งตัว ประกอบกับตำแหน่งที่อยู่ของเรือนั้นอยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางของพายุและอยู่ในแนวทางเดินของจุดศูนย์กลาง ทำให้เรือพลิกคว่ำอย่างรวดเร็ว แบบที่เรียกได้ว่าลูกเรือไม่ทันที่จะได้หนี ในบรรดาลูกเรือทั้งหมด ๙๗ คนในเวลานั้น มีรอดชีวิตมาได้เพียง ๖ คน (หลังจากลอยคออยู่กลางทะเลท่ามกลางพายุเป็นเวลาหลายวัน เพราะความรุนแรงของพายุทำให้หน่วยกู้ภัยไม่สามารถออกไปช่วยเหลือได้

รูปที่ ๖ พ้นจากประเทศไทยแล้ว พายุ Gay พอเคลื่อนเข้าสู่ทะเลอันดามันและมหาสมุทรอินเดียก็ทวีกำลังแรงขึ้นใหม่ ก่อนเคลื่อนเข้าสู่ฝั่งตะวันออกของประเทศอินเดีย) (ภาพจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Typhoon_Gay_(1989))


รูปที่ ๗ เส้นทางเดินของพายุ Harriet ที่ขึ้นฝั่งที่ฝั่งประเทศไทยที่แหลมตะลุมพุก จ. นครศรีธรรมราช ในวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ (ภาพจาก https://en.wikipedia.org/wiki/1962_Pacific_typhoon_season)

ช่วงปลายเดือนตุลาคม หย่อมความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะทวีกำลังแรงและเคลื่อนเข้าปกคลุมประเทศไทยตอนบน และยังแผ่ออกไปทางตะวันออกทางด้านทะเลจีนใต้ด้วย ลักษณะเช่นนี้ทำให้พายุที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกที่สามารถเคลื่อนผ่านประเทศฟิลิปปินส์เข้าสู่ทะเลจีนใต้ได้นั้น แทนที่จะเคลื่อนที่ขึ้นเหนือเข้าสู่เวียดนามตอนบนหรือจีนตอนใต้ดังเช่นช่วงเวลาก่อนหน้า กลับถูกกดให้เคลื่อนต่ำลงล่าง ซึ่งถ้าเคลื่อนขึ้นฝั่งที่ประเทศเวียดนามตอนใต้ ก็มักจะอ่อนกำลังลงเมื่อเคลื่อนเข้าสู่ประเทศกัมพูชา แต่ก็มีเหมือนกันที่หย่อมความกดอากาศสูงนั้นกดพายุให้เคลื่อนต่ำลงมาก จนสามารถอ้อมใต้แหลมญวนได้ กล่าวคือแทบจะเคลื่อนที่อยู่ในทะเลตลอดเวลา ถ้าเป็นเช่นนี้จะทำให้พายุสามารถรักษาความแรงเอาไว้ได้ (เพราะได้ความชื้นจากทะเลหล่อเลี้ยงเอาไว้) และพายุลูกหนึ่งที่มีรูปแบบการเคลื่อนที่แบบนี้คือพายุโซนร้อน Harriet ที่เคลื่อนที่ขึ้นฝั่งประเทศไทยที่แหลมตะลุมพุก จ. นครศรีธรรมราช ในวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ (รูปที่ ๗)
 
พายุอีกลูกหนึ่งที่มีลักษณะการเคลื่อนที่รูปแบบเช่นนี้ได้แก่พายุทุเรียน (Durian) แต่ด้วยการที่แนวทางของพายุนั้นมีการพาดผ่านแหลมญวน ทำให้พายุมีการอ่อนกำลังลงก่อนเคลื่อนเข้าสู่อ่าวไทยในรูปของหย่อมความกดอากาศต่ำ และไม่ได้มีการทวีกำลังแรงขึ้นเป็นระดับพายุอีกเมื่อเคลื่อนที่ขึ้นฝั่งทางภาคใต้ของประเทศไทย (รูปที่ ๘)


รูปที่ ๘ เส้นทางการเคลื่อนที่ของพายุไต้ฝุ่นทุเรียน ที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิก แต่โดนความกดอากาศสูงจากประเทศจีนกดให้เคลื่อนที่ต่ำลงล่าง จนสามารถอ้อมผ่านแหลมญวนได้ ก่อนเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยช่วงต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ (ภาพจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Typhoon_Durian)

รายละเอียดการสอบสวนเหตุที่เกิดกับเรือ Seacrest หาอ่านได้ทางอินเทอร์เน็ตจากรายงานที่มีชื่อว่า "INVESTIGATION OF EVENTS SURROUNDING THE CAPSIZE OF THE DRILLSHIP SEACREST" ที่จัดทำโดยหน่วยงาน Failure Analysis Associates®, Inc. เพื่อรายงานให้กับบริษัท Unocal (ถ้าสนใจก็ลองค้นโดยใช้ google ดูก็แล้วกัน)
 
พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันครบรอบ ๒๘ ปีของการเกิดเหตุการณ์หายนะดังกล่าวในอ่าวไทย เรียกว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมขุดเจาะปิโตรเลียมของบ้านเราก็ได้

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

แก๊สมัสตาร์ดกับกลิ่นทุเรียน MO Memoir : Friday 7 November 255

คลอรีน (Chlorine - Cl2) เป็นผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งที่ได้จากกระบวนการผลิตโซดาไฟ (Caustic soda หรือสารละลาย NaOH) จากกระแยกสารละลายเกลือแกง (NaCl) ด้วยไฟฟ้า โดยตัวสารละลาย NaCl จะกลายเป็นสารละลาย NaOH และเกิดแก๊สไฮโดรเจน (H2) และแก๊สคลอรีน
  
แก๊สไฮโดรเจนและคลอรีนที่เกิดขึ้นนั้น ทางโรงงานอาจขายในรูปของแก๊สบริสุทธิ์แต่ละชนิดโดยตรง หรือนำมาเผาเข้าด้วยกันเพื่อผลิตเป็นกรดเกลือ (Hydrochloric acid - HCl) สารเคมีตัวหนึ่งที่ใช้กรดเกลือความเข้มข้นสูงเป็นส่วนประกอบที่ใช้กันทั่วไปตามบ้านเรือนคือน้ำยาล้างห้องน้ำ (พวกสูตรกัดคราบหินปูนทั้งหลาย เพราะหินปูนมันเป็นเบส เพราะเจอกรดมันก็เลยละลาย) อุตสาหกรรมหนึ่งที่มีการใช้แก๊สไฮโดรเจนมากเห็นจะได้แก่อุตสาหกรรมเหล็กกล้าที่มีการใช้แก๊สไฮโดรเจนในกระบวนการ annealing (แปลเป็นไทยว่า "อบอ่อน" หรือ "อบคลายตัว") เหล็กกล้าหลังผ่านกระบวนการขึ้นรูป (เช่นการรีดเย็น) เพื่อลดความแข็งของชิ้นงาน ทั้งนี้ก็เพราะแก๊สไฮโดรเจนไม่ไปออกซิไดซ์ผิวเหล็กที่อุณหภูมิสูงและยังเป็นตัวนำความร้อนที่ดีกว่าแก๊สอื่นด้วย อุตสาหกรรมกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีก็มีการใช้แก๊สไฮโดรเจนกันเยอะมาก แต่ไฮโดรเจนที่ใช้นั้นมักจะมาจากกระบวนการที่เกิดจากการแตกตัวของไฮโดรคาร์บอนซะเป็นส่วนใหญ่
 
คลอรีนนั้นเป็นแก๊สที่มีความเป็นพิษสูง อุตสาหกรรมหนึ่งที่ใช้แก๊สคลอรีนจำนวนมากเห็นจะได้แก่การผลิตไวนิลคลอไรด์ที่เป็นสารตั้งต้นในการผลิตพลาสติกพีวีซี (PVC) (ดู Memoir ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๘๖๗ วันศุกร์ที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๗ เรื่อง "ปฏิกิริยาการผลิตVinylchloride") ซึ่งก็มักจะผลิตแก๊สคลอรีนกันที่โรงงานดังกล่าวและนำไปใช้เลยโดยส่งผ่านระบบท่อ ไม่จำเป็นต้องมีการใช้รถขนจากโรงงานหนึ่งไปยังอีกโรงงานหนึ่ง ส่วนหนึ่งของคลอรีนที่เกิดขึ้นในโรงงานผลิตโซดาไฟจึงถูกเปลี่ยนไปเป็นสารละลายโซเดียมไฮโปคลอไรต์ (sodium hypochlorite - NaOCl) ที่ใช้เป็นน้ำยาฟอกสีหรือซักผ้าขาว และคลอรีนส่วนที่เหลือจะขายในรูปของแก๊สบรรจุในถังความดัน (ซึ่งทำให้คลอรีนกลายเป็นของเหลวได้ที่อุณหภูมิห้อง) โดยมีลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งที่รับซื้อก็คือผู้ผลิตน้ำประปา นอกนั้นก็อาจมีบ้างตามสระว่ายน้ำ (แต่มันจะทำให้วุ่นวายมากเพราะคลอรีนถูกจัดให้เป็นอาวุธเคมี ใครจะมีไว้ในครอบครองต้องได้รับอนุญาตจากกระทรวงกลาโหมก่อน)


รูปที่ ๑ ปฏิกิริยาการผลิตแก๊สคลอรีนและปฏิกิริยาที่เกิดเมื่อแก๊สคลอรีนละลายน้ำ

เมื่อคลอรีนละลายน้ำจะกลายเป็นสารละลายกรดเกลือ (Hydrochloric acid - HCl) และกรดไฮโปคลอรัส (Hypochlorous acid - HOCl) (ดูรูปที่ ๑) และกรดไฮโปคลอรัสตัวนี้ที่เป็นตัวทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคในน้ำ ในอุตสาหกรรมนั้นมีการใช้กรดไฮโปคลอรัสในการผลิตสารประกอบที่เรียกว่าคลอโรไฮดริน (chlorohydrin) ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีอะตอม -Cl หรือหมู่ -OH เกาะอยู่บนอะตอม C สองอะตอมที่อยู่เคียงข้างกัน
  
ตัวอย่างหนึ่งของสารประกอบคลอโรไฮดรินได้แก่เอทิลีนคลอโรไฮดริน (ethylene chlorohydrin) หรือ 2-คลอโรเอทานอล (2-chloroethanol - Cl-CH2-CH2-OH) ที่เตรียมได้จากปฏิกิริยาระหว่างเอทิลีน (ethylene - H2C=CH2) กับกรดไฮโปคลอรัสดังรูปที่ ๒ ข้างล่าง


รูปที่ ๒ ปฏิกิริยาการเตรียม 2-Chloroethanol

- ปฏิกิริยา nucleophilic displacement ของสารประกอบอัลคิลเฮไลด์ (alkyl halide)

อะตอมเฮไลด์ (X) ที่มาเกาะกับอะตอมคาร์บอน (C) ทำให้อะตอม C ตัวนั้นมีความเป็นขั้วบวก ดังนั้นถ้าหากมีนิวคลีโอไฟด์ (nucleophile - Nu:) ที่สามารถจ่ายอิเล็กตรอนเพื่อสร้างพันธะกับอะตอมท C ที่เป็นขั้วบวกนี้ได้ดีกว่าอะตอม X นิวคลีโอไฟด์ตัวนั้นก็จะเข้าแทนที่อะตอม X นั้นได้ (แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวทำละลายที่ใช้ด้วย) รายละเอียดเพิ่มเติมตรงนี้หาอ่านได้ในตำราเคมีอินทรีย์ทั่วไป


รูปที่ ๓ ปฏิกิริยาการเตรียม Thiodiglycol

ถ้านำ 2-คลอโรเอทานอล (ถ้าจะค้นเอกสารเก่า ๆ ใช้ชื่อเอทิลีนคลอโรไฮดรินจะดีกว่า) มาทำปฏิกิริยากับโซเดียมซัลไฟด์ (Na2S) หรือโพแตสเซียมซัลไฟด์ (K2S) อะตอม Cl จะหลุดออกและถูกแทนที่ด้วยอะตอม S กลายเป็นสารประกอบไธโอไดไกลคอล (Thiodiglycol - HO-CH2CH2-S-CH2CH2-OH) ที่มีทั้งโครงสร้างแบบไธโออีเทอร์ (thioether - R-S-R') และหมู่ไฮดรอกซิลในโมเลกุลเดียวกัน
  
อีกเส้นทางหนึ่งที่สามารถใช้ในการผลิต Thiodiglycol ก็คือปฏิกิริยาระหว่างเอทิลีนออกไซด์ (ethylene oxide - C2H4O) กับไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) ในอดีตนั้นเอทิลีนออกไซด์ผลิตจากเอทิลีนคลอโรไฮดริน (ดึงเอา HCl ออก) แต่ในปัจจุบันจะผลิตเอทิลีนออกไซด์จากปฏิกิริยาระหว่างเอทิลีนกับออกซิเจนโดยตรง
  
แล้ว Thiodiglycol ใช้ทำอะไรได้เหรอ หัวข้อ 1.4 ในรูปที่ ๔ ในหน้าถัดไปได้ยกตัวอย่างมาให้เห็นแล้ว
  
รูปที่ ๔ นั้นผมนำมาจากหน้า ๑๗ ของเอกสาร "Autralia Group Common Control List Handbook. Volume I : Chemical Weapons-Related Common Control Lists" ซึ่งเป็นเอกสารรวบรวมรายการสารเคมีและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ที่สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทั่วไปหรือใช้ในทางทหารเพื่อผลิตอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง (ที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Weapon of Mass Destruction หรือที่ย่อว่า WMD) ในรายชื่อสารเคมีที่เป็นที่ต้องจับตามมองนั้นปรากฏว่า Thiodiglycol เป็นชื่อแรกที่ปรากฏในรายการ Export Control List: Chemical Weapon Precursors ทั้งนี้ก็เพราะมันสามารถนำไปใช้ผลิตเป็นอาวุธเคมีที่เรียกว่า "Mustard gas" หรือ "Sulfur mustard" ได้

รูปที่ ๔ จากหน้า ๑๗ ของเอกสาร "Autralia Group Common Control List Handbook. Volume I : Chemical Weapons-Related Common Control Lists" Thiodiglycol เป็นชื่อแรกที่ปรากฏในรายการ Export Control List: Chemical Weapon Precursors

ในตำราเคมีอินทรีย์ทั่วไปก็บอกวิธีการที่จะเปลี่ยนหมู่ -OH ให้กลายเป็นอะตอมเฮไลด์ต่าง ๆ ซึ่งเคยนำมาเล่าไว้แล้วใน Memoir ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๘๗๗ วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๗ เรื่อง "ไตรเอทานอลเอมีน(Triethanolamine)" และในกรณีของไธโอไดไกลคอลก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราเปลี่ยนหมู่ -OH ทั้งสองหมู่ให้กลายเป็นอะตอม -Cl เราก็จะได้แก๊สมัสตาร์ดที่เคยนำมาใช้เป็นอาวุธเคมีครั้งแรกในสงครามโลกครั้งที่ ๑ 
 
รูปที่ ๕ ปฏิกิริยาการเตรียมแก๊สมัสตาร์ด (หรือ Sulfur mustard) ที่ใช้เป็นอาวุธเคมี

เนื้อหาส่วนใหญ่นั้นผมเรียบเรียงมาจาก Wikipedia ที่เขียนกระจายไว้ตามเรื่องต่าง ๆ แต่ถ้าอยากรู้ว่ากระบวนการผลิตจริงในอุตสาหกรรมนั้นทำได้อย่างไรก็ขอให้ลองไปอ่านจากตัวอย่างสิทธิบัตรที่บางฉบับที่ยกมา ซึ่งสามารถค้นได้โดยใช้ google ช่วย และตามอ่านไปยังสิทธิบัตรอื่นที่เกี่ยวข้องได้

ไดเอทิลไธโออีเทอร์ (Diethylthioether - H3CCH2-S-CH2-CH3) ต่างจากไธโอไดไกลคอลเพียงแค่เปลี่ยนจากหมู่ -OH เป็นอะตอม -H เท่านั้น ไดเอทิลไธโออีเทอร์เป็นหนึ่งของสารประกอบที่ทำให้เกิดกลิ่นของทุเรียน (รูปที่ ๖)

คนฝรั่งส่วนมากไม่ชอบกลิ่นทุเรียน แต่กลิ่นทุเรียนก็ไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย ไม่เหมือนกับแก๊สน้ำตา ถ้าหากสามารถสังเคราะห์กลิ่นทุเรียนที่มีกลิ่นแรงมากได้ ก็อาจจะนำไปใช้เป็นสารในการควบคุมฝูงชนได้ ซึ่งคงใช้ได้กับฝรั่ง แต่คงใช้ไม่ค่อยได้ผลกับคนไทยและคนทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


 
รูปที่ ๖ รูปบนคือบทคัดย่อบทความ ส่วนรูปร่าง (Table 1) คือผลการวิเคราะห์สารประกอบที่ทำให้เกิดกลิ่นในทุเรียน

แหล่งที่มาข้อมูลประกอบการเขียน
  
- สิทธิบัตรการผลิตกรดไฮโปคลอรัส
US 2240344 Preparation of hypochlorous acid
US 4504456 Process and apparatuss for the manufacture of HClO
US 5322677 Process for producing concentrated HClO solutions
US 6048513A Method for synthesis of hypohalous acid
 
- สิทธิบัตรการผลิตเอทิลีนคลอโรไฮดริน
US 1456959 Process for making chlorohydrin
US 2566355 Process of preparation of olefin chlorohydrin
US 2265793 Preparation of chlorohydrins
US 2769845 Production of olefin chlohydrins

- สิทธิบัตรการผลิตไธโอไดไกลคอล
US 2278090 Methof of thiodiglycol production

อื่น ๆ

วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เมื่อทุเรียนต้องหลีกทางให้มังคุด MO Memoir : Friday 9 August 2556

การเกิดพายุฝนนั้นจะเริ่มจากการเกิดหย่อมความกดอากาศต่ำก่อน และเมื่อพายุฝนนั้นเริ่มก่อตัวเป็นพายุหมุนก็จะเรียกว่าพายุดีเปรสชั่น (depression) และเมื่อความเร็วลมที่ศูนย์กลางของพายุดีเปรสชั่นนี้สูงถึง 63 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (หรือ ๓๔ นอต) ก็จะเรียกว่าพายุโซนร้อน (tropical storm) และจะมีการกำหนดชื่อเรียกให้กับพายุดังกล่าว และจะใช้ชื่อดังกล่าวไปจนกว่าพายุนั้นจะสลายตัว และถ้าพายุโซนร้อนนี้ทวีกำลังแรงขึ้นอีกจนมีความเร็วลมที่ศูนย์กลางตั้งแต่ 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (หรือ ๖๔ นอต) ขึ้นไปก็จะจัดให้เป็นพายุไต้ฝุ่น (typhoon)

เดิมทีนั้นการตั้งชื่อพายุที่เกิดในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันตกซีกเหนือ (ระหว่างเส้นแวงที่ 100 ถึง 180 องศาตะวันออกและอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร) จะใช้ชื่อที่กำหนดโดยหน่วยงานของสหรัฐอเมริกา และชื่อดังกล่าวจะเป็นชื่อ "ผู้หญิง" ทั้งหมด (คือเขามองว่าพายุนั้นเปรียบเสมือนอารมณ์ของผู้หญิง คือมีความแปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ และคาดเดาไม่ได้) จนกระทั่งเดือนเมษายนปีค.ศ. ๑๙๗๙ (พ.ศ. ๒๕๒๒) จึงได้มีการปรับปรุงชื่อใหม่โดยมีการรวมเอาชื่อผู้ชายเข้าไปด้วย แต่ถึงกระนั้นชื่อทั้งหมดนั้นก็ยังคงเป็นชื่อแบบภาษาอังกฤษอยู่ดี

จนกระทั่งปีค.ศ. ๒๐๐๐ (พ.ศ. ๒๕๔๓) จึงได้มีการปรับปรุงใหม่อีกครั้ง โดย ๑๔ ประเทศและดินแดนในย่านแปซิฟิกตะวันตกตอนเหนือได้ทำการตั้งชื่อพายุ โดยนำรายชื่อประเทศและดินแดนมาเรียงตามลำดับอักษรภาษาอังกฤษ และให้แต่ละประเทศเสนอชื่อพายุได้ประเทศละ ๑๐ ชื่อ รวมทั้งสิ้น ๑๔๐ ชื่อนำมาจัดหมวดหมู่เป็น ๕ ชุด และจะใช้ชื่อดังกล่าวไล่ตามลำดับไปเรื่อย ๆ จนครบ ๑๔๐ ชื่อและก็จะกลับมาเริ่มต้นวนใหม่ (รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้จากลิงค์ตอนท้าย)

ชื่อพายุที่ตั้งขึ้นแล้วนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามกติกาที่มีการกำหนดเอาไว้คือ "หากพายุลูกใดมีความรุนแรงและสร้างความหายนะมากเป็นพิเศษ ก็ให้ปลดชื่อพายุลูกนั้นไป แล้วตั้งชื่อใหม่เข้าไปในรายการชื่อแทน"

ชื่อพายุที่ตั้งโดยประเทศไทยนั้นประกอบด้วย พระพิรุณ ทุเรียน วิภา รามสูร เมขลา อัสนี นิดา ชบา กุหลาบ และขนุน

ในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายนปีพ.ศ. ๒๕๔๙ (ค.ศ. ๒๐๐๖) พายุโซนร้อนลูกที่ ๒๑ ของปีได้ก่อตัวขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิก พายุลูกนี้มีเลขรหัสว่า 200321 หรือชื่อ "ทุเรียน (Durina)" ในอีก ๓ วันถัดมาพายุโซนร้อนทุเรียนได้ทวีกำลังแรงเป็นพายุไต้ฝุ่นที่มีความเร็วลมที่ศูนย์กลางสูงสุดถึงประมาณ ๑๙๕ กิโลเมตรต่อชั่วโมงก่อนขึ้นฝั่งทางภาคตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ ตลอดระยะทางตั้งแต่ก่อนขึ้นฝั่งทางภาคตะวันออกของฟิลิปปินส์ไปจนถึงก่อนโฉบไปบริเวณทางตอนใต้ของแหลมญวน พายุทุเรียนยังคงกำลังแรงในระดับพายุไต้ฝุ่น จากนั้นจึงอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนและพายุดีเปรสชั่นก่อนเคลื่อนตัวเข้าอ่าวไทย และอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงเคลื่อนที่ขึ้นบนทางภาคใต้ของประเทศไทยบริเวณจังหวัดชุมพรและสุราษฎร์ธานี และข้ามฟากผ่านจังหวัดระนองลงสู่ทะเลอันดามัน และไปสลายตัวในมหาสมุทรอินเดียก่อนจะถึงฝั่งตะวันออกของประเทศอินเดีย (ดูรูปที่ ๑ และ ๒)
พายุทุเรียนทำความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ทำให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายเกือบสองพันคน การประชุมที่จัดขึ้นที่กรุงมะนิลาประเทศฟิลิปปินส์ในปีค.ศ. ๒๐๐๖ (พ.ศ. ๒๕๔๙) จึงได้มีการเสนอให้ถอดถอนชื่อ "ทุเรียน" ออกจากรายชื่อพายุตามกติกาที่ได้มีการกำหนดไว้ล่วงหน้า และประเทศไทยได้มีการเสนอชื่อ "มังคุด - Mangkhut" แทนในการประชุมในเดือนธันวาคมปีค.ศ. ๒๐๐๗ (พ.ศ. ๒๕๕๐)

รูปที่ ๑ เส้นทางและการพัฒนาการของพายุทุเรียน (200621 - Durian) (จาก www.digital-typhoon.org)

รูปที่ ๒ เส้นทางการเดินทางของพายุทุเรียนจากมหาสมุทรแปซิฟิกไปจนถึงชายฝั่งตะวันออกของอินเดีย (ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/File:Durian_2006_track.png)

ในบรรดารายชื่อพายุทั้งหมด ๑๔๐ ชื่อนั้น กว่าจะวนกลับมาถึงชื่อ "มังคุด" อีกครั้งก็ต้องรอเวลาอีก ๗ ปี
และแล้วในวันอังคารที่ ๖ สิงหาคมปีพ.ศ.. ๒๕๕๖ (ค.ศ. ๒๐๑๓) พายุดีเปรสชั่นในทะเลจีนใต้ก็ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโชนร้อนลูกที่ ๑๐ ของปี และได้รับการขนานนามว่าเป็นพายุเลขที่ 201310 ชื่อ "มังคุด - Mangkhut" โดยมีความเร็วลมที่บริเวณศูนย์กลางพายุสูงสุดประมาณ ๗๕ กิโลเมตรต่อชั่วโมง (หรือประมาณ ๔๐ นอต) พายุลูกนี้มีอายุสั้นประมาณ ๑ วันก่อนขึ้นฝั่งทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามและสลายตัวกลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทางภาคเหนือของประเทศไทยในวันพฤหัสบดีที่ ๘ สิงหาคมพ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา (เมื่อวานนี้เอง - ดูรูปที่ ๓)

รูปที่ 3 เส้นทางและการพัฒนาการของพายุมังคุด (201310 - Mangkhut) (จาก www.digital-typhoon.org)

ทุเรียนเป็นผลไม้ร้อน มังคุดเป็นผลไม้เย็น ทั้งทุเรียนและมังคุดต่างออกสู่ท้องตลาดในเวลาเดียวกัน ใครกินทุเรียนเยอะ ๆ ก็จะรู้สึกร้อน วิธีแก้คือให้กินมังคุดร่วมกับทุเรียน แต่เวลากินมังคุดเยอะ ๆ กลับไม่รู้สึกเย็น ไม่เห็นต้องกินทุเรียนเข้าไปแก้ คนตั้งชื่อพายุคงจะใช้เหตุผลนี้ พอพายุทุเรียนก่อความเสียหายมากต้องการชื่อใหม่ ก็เลยเสนอชื่อมังคุดเข้าไปแทน นี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าหากบังเอิญพายุมังคุดลูกต่อไปในอนาคตก่อความเสียหายรุนแรงจนต้องถูกถอดชื่อออก จะเสนอผลไม้อะไรเข้าไปแทน

แหล่งที่มาข้อมูล
http://www.digital-typhoon.org
http://en.wikipedia.org/wiki/Tropical_cyclone_naming
http://www.tmd.go.th/info/info.php?FileID=28
http://th.wikipedia.org/wiki/การตั้งชื่อพายุหมุนเขตร้อน
http://en.wikipedia.org/wiki/Typhoon_Durian