วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2568

สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items : DUI) ตอนที่ ๑๑ MO Memoir : Wednesday 20 August 2568

ในด้านเทคนิคแล้วการพิจารณาว่าสินค้าใดเป็นสินค้าที่ใช้ได้สองทาง (DUI) หรือไม่ ก็จะอาศัยคุณลักษณะที่กำหนดไว้ใน EU List เป็นหลัก แต่ใน EU List เองก็มี General Notes to Annex I (รูปที่ ๑) ที่ใช้สำหรับควบคุมการส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่สินค้า DUI แต่เป็นสินค้าที่มีชิ้นส่วนหรือองค์ประกอบที่เป็นสินค้า DUI ประกอบอยู่ ซึ่งตรงประเด็นนี้ก็เปิดโอกาสให้แต่ละประเทศตีความกันเองได้ว่า สินค้าที่ไม่ใช่สินค้า DUI นั้นถูกครอบคลุมไว้ด้วย EU List หรือไม่ เพราะข้อกำหนดนี้มันเขียนเอาไว้กว้าง ๆ

(มันยังมีสินค้าอีกประเภทหนึ่งที่ไม่อยู่ใน EU List ทำให้มันไม่ถูกครอบคลุมด้วย General Notes to Annex I แต่ว่าแต่ละประเทศนั้นอาจจัดให้เป็นสินค้าควบคุมได้ด้วยการจัดมันเอาไว้ในรายชื่อ Catch All Control (CAC) ซึ่งเคยยกตัวอย่างสินค้าสองตัวนี้ไว้ในเรื่อง "สินค้าที่ไม่ใช่ DUI ที่เป็นสินค้า DUI - ไตรบิวทิลฟอสเฟต (Tributyl phosphate) MO Memoir : Wedneday 26 February 2568" และ "สินค้าที่ไม่ใช่ DUI ที่เป็นสินค้า DUI - Karl Fischer moisture equipment MO Memoir : Tuesday 4 March 2568")

รูปที่ ๑ ข้อความฉบับภาษาอังกฤษที่ปรากฏใน General Notes to Annex I และฉบับแปลเป็นไทย

จุดที่ต้องตีความก็คือสินค้า DUI ที่เป็นชิ้นส่วนของสินค้าที่ไม่ใช่ DUI นั้น "เป็นองค์ประกอบหลัก" ของของสินค้าที่ไม่ใช่ DUI นั้นหรือไม่ โดยให้พิจารณาจาก "ปริมาณ", "มูลค่า", "เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง" และสภาพการณ์พิเศษอื่น ๆ และยังพิจารณาต่อด้วยว่า สามารถถอดสินค้า DUI ชิ้นนั้นเอาไปทำอย่างอื่นได้หรือไม่

ที่มีเงื่อนไขตรงนี้ก็คงเพราะต้องการป้องกันไม่ให้ส่งออกสินค้า DUI ในรูปสินค้าที่ไม่ใช่ DUI ที่มีสินค้า DUI เป็นองค์ประกอบ พอส่งออกไปถึงปลายทางแล้วทางผู้รับก็สามารถนำเอาสินค้า DUI นั้นไปใช้ทำอย่างอื่น ที่เหลือก็ทิ้งไป

มุมมองตรงนี้อาจมาจากตรงที่ว่า ในเมื่อการส่งออกสินค้า DUI โดยตรงไปให้ผู้ที่ต้องการทำได้ยาก ก็เลยเลี่ยงด้วยการส่งออกในรูปสินค้าที่ไม่ใช่ DUI แทน ดังนั้นราคาสินค้าที่ไม่ใช่ DUI ที่ส่งออกไปก็ควรจะต้องสูงกว่าราคาสินค้า DUI ที่ต้องการส่งออก ถ้าชิ้นส่วนที่เป็น DUI นั้นเป็นองค์ประกอบหลักของสินค้าที่ไม่ใช่ DUI ที่ต้องการส่งออก สัดส่วนมูลค่าของชิ้นส่วน DUI นั้นเมื่อเทียบกับมูลค่าของสินค้าที่ไม่ใช่ DUI ที่ต้องการส่งออกก็จะสูง ทำให้ผู้ซื้อเห็นว่าคุ้มค่าที่จะจ่ายเพิ่มอีกนิดเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการได้ง่ายขึ้น

ในทางตรงกันข้ามถ้าสัดส่วนมูลค่าของชิ้นส่วน DUI นั้นเมื่อเทียบกับมูลค่าของสินค้าที่ไม่ใช่ DUI ที่ต้องการส่งออกนั้นต่ำ ผู้ซื้อก็อาจเห็นว่าไม่คุ้มค่าที่จะต้องจ่ายเพิ่มอีกมากเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ

ประเด็นแรกที่น่าสนใจก็คือ แม้ว่าสัดส่วนมูลค่าของชิ้นส่วนที่เป็นสินค้า DUI ในสินค้าที่ไม่ใช่ DUI นั้นต่ำ แต่สามารถถอดเอาชิ้นส่วนที่เป็นสินค้า DUI นั้นไปใช้งานอื่นได้ และนำชิ้นส่วนที่ไม่เป็นสินค้า DUI มาใส่ทดแทนชิ้นส่วนสินค้าที่เป็น DUI เพื่อให้สินค้าที่ไม่เป็น DUI ที่ซื้อมานั้นยังสามารถทำงานต่อได้หรือขายต่อได้ คือเรียกว่าการใช้ชิ้นส่วนที่เป็น DUI ในสินค้าที่ไม่ใช่ DUI นั้นเป็นการใช้งานชิ้นส่วนที่มัน over specification เกินความจำเป็นสำหรับการทำงานของสินค้าที่ไม่เป็น DUI ในกรณีเช่นนี้จะตรวจสอบได้อย่างไร

ประเด็นที่สองที่น่าสนใจคือการถอดออกไปใช้งานอื่น กล่าวคือด้วยความเทคโนโลยีและความรู้ที่ผู้ส่งออกมีอยู่ในขณะนั้น เห็นว่าการพยายามถอดชิ้นส่วนที่เป็น DUI ออกนั้นไม่สามารถทำได้ หรือถ้าทำก็จะเกิดความเสียหายต่อชิ้นส่วนที่เป็น DUI นั้นจนไม่สามารถนำไปใช้งานอื่นได้ แต่ถ้าส่งออกไปแล้วกลับพบว่าเทคโนโลยีมีการพัฒนาขึ้น หรือมีวิธีการที่ในขณะที่ส่งออกสินค้านั้นยังไม่มีการเปิดเผยหรือเป็นที่รับรู้กัน ทำให้สามารถถอดเอาชิ้นส่วนที่เป็น DUI นั้นออกไปได้โดยไม่ได้รับความเสียหาย จะเกิดปัญหาอะไรกับผู้ส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่ DUI นั้นที่ได้ส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่ DUI นั้นออกไปแล้วหรือไม่

ตัวอย่างหลังสุดนี้น่าจะคล้ายกับกรณีเครื่องเล่นเกมส์ Sony Playstation 3 (แต่เป็นกรณีที่กลับกัน) ที่คุณสมบัติของแต่ละเครื่องนั้นมันห่างไกลจากข้อกำหนดใน EU List อยู่มาก แต่เมื่อจำหน่ายไปแล้วกลับพบว่าสามารถนำหลายเครื่องมาต่อกันทำให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีคุณสมบัติตาม EU List ได้ (เคยเล่าไว้ในเรื่อง "การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๑๕ Sony PlayStation MO Memoir : Wednesday 16 August 2566")

สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้มาจากการทำงานก็คือ ปลายทางที่จะตัดสินว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นมันถูกหรือผิดก็คือที่ศาล ซึ่งทำให้คนที่ต้องตัดสินว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปนั้นมีความลำบากใจมากพอสมควร สิ่งที่สามารถทำได้ก็คือต้องมีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจนั้นไม่ได้เป็นการกระทำโดยพลการ แต่ได้มีการสอบถามผู้รู้และผู้เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ (เช่นปรึกษาฝ่ายกฎหมายและผู้ที่มีความรู้ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องนั้น) แต่กระนั้นเองก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ถูกฟ้องร้อง เพราะคนที่ไม่พอใจเขาก็หาเรื่องฟ้องร้องได้อยู่ดี คนที่ต้องไปขึ้นศาลก็คือคนที่ตัดสินใจ ผ่ายกฎหมายหรือผู้เชี่ยวชาญที่ไปปรึกษาเขาไม่ได้มาเป็นจำเลยด้วย (แต่เขาก็สามารถมาเป็นพยานแก้ต่างให้ได้)

ที่ต้องขอบันทึกเรื่องนี้ไว้เพราะตอนไปอบรมที่ญี่ปุ่นได้ถามกับทางวิทยากรว่า สุดท้ายของอำนาจการตัดสินว่าส่งออกได้หรือไม่นั้นอยู่ที่ใคร เขาก็ตอบว่าอยู่ที่กระทรวง METI (Ministry of International Trade and Industry) แต่ประเทศเขาไม่มีศาลปกครองแบบบ้านเรา ที่ผู้ที่ไม่พอใจการตัดสินใจของหน่วยราชการสามารถฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้

วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2568

คนขับรถไฟไม่ผิด คำถามต่างหากที่ผิด MO Memoir : Thursday 14 August 2568

"ก่อนจะตัดสินอะไร ก็ควรพิจารณาดูก่อนว่าข้อมูลที่มีอยู่นั้นมันอิงกับความเป็นจริงหรือไม่" หรือกล่าวอีกอย่างก็คือ "ก่อนจะตอบคำถาม ก็ควรพิจารณาดูก่อนว่าคำถามนั้นมันถูกหรือเปล่า"

อาทิตย์นี้เห็นมีรีวิวซีรีย์เกาหลีเรื่องหนึ่งโผล่ขึ้นมาบนหน้า facebook บ่อยครั้ง ซีรีย์นี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทำงานในสำนักงานทนายความของนางเอกสารที่เป็นพนักงานใหม่คนหนึ่ง โดยในช่วงเริ่มเรื่องมีการกล่าวถึงคำถามสัมภาษณ์งานที่นางเอกต้องตอบ ส่วนคำถามนั้นคืออะไรและนางเอกตอบอย่างไรก็ลองอ่านในรูปข้างล่างดูนะครับ

รูปที่ ๑ เนื่องเรื่องช่วงบทสัมภาษณ์งาน (จาก โชว์มีเดอะซีรีย์)

ในเนื้อเรื่อง (ที่มีคนรีวิวเขาเล่าเอาไว้ ส่วนตัวผมเองยงไม่เคยคิดจะดูเรื่องนี้) คำตอบของนางเอกเป็นที่พึงพอใจของกรรมการสอบสัมภาษณ์มาก ก็เลยทำให้นางเอกได้งาน (ตามบทละคร)

ทีนี้มาลองดูความเป็นจริงในการทำงานบ้าง

พนักงานขับรถไฟไม่สามารถสับรางได้ด้วยตนเอง (ในขณะที่รถไฟกำลังวิ่งอยู่) ว่าจะไปวิ่งรางไหน ผู้ที่ทำหน้าที่สับรางคือพนักงานคุมประแจ ซึ่งอาจทำหน้าที่อยู่ที่ตัวสถานีหรือศูนย์ควบคุม พนักงานคนนี้ที่เป็นคนกำหนดว่าจะให้รถไฟแต่ละขบวนนั้นวิ่งในรางไหน

สิ่งเดียวที่พนักงานขับรถไฟทำได้คือพยายามหยุดรถครับ ส่วนจะทันไม่ทันก็อีกเรื่องหนึ่ง

วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2568

การไทเทรต 1,1-Diamino-2,2-dinitroethene (FOX-7) MO Memoir : Tuesday 12 August 2568

เรื่องที่นำมาเล่าและรูปประกอบบทความในวันนี้นำมาจากบทความเรื่อง "Assay of the insensitive high explosive FOX-7 by non-aqueous titration" โดย Amiya Kumar Nandi และคณะ ตีพิมพ์ในวารสาร Central European Journal of Energetic Materials, 9(4), 343-352 ปีค.ศ. 2012 ซึ่งเป็นบทความเกี่ยวกับการหาปริมาณสาร 1,1-Diamino-2,2-dinitroethene ด้วยเทคนิคการไทเทรตในตัวทำละลายที่ไม่ใช่น้ำ เพื่อใช้เป็นตัวอย่างอ่านเพิ่มเติมสำหรับนิสิตที่กำลังเรียนเรื่องการไทเทรตกรด-เบสว่า ในทางปฏิบัตินั้นมีการนำไปใช้งานในด้านไหนบ้าง

1,1-Diamino-2,2-dinitroethene (รูปที่ ๑) หรือชื่อรหัส FOX-7 เป็น insensitive high explosive ที่หน่วยงานวิจัยของประเทศสวีเดนคิดค้นขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ ๑๙๙๐ จุดเด่นของวัตถุระเบิดชนิดนี้คือมีความเฉื่อยต่อการจุดระเบิดมากกว่า RDX ในขณะที่มีอำนาจในการทำลายล้างเทียบเท่ากันหรือสูงกว่าเล็กน้อย

รูปที่ ๑ ตัวอย่างการสังเคราะห์ FOX-7

Insensitive high explosive คือวัตถุระเบิดที่ยากต่อการจุดระเบิดเว้นแต่จะได้รับการกระตุ้นด้วยพลังงานที่สูงมากเพียงพอ ตัวอย่างการใช้งานของวัตถุระเบิดชนิดนี้เช่นการใช้ในหัวรบเจาะเกราะ คือหัวรบต้องไม่ระเบิดจากแรงกระแทกของหัวรบกับแผ่นเกราะ เพื่อให้หัวรบทะลุผ่านเกราะเข้าไปก่อนแล้วจึงค่อยระเบิดจากภายใน เช่นหัวรบที่ใช้ในการยิงเรือรบ อีกตัวอย่างหนึ่งได้แก่ดินระเบิดที่ใช้ใน explosive lens ของอาวุธนิวเคลียร์ ที่ต้องไม่จุดระเบิดเองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ เช่นระเบิดร่วงหล่นจากเครื่องบินบรรทุก เครื่องบินบรรทุกอาวุธนั้นเกิดอุบัติเหตุตกหรือเกิดเพลิงไหม้ ส่วน RDX เป็นวัตถุระเบิดแรงสูงหลักตัวหนึ่งที่ใช้งานกันแพร่หลายกับอาวุธในปัจจุบัน

โครงสร้างโมเลกุลของ FOX-7 ประกอบด้วยโครงสร้างพันธะ C=C ที่ปลายข้างหนึ่งมีหมู่อะมิโน (amino -NH2) เกาะอยู่ 2 หมู่ในขณะที่ปลายอีกข้างหนึ่งมีหมู่ไนโตร (nitro -NO3) เกาะอยู่ 2 หมู่ ปรกติอะตอม N ของหมู่อะมิโนแสดงฤทธิ์เป็น Lewis base เพราะมันมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว (lone pair electron) และความเป็นเบสจะแรงขึ้นถ้าหมู่ที่มาเกาะกับอะตอม N นั้นเป็นหมู่จ่ายอิเล็กตรอน

แต่กรณีของ FOX-7 นั้นแตกต่างไปเพราะหมู่ไนโตรเป็นหมู่ดึงอิเล็กตรอนที่แรง ทำให้หมู่อะมิโนแสดงฤทธิ์เป็นกรดที่อ่อน กล่าวคือเมื่อ H+ หลุดออกจากอะตอม N ประจุลบจะถูกดึงเข้ามาในโมเลกุล กลายเป็นโครงสร้างที่มีเสถียรภาพเพิ่มขึ้นได้ (รูปที่ ๒)

รูปที่ ๒ การแสดงฤทธิ์เป็นกรดของ FOX-7

การไทเทรตหาปริมาณกรดที่อ่อนมากด้วยเบสแก่ (หรือเบสอ่อนด้วยกรดแก่) โดยใช้การเปลี่ยนสีของอินดิเคเตอร์เป็นตัวบอกจุดยุตินั้นทำได้ยากเนื่องจากการเปลี่ยนสีอินดิเคเตอร์ไม่ชัดเจน (หรือไม่สมบูรณ์) แต่เราก็สามารถทำให้กรดอ่อนนั้นแสดงฤทธิ์เป็นกรดที่แก่ขึ้นได้ด้วยการใช้ตัวทำละลายที่มีความเป็นเบสสูงขึ้น (ถ้าเป็นการไทเทรตเบสที่อ่อนมาก็จะใช้ตัวทำละลายที่มีความเป็นกรดสูงขึ้น) อย่างเช่นในกรณีของคณะผู้วิจัยในบทความนี้ ได้ใช้ Dimethylformamide ที่มีชื่อย่อว่า DMF (ดูโครงสร้างโมเลกุลในรูปที่ ๓) เป็นตัวทำละลาย ความเป็นเบสของ DMF อยู่ที่อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวของอะตอม N โดยอะตอม N ตัวนี้จะรับ H+ จาก FOX-7 ทำให้ FOX-7 แตกตัวได้ง่ายขึ้น จุดเด่นอีกข้อของ DMF คือโครงสร้างโมเลกุลของมันมีทั้งส่วนที่เป็นขั้วและไม่มีขั้ว ทำให้มันสามารถละลายได้ทั้งโมเลกุลที่มีขั้ว (เช่นน้ำ) และไม่มีขั้ว

รูปที่ ๓ FOX-7 แสดงฤทธิ์ที่เป็นกรดที่แรงมากขึ้นเพื่อละลายในตัวทำละลายที่มีความเป็นเบสเช่น DMF

ในการไทเทรตนั้นทางคณะผู้วิจัยใช้โซเดียมเมทอกไซด์ (Sodium methoxide NaOCH3) ที่ละลายในตัวทำละลายเบนซีน/เมทานอลโดยใช้ azo-violet เป็นอินดิเคเตอร์ (ปรกติอะตอม O ของไฮดรอกไซด์ไอออน OH- ก็มีฤทธิเป็นเบสอยู่แล้ว แต่ความเป็นเบสจะแรงขึ้นถ้าอะตอม H ถูกแทนที่ด้วยหมู่อัลคิลที่เป็นหมู่จ่ายอิเล็กตรอน) โดย H3CO- จะไปดึงโปรตอนจาก DMF ที่รับโปรตอนมาจาก FOX-7 (ทำนองเดียวกันกับ OH- ที่ดึงโปรตอนจาก H3O+ เวลาไทเทรตกรดกับเบส) รูปที่ ๔ แสดงการจัดอุปกรณ์การไทเทรต

ตัวทำละลายที่เป็นเบสที่แรงนั้นสามารถทำปฏิกิริยากับแก๊ส CO2 ในอากาศได้ (DMF ก็เช่นกัน) ดังนั้นเพื่อป้องกันการรบกวนจาก CO2 ในอากาศ การไทเทรตจึงทำภายใต้บรรยากาศไนโตรเจน โดยมีการป้อนแก๊สไนโตรเจนเข้ามาปกคลุมเหนือผิวของเหลวในฟลาสก์ตลอดเวลาที่ทำการไทเทรต การไทเทรตจะยุติเมื่อเห็นสีของสารละลายเปลี่ยนจากสีน้ำตาลเป็นสีน้ำเงิน สารละลายเบสแก่ที่ใช้เป็น titrant (เช่น NaOH) ก็มีปัญหาแบบนี้เช่นกัน ทำให้ต้องมีการหาความเข้มข้นที่แน่นของสารละลายเบสแก่ที่เตรียมทิ้งเอาไว้หลายวัน (และไม่ได้รับการป้องกันไม่ให้สัมผัสกับอากาศ) ก่อนนำมาใช้งาน

รูปที่ ๔ การจัดอุปกรณ์การไทเทรต มีการใช้แก๊สไนโตรเจนปกป้องไม่ให้ DMF ทำปฏิกิริยากับ CO2 ในอากาศ

การวิเคราะห์หาปริมาณไนโตรเจนด้วย Kjeldahl nitrogen determination method (บรรยายไว้ในบทความMO Memoirฉบับวันเสาร์ที่ ๑สิงหาคม ๒๕๕๒ ซึ่งแต่ก่อนมีการสอนในวิชาปฏิบัติการ) ก็มีการใช้สารละลายกรดบอริก (Boric acid H3BO3) เป็นตัวดักจับแก๊ส NH3 ที่เป็นเบสอ่อน จากนั้นจึงทำการไทเทรตสารละลายกรดบอริกนั้นด้วยสารละลายมาตรฐาน H2SO4 อีกทีเพื่อหาปริมาณ NH3 ในตัวอย่าง

สำหรับวันนี้ก็คงจะจบเพียงแค่นี้

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2568

การเสียชีวิตจากแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ในท่อระบายน้ำเสีย MO Memoir : Tuesday 5 August 2568

การเสียชีวิตจากการหายใจเอาแก๊สเข้าไปนั้นแบ่งออกได้เป็น ๒ แบบ แบบแรกคือ การขาดออกซิเจน (แก๊สไม่มีออกซิเจนเพียงพอต่อการดำรงชีพ) และแบบที่สองคือการหายใจเอาแก๊สพิษเข้าไป (แม้ว่าจะมีออกซิเจนในปริมาณที่เพียงพอต่อการดำรงชีพก็ตาม

ในกรณีของแก๊สพิษ ถ้าในบรรยากาศนั้นมีออกซิเจนเพียงพอ การใช้หน้ากากที่สามารถกรองเอาแก๊สที่เป็นพิษนั้นออกไปได้ก็ถือว่าเพียงพอ (แต่ต้องใช้ให้ถูกกับชนิดของแก๊สพิษด้วย) แต่ถ้าเป็นกรณีที่บริเวณนั้นมีออกซิเจนไม่เพียงพอ การเข้าไปในบริเวณนั้นก็ต้องใช้ถังอากาศหายใจ

และบ่อยครั้งที่การเสียชีวิตทำนองนี้จะมีผู้ประสบเหตุพร้อมกันหลายราย นั่นคงเป็นเพราะผู้ประสบเหตุคนแรกนั้นมักจะหมดสติอย่างรวดเร็วหรือกระทันหัน และโดยธรรมชาติของคนที่พอเห็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่ดี ๆ นั้นก็หมดสติไปทันทีก็เลยรีบเข้าไปช่วย เลยทำให้มีผู้ประสบเหตุเพิ่มเติม

เรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้เป็นข่าวเหตุการณ์ที่เกิดในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่คนงานที่ทำหน้าที่ตรวจระบบท่อบำบัดน้ำเสียเสียชีวิต ๔ รายจากการเข้าไปใน manhole


เรื่องมันเริ่มจากเมื่อช่วงต้นปีทีผ่านมานี้ (วันที่ ๒๘ มกราคม) ระหว่างที่รถบรรทุกคันหนึ่งวิ่งเลี้ยวออกมาจากทางแยกแห่งหนึ่ง พื้นถนนก็ยุบตัวกลายเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่ที่ทำให้รถบรรทุกตกลงไปทั้งคัน กว่าจะกู้เอาร่างคนขับรถบรรทุกนั้นขึ้นมาได้ก็ล่วงเข้าไปเดือนพฤษภาคม (วันที่ ๒) เหตุการณ์นี้สามารถสืบค้นได้ด้วยคำ yashio sinkhole หรือ saitama sinkhole สาเหตุที่ทำให้เกิดหลุมยุบขนาดใหญ่เป็นเพราะผนังของระบบท่อน้ำเสียใต้ดินขนาดใหญ่เกิดความเสียหาย ดินที่อยู่รอบ ๆ ก็เลยไหลเข้าไปในท่อ ทำให้พื้นยุบตัว สาเหตุที่ทำให้การนำร่างขึ้นมาได้ล่าช้าก็เพราะต้องระวังการยุบตัวของบริเวณรอบข้างเพิ่มเติม และแก๊สพิษที่อยู่ในระบบท่อน้ำเสีย

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้หลายท้องถิ่นต้องทำการตรวจสอบความเรียบร้อยของระบบท่อระบายน้ำเสียอย่างเร่งด่วน และเหตุการณ์ที่เป็นข่าวในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็เกี่ยวข้องกับการตรวจระบบท่อระบายน้ำเสีย

เนื้อหาข่ายไม่ได้ให้รายละเอียดเหตุการณ์ไว้มากนัก เท่าที่อ่านและจับใจความได้จากช่องข่าวทางโทรทัศน์ก็คือ ผู้ประสบเหตุคนแรกตกลงไปใน manhole ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๖๐ เซนติเมตร ลึกประมาณ ๑๐ เมตร จากนั้นเพื่อนร่วมงานอีก ๓ รายก็ลงไปช่วย และได้กลายเป็นผู้ร่วมประสบเหตุ สาเหตุการเสียชีวิตคาดว่าเกิดจากแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ โดยความเข้มข้นที่ยอมรับได้คือ 10 ppm แต่เมื่อตรวจที่เกิดเหตุพบว่าสูงถึง 80 ppm (รายงานข่าวที่ออกมาภายหลังมีการรายงานว่าสูงถึง 150 ppm)

ทางบริษัทของพนักงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบรายงานว่า ในขณะที่คนงานคนแรกกำลังจะเข้าไปใน manhole นั้น เครื่องตรวจวัดไฮโดรเจนซัลไฟด์ไม่ได้ส่งสัญญาณเตือนใด ๆ ก่อนที่เขาจะตกลงไป (ประเด็นนี้ก็น่าสนใจ) และพนักงานที่ไปทำงานนั้นก็ไม่ได้มีการเตรียมอุปกรณ์กันตกหรือเครื่องช่วยหายใจใด ๆ

จะว่าไปความเป็นพิษของไฮโดรเจนซัลไฟด์นั้นสามารถทำให้หมดสติได้อย่างรวดเร็วจนสามารถหลุดร่วงจากราวบันไดที่เกาะอยู่ตกลงไปข้างล่างได้ก่อนที่จะได้ร้องขอความช่วยเหลือใด ๆ เหตุการณ์นี้เคยเขียนไว้ในเรื่อง "ขนาดเตรียมถังอากาศหายใจก็ยังพลาดได้ (MO Memoir ฉบับวันพุธที่ ๑๗ มิถุนายน พ.. ๒๕๖๓)"