แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กล้วย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กล้วย แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2568

สารหล่อลื่นในเปลือกกล้วย MO Memoir : Saturday 5 April 2568

กระเทียมก็ต้องทุบ มะนาวก็ต้องคลึง ดังนั้นเปลือกกล้วยก็ต้องเหยียบ

พืชบางชนิดนั้นมีของเหลวอยู่ในถุงบรรจุเล็ก ๆ การจะนำเอาของเหลวเหล่านั้นออกมาใช้งานก็ต้องทำให้ถุงบรรจุนั้นแตกออกก่อน อย่างเช่นกระเทียมที่มีน้ำมันบรรจุอยู่ในถุงบรรจุ การทุบจะทำให้ถุงบรรจุนั้นแตกออก มะนาวก็เช่นกัน ดังนั้นก่อนจะผ่ามะนาวเพื่อบีบเอาน้ำมะนาว ก็ควรต้องทำการคลึงผลมะนาวก่อนผ่าเสียก่อน เพื่อให้ถึงบรรจุน้ำมะนาวแตกออก

เปลือกกล้วยหอมก็เช่นกัน มีสารหล่อลื่นอยู่ในถุงบรรจุ การเหยียบจะทำให้ถุงบรรจุนั้นแตกออกปลดปล่อยสารหล่อลื่นออกมา ทำให้พื้นผิวสัมผัสระหว่างพื้นกับเปลือกกล้วยที่ถูกเหยียบลื่นมากขึ้นอันเป็นผลจากสารหล่อลื่นนั้น

Ig Nobel Prize เป็นรางวัลที่ล้อเลียนรางวัลโนเบล เพื่อมอบให้แก่การค้นพบ (ผลงานตีพิมพ์) ที่ "that cannot, or should not, be reproduced" (ถ้าแปลออกมาก็คงจะได้ว่า "ไม่สามารถ, หรือไม่ควร ที่จะทำซ้ำ") เพื่อเป็นการยกย่องผลงานที่ "that first make people laugh, and then make them think" (เช่นกัน ถ้าแปลออกมาก็คงจะได้ว่า "ทำให้คนหัวเราะก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงค่อยคิด") รางวัลนี้เริ่มแจกในปีค.ศ. ๑๙๙๑ (พ.ศ. ๒๕๓๔)

และในปีค.ศ. ๒๐๑๔ (พ.ศ. ๒๕๕๗) ก็ได้มีการมอบรางวัล Ig Nobel Prize สาขาฟิสิกส์ให้กับศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นผู้ศึกษาวิจัยเรื่องสัมประสิทธิความเสียดทานของเปลือกกล้วย ซึ่งเรื่องนี้ได้เล่าไว้ในบทความบน blog เมื่อวันจันทร์ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๓ เรื่อง "เมื่อกล้วยระเบิด"

และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทางสถานีโทรทัศน์ NHK ของญี่ปุ่น ก็ได้ทำรายการเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องความลื่นของเปลือกกล้วยที่ศาสตร์จารย์ท่านนั้นทำการศึกษา เพื่อแสดงให้เห็นว่าทำไปทำไม (รูปที่ ๑)

รูปที่ ๑ รายการของ NHK World Japan ในสารคดึชุด "Laugh Then Think: Japan Offbeat Science" เรื่อง Banana slip Physics เผยแพร่ออกอากาศครั้งแรกในวันศุกร์ที่ ๒๘ มีนาคมที่ผ่านมา ภาพโฆษณารายการเป็นภาพของ Prof. Kiyoshi Mabuchi ชูกล้วยหอม อาจารย์ท่านนี้เป็นอาจารย์ทางด้าน Biomechanics หรือพวกข้อต่อเทียมต่าง ๆ ของร่างกาย

Prof. Kiyoshi Mabuchi เป็นอาจารย์ทางด้าน Biomechanics หรือพวกข้อต่อเทียมต่าง ๆ ของร่างกาย จึงเป็นผู้เห็นความสำคัญของความลื่นเมื่ออวัยวะต่าง ๆ ในร่างการมีการเสียดสีกัน ตัวอย่างเช่นข้อสะโพกที่ท่านนำมายกเป็นตัวอย่างในสารคดี (รูปที่ ๒), การเสียดสีกันระหว่างเปลือกตากับลูกตาเมื่อเรากระพริบตา, การเสียดสีกันระหว่างปอดหรือหัวใจกับอวัยวะภายในที่อยู่เคียงข้างกัน

รูปที่ ๒ Prof. Kiyoshi Mabuchi ขณะบรรยายการทำงานของข้อต่อสะโพกเทียม ว่าความลื่นของข้อต่อนั้นสำคัญต่อการใช้ชีวิตของผู้ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อต่ออย่างไร

รูปที่ ๓ บทความที่เผยแพร่สองปีหลังจากได้รับรางวัล Ig Nobel Prize

สารคดีที่ NHK จัดทำนั้นไม่ได้บอกว่าสุดท้ายแล้วจะมีการนำเอาผลงานวิจัยเรื่องนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างไร แต่ถ้าพิจารณาจากตัวอย่างที่ยกมาในบทความและสิ่งที่อาจารย์ท่านนั้นศึกษา ก็คงพอจะคาดเดาได้ว่าท้ายสุดนี้งานวิจัยเรื่องนี้จะมีประโยชน์อย่างไร

บางครั้งสิ่งที่ชาติตะวันตกเห็นเป็นเรื่องตลกนั้น ก็เป็นการแสดงความไม่รู้ (แต่คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่น) ออกมา

รูปที่ ๔ โครงสร้างของเปลือกกล้วยหอม (จากบทความในรูปที่ ๓)

รูปที่ ๕ บทความที่เผยแพร่ในปีค.ศ. ๒๐๑๖ หรือหลังได้รับรางวัล Ig Nobel Prize สองปี กล่าวถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างสารหล่อลื่นของเปลือกกล้วยหอมและกระดูกหัวเข่าของกระต่าย (จากบทความในรูปที่ ๓)

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เมื่อกล้วยระเบิด (Banana explosion) MO Memoir : Monday 1 June 2563

Ig Nobel Prize เป็นรางวัลที่ล้อเลียนรางวัลโนเบล เพื่อมอบให้แก่การค้นพบ (ผลงานตีพิมพ์) ที่ "that cannot, or should not, be reproduced" (ถ้าแปลออกมาก็คงจะได้ว่า "ไม่สามารถ, หรือไม่ควร ที่จะทำซ้ำ") เพื่อเป็นการยกย่องผลงานที่ "that first make people laugh, and then make them think" (เช่นกัน ถ้าแปลออกมาก็คงจะได้ว่า "ทำให้คนหัวเราะก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงค่อยคิด") รางวัลนี้เริ่มแจกในปีค.ศ. ๑๙๙๑ (พ.ศ. ๒๕๓๔) เรียกว่าก็เกือบ ๓๐ ปีแล้ว
  
รางวัล Ig Nobel Prize สาขาฟิสิกส์ประจำปีค.ศ. ๒๐๑๔ (พ.ศ. ๒๕๕๗) มอบให้แก่นักวิจัยชาวญี่ปุ่น (รูปที่ ๑) ที่ตีพิมพ์บทความเรื่อง "Frictional Coefficient under Banana Skin" โดยมีคณะผู้วิจัยคือ Kiyoshi Mabuchi, Kensei Tanaka, Daichi Uchijima และ Rina Sakai บทความดังกล่าวตีพิมพ์ในรูป Short Communication ในวารสาร Tribology Online 7, no. 3, ปีค.ศ. 2012 (พ.ศ. ๒๕๕๕) หน้า 147-151 (รูปที่ ๒)
 

รูปที่ ๑ ภาพจากคลิปวิดิโอการมอบรางวัล Ig Nobel Prize สาขาฟิสิกส์ประจำปีค.ศ. ๒๐๑๔ (พ.ศ. ๒๕๕๗) โดยตัวแทนผู้เขียนบทความจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๗
  
รูปที่ ๒ บทความที่เป็นต้นเรื่อง

บทความดังกล่าวยังได้รับการอ้างอิงโดยนักวิจัยในประเทศมาเลเซียในบทความเรื่อง "Effect of banana peels as an additive on the tribological proporties of paraffin oil" โดยมีคณะผู้วิจัยคือ A. H. Hamid, N. A. B. Masripana, J. Basiron, M. M. B. Mustafa, R. Hasan, M. F. B. Abdollah และ R. Ismail บทความดังกล่าวตีพิมพ์ในวารสาร Jurnal Teknologi ฉบับที่ 77:21 ปีค.ศ. 2015 (พ.ศ. ๒๕๕๘) หน้า 73–77 (รูปที่ ๓)
  
หลังจากได้รางวัล Ig Nobel Prize แล้ว บทความต้นฉบับยังได้ถูกนำมาเรียบเรียงใหม่และตีพิมพ์ในวารสาร Biosurface and Biotribology ฉบับที่ 2 ปีค.ศ. 2016 (พ.ศ. ๒๕๕๙) หน้า 81–85 ในชื่อเรื่อง "Ig Nobel Prize-winning episode: Trip from a slip on a banana peel to the mysterious world of mucus" (รูปที่ ๔)

รูปที่ ๓ บทความในรูปที่ ๒ ยังได้รับการอ้างอิง
  
รูปที่ ๔ หลังจากได้รางวัล ก็มีการนำบทความมาเรียบเรียงและตีพิมพ์ใหม่ในฐานะผู้ได้รับรางวัล

กล้วยบ้านเรามีหลายหลายสายพันธุ์ให้กิน บางอย่างก็เหมาะสำหรับการกินเมื่อเป็นผลสุกเท่านั้น บางอย่างก็สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารแบบอื่นได้หลายหลาย แต่สำหรับประเทศที่ไม่ได้ปลูกกล้วย ต้องนำกล้วยเข้าจากต่างประเทศ เข้าใจว่าเวลาพูดถึง banana เขาก็คงหมายถึงกล้วยหอม ตอนเรียนอยู่อังกฤษก็เห็นซุปเปอร์มาร์เก็ตมีแต่กล้วยหอมขาย
  
มุขตลกที่เกี่ยวกับกล้วยที่เห็นกันบ่อยครั้งสุดน่าจะได้แก่การเหยียบเปลือกกล้วยแล้วลื่นล้ม (เปลือกผลไม้ภาษาอังกฤษเรียกว่า peel หรือ skin) แต่ไม่ยักเห็นมุขตลกนี้กับผลไม้ชนิดอื่นที่ต้องปอกเปลือกกิน (เคยเห็นคนอังกฤษเขากินสับปะรด แต่เขาไม่ได้ปอกเปลือกและหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แบบที่เรากินกัน เขาใช้วิธีผ่าเป็นซีก ๆ แล้วกัดกินแบบเรากินแตงโม) หรือจะว่าไปอาจเป็นเพราะผลไม้ที่เขามีนั้นเขากินกันทั้งเปลือก (เช่น แอปเปิล องุ่น สตอเบอรี่) มันก็เลยไม่มีเปลือกมาโยนทิ้งไว้ตามพื้นให้คนเหยียบ
  
สิ่งหนึ่งที่คนไทยรู้มานานแล้วก็คือ ถ้าจะเก็บกล้วยโดยไม่ให้กล้วยสุกเร็ว ก็ต้องเก็บในที่ที่ลมโกรกหรืออากาศถ่ายเทได้ดี เช่นเอาไปแขวนไว้ เพราะถ้าเอาไปเก็บในที่อากาศระบายไม่ดี กล้วยจะสุกเร็ว เห็นญี่ปุ่นเอาความรู้ตรงนี้ไปใช้ด้วยการเอาลวดเหล็กมาขดแล้วขายเป็นที่แขวนกล้วย (ดูหน้าตาที่แขวนกล้วยนี้ได้ใน Memoir เรื่อง "ที่แขวนกล้วย" วันอังคารที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๑) ซึ่งอันที่จริงมันก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเพียงที่แขวนเพื่อยกกล้วยทั้งหวีให้สูงจากพื้นโต๊ะแค่นั้น
  
ถ้าต้องการให้กล้วยดิบมันสุกเร็วขึ้น ก็ต้องเอาไปบ่ม แต่เดิมที่เคยเห็นคุณยายทำสมัยผมยังเด็ก ๆ ก็คือจะเอาไปวางเรียงไปรอบ ๆ ผนังด้านในของไหหรือโอ่ง จากนั้นก็จะจุดธูปแล้วปักไว้ตรงกลาง ปิดฝาด้านบนเอาไว้ เปลือกกล้วยก็จะเหลืองเร็วขึ้น ผลไม้ที่เห็นเขาบ่มกันก็มีกล้วยกับมะม่วง ส่วนที่ว่าเมื่อเปลือกเหลืองแล้วกล้วยข้างในสุกหรือยังก็ขึ้นอยู่กับว่าเอากล้วยดิบแค่ไหนมาทำการบ่ม ถ้าเป็นกล้วยที่ใกล้สุกแล้วข้างในก็จะสุกตามไปด้วย แต่ถ้าเป็นกล้วยที่ดิบมากเกินไป เปลือกนอกเหลืองก็จริง แต่ข้างในจะยังดิบอยู่ ตรงนี้อาจมีคนสงสัยว่าทำไมจึงถ้าปลูกไวกินเองก็รอให้มันสุกก่อนแล้วค่อยเก็บก็ได้ แต่ที่เจอมากับตัวพบว่า จะไม่ทันได้กิน เพราะทั้งนกและกระรอกมันเอาไปกินหมดก่อน
  
ตัวที่ทำให้กล้วย (หรือผลไม้ใด ๆ) สุกเร็วขึ้นก็คือแก๊สเอทิลีน (ethylene C2H4) )และอะเซทิลีน (acetylene C2H2) ปรกติตัวผลไม้ก็จะผลิตแก๊สเหล่านี้ออกมาอยู่แล้ว แก๊สสองตัวนี้เป็นตัวไปเร่งให้ผลไม้สุกเร็วขึ้น การเก็บในที่อากาศระบายได้ดีจะลดการสะสมของแก๊สสองตัวนี้ ทำให้ผลไม้สุกช้าลง แต่ถ้าเก็บในที่ที่อากาศระบายได้ไม่ดีที่มีการสะสมของแก๊สสองตัวนี้ ผลไม้ก็จะสุกเร็วขึ้น ดังนั้นอย่าแปลกใจว่าทำไมกล่องใส่ผลไม้จึงต้องเจาะรู เพื่อให้แก๊สที่เกิดขึ้นมันระบายออกแค่นั้นเอง บ้านเราชาวบ้านก็ผลิตแก๊สอะเซทิลีนด้วยการซื้อแก๊สก้อน (calcium carbide) มาทำปฏิกิริยากับน้ำ
  
การที่เราสามารถทำให้ผลไม้สุกได้โดยที่ไม่ต้องให้มันสุกที่ต้นมันก็มีข้อดีตรงที่ทำให้การขนส่งเป็นระยะทางไกล ที่ต้องใช้เวลาเดินทางนาน ทำได้ง่ายขึ้น เช่นเราสามารถขนกล้วยจำนวนมากทางเรือ จากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งได้ โดยไม่ต้องกังวลว่ามันจะสุกจนเน่าก่อนถึงปลายทาง (การขนทางเรือมีข้อดีคือ ขนได้ในปริมาณมาก ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขนส่งลดลง แต่มีข้อเสียคือใช้เวลาเดินทางนาน) และเมื่อถึงปลายทางแล้วก็ค่อยทำให้มันสุกด้วยการบ่ม
  
รูปที่ ๕ ข่าวโรงงานบ่มกล้วยระเบิด จากหนังสือพิมพ์ Chicago Packer วันที่ ๒๖ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๓๖ (พ.ศ. ๒๔๗๙) ถ้าต้องการไฟล์ pdf ก็ให้ใช้คำว่า "The Pittsburgh Banana Company Explosion" หาใน google ดู มันจะขึ้นมาให้

รูปที่ ๕ เป็นข่าวนำมาจากหนังสือพิมพ์ Chicago Packer วันที่ ๒๖ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๓๖ (พ.ศ. ๒๔๗๙) หน้า ๘ เป็นข่าวเกี่ยวกับโรงงานบ่มกล้วยระเบิดเมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ในเหตุการณ์ดังกล่าวคนงานคนหนึ่งเข้าไปปิดเตาแก๊สที่ใช้ในการให้ความร้อนแก่ห้องที่ทำการบ่มกล้วย จากนั้นจึงทำการเปิดสวิตช์พัดลมไฟฟ้าเพื่อให้มีการไหลเวียนของอากาศร้อนภายในห้องบ่ม ทันที่ที่เขาเปิดสวิตช์ การระเบิดก็เกิดขึ้น
 
สาเหตุของการระเบิดคาดว่าเกิดจากประกายไฟของพัดลมไฟฟ้าไปจุดระเบิดแก๊สจากเตาที่สะสมอยู่ในห้องบ่มกล้วย โชคดีที่คนงานที่เข้าไปเปิดพัดลมบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยแม้ว่าจะโดนทั้งอิฐทั้งกล้วยทับเอาไว้
  
คำว่า "Produce" (ในพาดหัวข่าวข้างบน) นอกจากเป็นคำกิริยาที่เป็นว่าผลิตแล้ว ยังเป็นคำนามที่มีความหมายว่า "ผลิตภัณฑ์" ด้วย และมักจะใช้กับผลิตผลทางการเกษตร ถ้าไปเดินซุปเปอร์มาร์เก็ตในห้างก็อาจจะเห็นป้ายที่เขียนว่า "Fresh Produce" ที่หมายถึงผลิตผลทางการเกษตรที่สด เช่นผักสด ผลไม้สด
  
จดหมายข่าว ICI Safety Newsletter ฉบับเดือนพฤษจิกายน ๑๙๗๔ (พ.ศ. ๒๕๒๑) เรื่องที่ 70/6 (รูปที่ ๖) รายงานเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดกับเรือบรรทุกกล้วย (ในปีค.ศ. ๑๙๗๓ หรือพ.ศ. ๒๕๒๐) แต่ด้วยสาเหตุที่แตกต่างออกไป
  
รูปที่ ๖ ข่าวเรือบรรทุกกล้วยระเบิด จาก ICI Safety Newsletter ฉบับที่ ๗๐ เดือนพฤศจิกายน ๑๙๗๔ (พ.ศ. ๒๕๒๑)

เรือบรรทุกกล้วยลำหนึ่งเกิดเพลิงไหม้ และระหว่างที่กำลังดับเพลิงอยู่นั้นก็เกิดการระเบิดขึ้น ทำให้พนักงานดับเพลิงได้รับบาดเจ็บไป ๗ รายและคนอื่นอีก ๒ คน
  
รายงานการสอบสวนโดย H M Inspectors of Explosive สันนิษฐานว่าเนื่องจากมีการใช้เอทิลีนในการบ่มกล้วย และตัวกล้วยเองก็ผลิตเอทิลีนได้อยู่แล้ว ความร้อนจากการเผาไหม้น่าจะทำให้กล้วยผลิตเอทิลีนออกมามากขึ้น จนทำให้เกิดส่วนผสมกับอากาศที่สามารถระเบิดได้
  
แต่ทางผู้จัดทำ Newsletter เสนอสมมุติฐานไปอีกแนวทางหนึ่งคือ ความร้อนที่เกิดขึ้นน่าจะทำให้กล้วยนั้นคายน้ำมันออกมา (น่าจะคายออกมาจากเปลือก) และความร้อนที่เกิดขึ้นก็ทำให้น้ำมันที่คายออกมานั้นกลายเป็นไป ผสมกับอากาศจนถึงความเข้มข้นที่สามารถระเบิดได้ แล้วจึงเกิดการระเบิด
  
ที่น่าสนใจคือประโยคถัดมา ที่เป็นเหตุผลที่สนับสนุนสมมุติฐานของเขาว่าน่าจะเกิดจากน้ำมันที่เปลือกกล้วยผลิตออกมาเมื่อโดนความร้อน โดยเขาบอกว่ากล้วย (น่าจะหมายถึงเปลือก) นั้นค่อนข้างจะมีความเป็นมันอยู่แล้ว และมีการกล่าว กันว่า ถ้า gearbox (ห้องเครื่องเกียร์) ไม่มีน้ำมัน ก็สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการใส่เปลือกกล้วยลงไป 
  
ความรู้เรื่องการใช้เปลือกกล้วยช่วยในการหล่อลื่นนี้น่าจะเป็นความรู้จากผู้ที่ทำงานปฏิบัติการภาคสนามเคยใช้ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และบอกต่อกันมาแบบปากต่อปาก มันน่าจะใช้งานได้จริง แต่ด้วยการที่คนส่วนใหญ่ฟังดูแล้วมันเหมือนเป็นเรื่องตลกหรือพูดเล่น มันก็เลยไม่ได้มีการศึกษากันอย่างจริงจังเท่าใดนัก
  
ต้องรออีกเกือบ ๔๐ ปีถัดมา จึงมีนักวิจัยชาวญี่ปุ่นศึกษาเรื่องคล้ายคลึงกันนี้และทำการตีพิมพ์ผลงานเผยแพร่ จนทำให้เขาได้รับรางวัล Ig Nobel Prize ไป

บางเรื่องที่เราเห็นเป็นเรื่องตลกนั้น บางทีมันอาจมีเหตุผลอยู่บนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและเป็นที่รู้กันมานานแล้วก็ได้ เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ปรากฏอยู่ในวารสารบทความวิชาการเท่านั้นเอง

วันอังคารที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2561

ที่แขวนกล้วย MO Memoir : Tuesday 9 January 2561

เรื่องทั้งเรื่องก็คือทำให้แก๊สเอทิลีน (acetylyen) หรืออะเซทิลีน (ethylene) กระจายตัวออกไปได้ง่ายนั่นเอง



ผลไม้สุกหลายชนิดมันมีรสชาติหอมหวาน เป็นที่ต้องตาต้องใจของบรรดาสัตว์เล็กต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกที่โผบินได้หรือกระโดดโลดลิ่วไปตามต้นไม้ต่าง ๆ ได้ เช่นพวกมะม่วง กล้วย มะละกอ ดังนั้นถ้าหากคิดจะเก็บเอาไว้กินเองหรือจะเอาไปขายยังตลาด การที่ปล่อยให้มันสุกคาต้นก็มีความเสี่ยงที่ว่ามันจะโดนกัดกินเสียก่อน 
  
ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกถ้าจะพบว่าจะมีการเก็บผลไม้ก่อนที่มันจะเริ่มสุกโดยเฉพาะเพื่อนำมาเก็บไว้รอการขาย แต่ชาวสวนเขาก็มีวิธีการเร่งการสุขของผลไม้เหล่านั้นได้ด้วยวิธีการ "บ่ม" ตอนเด็ก ๆ เคยเห็นคุณยายเอามะม่วงที่เปลือกยังเขียวอยู่มาเรียงใส่ในโอ่งใบเล็ก ๆ ไปรอบ ๆ ผนังด้านใน เว้นที่ตรงกลางไว้เพื่อวางกระถางธูป พอเรียงเสร็จก็จุดธูปปักไว้ในโอ่งนั้นและปิดฝาโอ่ง เช้าวันต่อมาก็เอามะม่วงในโอ่งนั้น (ที่สุกเร็วขึ้น) ไปขายต่อได้
 
เอทิลีน (ethylene H2CCH2) และอะเซทิลีน (acetylene HCCH) เป็นแก๊สที่ผลไม้นั้นผลิตขึ้นมาได้เองในปริมาณน้อย ๆ แก๊สสองตัวนี้เป็นตัวเร่งการสุกของผลไม้ ในสภาวะที่ความเข้มข้นของแก๊สเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้น อัตราการสุกของผลไม้ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย การจุดธูปเพื่อเร่งการสุกก็อาศัยการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของตัวธูปที่ทำให้เกิดแก๊สเหล่านี้ และการปิดฝาโอ่งก็เพื่อไม่ให้แก๊สเหล่านี้หลุดรอดไปไหน ทำให้ความเข้มข้นของแก๊สในโอ่งเพิ่มสูงขึ้น ผลไม้ก็เลยสุกเร็วขึ้น แต่สำหรับชาวสวนที่ใจร้อนหน่อยก็อาจใช้วิธีไปซื้อหินแก๊ส (หรือแก๊สก้อน) ซึ่งก็คือแคลเซียมคาร์ไบด์ (calcium carbide CaC2) มาวางไว้แทน จากนั้นก็เติมน้ำลงไป แคลเซียมคาร์ไบด์พอเจอน้ำก็จะเกิดแก๊สอะเซทิลีน
 
แต่ผลไม้บ่มเนี่ย บางทีมันสุกแต่ข้างนอก โดยเฉพาะกล้วยที่เจอได้ง่ายว่าข้างนอกเปลือกมันสีเหลืองเหมือนกับสุกมากแล้ว แต่ข้างในยังดิบอยู่
 
วิธีการเก็บกล้วยโดยไม่ให้กล้วยสุกเร็วที่ผู้ใหญ่สอนต่อ ๆ กันมาก็คืออย่าเก็บไว้ในที่อับ ให้มันอยู่ในที่ที่มีการระบายอากาศที่ดี หรือจะเอาไปแขวนก็ได้ วิธีการเหล่านี้มันช่วยยืดอายุได้ก็เพราะมันทำให้แก๊สอะเซทิลีนหรือเอทิลีนที่กล้วยผลิตขึ้นมานั้นกระจายตัวออกไป ไม่สะสมอยู่รอบ ๆ ตัวกล้วย ทำให้กล้วยสุกช้าลง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นฉลากที่ติดมากับที่แขวนกล้วยจะบอกว่า การแขวนกล้วยจะช่วยยืดอายุการเก็บกล้วยไว้แต่ แต่ทั้งนี้ยังขึ้นกับปัจจัยด้านสภาพอากาศด้วย นั่นก็เป็นเพราะการแขวน (แทนที่จะวาง) มันช่วยทำให้แก๊สอะเซทิลีนหรือเอทิลีนที่กล้วยผลิตขึ้นนั้นกระจายตัวออกไปได้ง่ายขึ้นเท่านั้นเอง และถ้ามีลมอ่อน ๆ พัดโชยมาด้วย มันก็ช่วยทำให้แก๊สสองตัวนั้นกระจายออกไปได้มากขึ้น อากาศที่เย็นก็ช่วยให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาลดลง ในฉลากจึงบอกว่าผลที่ได้นั้นขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย
 
อันที่จริงฉลากเขาเขียนมาเป็นภาษาญี่ปุ่น ผมเองอ่านไม่ออกหรอกครับ แต่ลูกสาวคนโตที่เขาจับฉลากปีใหม่กับเพื่อนที่จับได้ที่แขวนกล้วยอันนี้มา เขาอ่านออก ก็เลยแปลให้ผมฟัง
 
เรื่องยืดอายุผลไม้เพื่อการส่งออกเนี่ยว (คือทำอย่างไรก็ได้ให้มันสุกช้าลงโดยไม่ทำให้เสียรสชาติ) เป็นงานท้าทายงานหนึ่ง เพราะปัจจุบันที่ผลไม้ส่งออกมีราคาแพงก็เพราะมันต้องส่งทางเครื่องบิน จะให้เอาไปแช่แข็งก่อนเพื่อขายเป็นผลไม้สดมันก็ไม่ไหว แต่ถึงกระนั้นก็ตามแม้ว่าจะขนส่งทางอากาศ ก็ยังต้องคำนึงถึงช่วงเวลานับตั้งแต่การบรรจุลงบรรจุภัณฑ์ก่อนขนไปยังสนามบินต้นทาง และการขนจากสนามบินปลายทาง (รวมทั้งเวลาที่ต้องผ่านด่านศุลกากร) ไปยังร้านค้าจัดจำหน่าย ที่รวมกันแล้วจะกินเวลามากกว่าช่วงที่อยู่บนเครื่องบินเสียอีก ทำให้เมื่อผลไม้ไปถึงร้านค้าแล้วเหลือเวลาไม่นานนักที่จะวางขายได้ (ก่อนที่มันจะสุกงอมจนเน่า) วิธีการหนึ่งที่เห็นเขาทำกันเพื่อชะลอเวลาการสุกก็คือ ใช่กล่องที่มีรูข้างกล่อง (เพื่อให้แก๊สที่ผลไม้ผลิตขึ้นนั้นระบายออกมาได้) และพยายามระบายอากาศในตู้ที่บรรจุกล่องผลไม้เหล่านั้นเพื่อไม่ให้มีการสะสมของแก๊ส 
  
งานวิจัยที่พยายามจัดการกับแก๊สเจ้าปัญหาสองตัวนี้ในการขนส่งก็มีทั้ง การหาสารดูดซับแก๊สสองตัวนี้ และก็เคยเห็นการพยายามพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาเพื่อทำการออกซิไดซ์แก๊สสองตัวนี้ให้กลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ (ที่อุณหภูมิห้อง) แล้วนำไปติดตั้งในตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้ขนส่ง ซึ่งนั่นหมายถึงการต้องมีการไหลเวียนอากาศในตู้บรรจุเพื่อให้มันไหลผ่านตัวดูดซับหรือตัวเร่งปฏิกิริยา ซึ่งก็หมายถึงการที่ตู้คอนเทนเนอร์ใบนั้นต้องมีระบบจ่ายพลังงานที่สามารถทำงานได้ตลอดเวลา เริ่มตั้งแต่การขนส่งทางรถจากต้นทาง ไปจนถึงจุดหมายปลายทางด้วย