แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปลาโลมา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปลาโลมา แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ปลาหมึก ปลาวาฬ ปลาโลมา (อีกครั้ง) MO Memoir : Sunday 19 August 2555

ผมเป็นนักเรียนรุ่นแรกที่พวกที่เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยสายวิทย์ (ไม่ว่าจะเป็นหมอ วิศว วิทยาศาสตร์) ต้องสอบวิชาสังคมและภาษาไทย (ตอนนั้นเรียกชื่อว่า "สามัญ ๑") ในการสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย

ตอนนั้นก็พูดกันว่าทำไมต้องสอบวิชาพวกนี้ สอบไปทำไม ไม่เห็นจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรในการเรียน
แต่ตอนนี้กลับพบว่าพวกเรียนสายวิทย์ควรจะที่จะเรียนรู้เรื่องภาษาและการสื่อสารให้มากขึ้น เพราะหลัง ๆ เห็นคนพวกนี้ใช้ภาษาประเภทที่หลงคิดว่าตัวเอง "ถูก" และคนส่วนใหญ่ "ผิด" นั้น มากขึ้นทุกที
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือการเรียกชื่อสัตว์

ผมเคยพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการเรียกชื่อ ปลาหมึก ปลาวาฬ ปลาโลมา เอาไว้ใน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๔๘ วันพุธที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๒ เรื่อง "ปลาหมึก ปลาวาฬ ปลาโลมา" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจในเรื่องภาษาของนักวิทยาศาสตร์ ที่นำเอาภาษาที่ชาวบ้านชาวช่องเขาพูดกันด้วยความหมายหนึ่ง แต่ตัวนักวิทยาศาสตร์เองนำเอาภาษาของชาวบ้านไปตีความหมายเป็นอย่างอื่น แล้วเที่ยวไปบอกว่าชาวบ้านพูดผิด

เมื่อเช้าวันอังคารที่ ๑๔ สิงหาคมที่ผ่านมา ขณะฟังข่าวทางวิทยุก็ได้ยินรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" จัดโดยราชบัณฑิตยสถาน พูดเรื่อง "ควรเรียก ปลาวาฬ หรือ วาฬ"

แม้ว่าจะมีบางเรื่องที่ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับราชบัณฑิต แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ผมเห็นว่าราชบัณฑิตควรที่จะกล่าวย้ำอยู่บ่อย ๆ ให้คนทั่วไปรู้กัน และควรนำไปอบรมครู-อาจารย์ที่สอนหนังสือในโรงเรียนและในมหาวิทยาลัยด้วย โดยเฉพาะผู้ที่สอนทางด้านวิทยาศาสตร์ จะได้ไม่เอาไปสอนเด็กแบบผิด ๆ

เนื้อเรื่องเป็นอย่างไรลองอ่านดูเอาเองก็แล้วกัน ผมนำเอาบทความเรื่องเกี่ยวกันนี้อีก ๒ บทความที่เขาเคยนำมาออกอากาศก่อนหน้ามาลงให้ดูพร้อมกับหน้าเว็บไซต์ของราชบัณฑิตยสถานด้วย


ปลาวาฬ (๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๒)

คำว่า ปลาวาฬ คำนี้มาจากภาษาดัชต์สมัยกลางว่า walvisc (อ่านว่า วาล-วิส). คำว่า visc นั้นตรงกับคำว่า fish ในภาษาอังกฤษซึ่งแปลว่า ปลา. walvisc (อ่านว่า วาล-วิส) คือ ปลาวาฬ

หลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่พบคำนี้ในภาษาไทย คือ วรรณคดีเรื่องสมุทโฆษคำฉันท์ ในสมัยอยุธยาตอนปลาย ว่า "ปลาวาฬไล่หลังครวญคราง". ปัจจุบัน คนไทยหลายคนมักเรียกสัตว์ชนิดนี้ว่า วาฬ เพราะคิดว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ไม่ใช่ปลา แต่ที่จริงควรใช้ว่า ปลาวาฬ เพราะ ปลาวาฬ เป็นคำเก่า ซึ่งสะท้อนการมองโลกของคนไทยว่า สัตว์ประเภทนี้เป็นปลา รูปร่างเป็นปลา มีครีบมีหางเหมือนปลา และอาศัยอยู่แต่ในน้ำอย่างปลา

ที่มา : บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.

รูปที่ ๑ เรื่องคำ "ปลาวาฬ" จาก http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=3330


ปลาโลมา (๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕)

ปลาโลมา เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในน้ำ มีสายพันธุ์ใกล้เคียงกับ ปลาวาฬ แต่ตัวเล็กกว่าปลาวาฬ ส่วนใหญ่พบในทะเลและมหาสมุทร ที่พบในแม่น้ำก็มี เช่น ในแม่น้ำคงคาที่ประเทศอินเดีย และในแม่น้ำโขงบริเวณประเทศไทยและประเทศลาว. ปลาโลมาส่วนใหญ่มีสีผิวเป็นสีเทา ซึ่งบางทีเข้มมากจนเกือบดำ และบางทีก็อ่อนลงจนเกือบขาว. ปลาโลมาส่วนใหญ่มีสีผิวสองสี คือด้านหลังเป็นสีเทาเข้ม ด้านท้องเป็นสีเกือบขาว การมีสีผิวสองสี ช่วยในการพรางตัวในทะเลไม่ให้ศัตรูเห็น คือเมื่อมองจากด้านบน สีเข้มจะกลืนกับสีน้ำทะเล และถ้ามองจากด้านล่างขึ้นไป สีขาวก็จะกลืนกับแสงแดดเหนือผิวน้ำ เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าปลาโลมาเป็นสัตว์ที่ฉลาด ทั้งนี้เพราะสมองของปลาโลมามีขนาดใหญ่มาก เมื่อเทียบกับลำตัว อีกทั้งภายในสมองยังซับซ้อนอีกด้วย.

คำว่า โลมา น่าจะมาจากภาษามาเลย์ว่า ลุมบา (lumba) ในภาษามาเลย์ อินโดนีเซีย และชวา เรียก ปลาโลมา อย่างเดียวกัน ว่า ikan lumba-lumba (อ่านว่า อิกัน ลุมบา-ลุมบา) ikan แปลว่า ปลา. การเรียกสัตว์ประเภทนี้ว่า ปลา สะท้อนว่าชาวบ้านทั่วไปที่พูดภาษาไทย มาเลย์ อินโดนีเซีย และชวา เห็นว่า โลมา เป็นปลาชนิดหนึ่ง

ที่มา : บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.

รูปที่ ๒ เรื่องคำ "ปลาโลมา" จาก http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=4848


ควรเรียก ปลาวาฬ หรือ วาฬ (๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๕)

คำนามเรียกชื่อสัตว์ พืช หรือสิ่งของเครื่องใช้ ในภาษาไทยมักจะมีคำบ่งบอกประเภทหรือชนิดของคำนามนั้นนำหน้า เช่นบอกว่าชื่อนั้นเป็นชื่อของ นก หนู งู ปลา ต้น ดอก

นก เช่น นกกระจอก นกกระจาบ นกแก้ว นกนางนวล นกเป็ดน้ำ ฯลฯ
งู เช่น งูเขียว งูเห่า งูดิน งูสามเหลี่ยม
ปลา เช่น ปลาทู ปลาเข็ม ปลาทับทิม ปลาวาฬ ปลาหมึก ฯลฯ

คำเรียกสิ่งต่าง ๆ ในแต่ละภาษาเป็นไปตามความคิดและมโนทัศน์ของเจ้าของภาษา เช่น ชาวยุโรปคิดถึงขนมปังว่าเป็นอาหาร แต่คนไทยอาจมองว่าขนมปังเป็นขนม และเรียกว่า ขนมปัง จะตัดเรียกเฉพาะ ปัง เท่านั้นไม่ได้. ในมโนทัศน์ของคนไทย สัตว์น้ำถ้าไม่ใช่กุ้ง ปู หอย ก็มักจะเรียก ปลา รวมทั้ง ปลาวาฬ ปลาหมึก ปลาพะยูน ปลาดาว และปลาโลมา แต่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาว่า ปลาวาฬ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ไม่ใช่สายพันธุ์เดียวกับปลา จึงเรียก ปลาวาฬ ว่า วาฬ ถือเป็นศัพท์เฉพาะทางวิทยาศาสตร์

ที่มา : บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.

รูปที่ ๓ เรื่องคำ "ปลาวาฬ" จาก http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=5015

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ปลาหมึก ปลาวาฬ ปลาโลมา MO Memoir : วันพุธที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๒

ใครก็ไม่รู้ คงไปเรียนชีววิทยาที่เมืองนอกมา พอไปเรียนอนุกรมวิธานก็เลยได้รู้ว่า สัตว์ที่คนไทยเรียกกันว่าปลาหมึก ปลาวาฬ และปลาโลมา ต่างก็ไม่ใช่สัตว์จำพวกปลา ปลาหมึกเป็นสัตว์จำพวกหอย ส่วนปลาวาฬและปลาโลมาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม พอกลับมาถึงเมืองไทยก็เที่ยวสั่งสอนทั่วไปว่าที่คนไทยเรียกชื่อสัตว์เหล่านี้โดยมีคำว่า "ปลา" ขึ้นต้นนั้นเป็นการเรียกที่ "ผิด" เพื่อให้ถูกต้องกับการจำแนกชนิดสัตว์ (ตามอนุกรมวิธาน) ก็ต้องเปลี่ยนการเรียกชื่อสัตว์เหล่านี้ใหม่โดยตัดคำว่า "ปลา" ออกไป ให้เรียกใหม่ว่าเป็น หมึก วาฬ และโลมา



พอเราถามกลับไปว่า ทีแมวน้ำมันก็ไม่ใช่แมว ม้าน้ำมันก็ไม่ใช่ม้า แมงกระพรุนมันก็ไม่ใช่แมง ทำไมถึงไม่ออกมาโวยวายบ้างล่ะว่ายังมีเรียกผิด ๆ อยู่ ก็มักจะไม่ได้คำตอบจากคนพวกนั้นกลับมาทุกที
งานนี้ลามไปถึงพจนานุกรมและแบบเรียนในเรียน แต่ยังดีนะว่าทางราชบัณฑิตก็ไม่ได้บ้าตามไปด้วยกับความคิดเช่นนั้น ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานก็ยังคงเรียกชื่อสัตว์เหล่านี้ว่าเป็น "ปลา" อยู่ แต่ในห้องเรียนรู้สึกว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น คือครูสอนวิทยาศาสตร์สอนให้เด็กนักเรียนเรียกชื่อสัตว์เหล่านี้โดยไม่ให้มีคำว่า "ปลา" อยู่ข้างหน้า ไม่ได้สอนให้เด็กนักเรียนรู้จักว่าสัตว์เหล่านี้ชาวบ้านเรียกขานกันอย่างไร

สัตว์ที่เราเรียกว่าปลาดาวก็มีคนโวยวายเหมือนกันว่ามันไม่ใช่สัตว์พวกปลา และก็มีการเสนอให้เปลี่ยนชื่อเรียกใหม่ด้วยว่าให้เรียกว่า "ดาวทะเล" แต่ภาษาอังกฤษเองก็เรียกว่า "Star fish" หรือปลาดาวนั่นเอง ก็ไม่เห็นมีคนไปโวยวายว่าพวกฝรั่งเรียกผิดหรือบอกให้เขาเรียกชื่อใหม่ว่า "Sea star" ม้าน้ำก็พยายามเปลี่ยนชื่อให้มันเป็น "ปลาม้าน้ำ" แต่ตัวภาษาอังกฤษเองก็เรียนเหมือนไทยคือ "Sea horse" ไม่เห็นเขาต้องมาเปลี่ยนชื่อให้เป็น "Sea horse fish" ด้วยซ้ำ สัตว์อะไรมี 6 ขาก็ให้เรียกว่าเป็น "แมลง" ส่วนพวกที่มี 8 ขาก็ให้เรียกว่าเป็น "แมง" แล้วแมงกระพรุนล่ะ มันไม่มีขาสักขา ภาษาอังกฤษก็เรียกว่า "่Jelly fish" ทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้ว่ามันไม่ใช่สัตว์จำพวกปลา แต่ก็ไม่เห็นนักวิทยาศาสตร์ของเขาออกมาโวยวายอะไรว่าชาวบ้านของเขาเรียกชื่อสัตว์ไม่ถูกต้อง

เรื่องที่เล่ามานั้นผมมองว่าเกิดจากการที่คนเอาแต่เรียนหนักทางวิทยาศาสตร์ ไม่ได้สนใจว่าชาวบ้านเขามีความคิดอย่างไรหรือใช้ภาษากันอย่างไร หลงแต่คิดว่าตัวเองเรียนมาสูง มีความรู้มากกว่าคนอื่น ถ้าอยากให้ประเทศชาติเจริญต้องลอกความรู้ฝรั่งทั้งหมด คนไทย (หรือต่างชาติก็คงเหมือนกัน) นั้นจะเรียกชื่อสัตว์ที่เขาเห็นว่าเป็นสัตว์อะไร เขาไม่ได้มาดูว่าสัตว์เหล่านั้นโดยทางดีเอ็นเอแล้วมันเป็นญาติกับใคร เขาแค่ดูว่ามันหน้าตาหรือรูปร่างเหมือนสัตว์ประเภทไหนที่เขารู้จัก เขาก็ตั้งชื่อเรียกไปตามนั้น ดังนั้นการที่เขาเรียกชื่อสัตว์ว่า ปลาหมึก ปลาวาฬ ปลาโลมา จะไม่แปลกถ้ามองว่าสัตว์เหล่านี้มีลักษณะเหมือนกับปลาที่มีครีบและว่ายน้ำได้ สัตว์ที่คนไทยเราเรียกแมวน้ำก็เพราะเห็นว่าหน้ามันคล้ายแมว ไม่ได้หมายความว่าเป็นสัตว์จำพวกแมว สัตว์ที่คนไทยเรียกว่าหมีขอก็เพราะเห็นว่าหน้าตามันเหมือนหมีและมีหางเกี่ยวกิ่งไม้ได้เหมือนตะขอ

ปัญหาที่เคยประสบมาและยังเจออยู่ก็คือสงสัยว่าเราจะสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มากเกินไป จนนักเรียนตีความภาษาเป็นแบบคณิตศาสตร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ไปทั้งหมด ตัวอย่างเช่นในการสอบสัมภาษณ์ผู้สอบผ่านข้อเขียนเข้าคณะวิศวจุฬา ฯ ได้ จะเจอปัญหาแบบว่า

กรรมการ : คุณมีพี่น้องกี่คน

นักเรียน : 2 คน

กรรมการ : แล้วคุณเป็นลูกคนที่เท่าไร

นักเรียน : คนกลาง

เรื่องข้างบนนี้เล่าให้นิสิตวิศวจุฬา ฯ ฟังเขาก็รู้สึกเฉย ๆ ไม่เห็นว่ามันแปลกอย่างไร แต่พอเล่าให้นิสิตที่อื่นฟังเขาก็หัวเราะกันทุกที

ความหมายในภาษาไทยนั้นเวลาถามว่ามีพี่น้องกี่คนก็หมายความรวมถึงนับตัวเองด้วย แต่คนที่คิดแบบคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์จะตีความคำพูดนั้นตามตัวอักษร คือถามถึงจำนวน "พี่" กับ "น้อง" โดยไม่นับรวมตัวเอง การตีความภาษาดังกล่าวเป็นการตีความภาษาแบบทีละคำ ไม่ได้ตีความภาษาแบบความหมายที่แท้จริงที่ต้องตีความตามภาพรวมว่าผู้ถามต้องการทราบอะไร อีกตัวอย่างได้แก่คำทักทายของคนไทยเช่นถามว่า ไปไหนมา กินข้าวหรือยัง ไม่ได้หมายความว่าคนถามอยากสอดรู้สอดเห็นว่าผู้ถูกถามไปทำอะไรมา เป็นเพียงแค่คำทักทายเท่านั้น เพราะถ้าเจอหน้ากันแล้วไม่ทักอะไรเลยเดี๋ยวก็จะทำให้อีกฝ่ายคิดไปว่า แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นบ้าง หรือไม่อยากจะคุยด้วยบ้าง ส่วนฝ่ายถูกถามจะตอบหรือไม่ตอบก็แล้วแต่ จะเพียงแค่ยิ้มให้ พยักหน้าให้ หรือโบกมือให้ก็ไม่เป็นไร

เคยออกข้อสอบวิชาอินทรีย์เคมีอยู่ปีหนึ่งว่า "ชานอ้อย" น่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ใดได้บ้าง โดยคาดหวังว่านิสิตน่าจะรู้ว่าชานอ้อยนั้นประกอบด้วยสารอะไร ปรากฏว่านิสิตทำข้อสอบข้อนี้กันไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่า "ชานอ้อย" คืออะไร พอเราถามกลับว่าเคยกินอ้อยไหม เขาก็บอกว่าเคยกิน เราก็ถามต่อไปว่าเวลากินแล้วมันเหลืออะไรไหมหรือว่ากลืนกินหมดเลย เขาก็ตอบว่าเหลือ ก็เลยถามต่อว่าไอ้ที่เหลือคืออะไร เขาก็ตอบว่า "กากอ้อย"

แต่ว่าจะไปโทษนิสิตฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก เพราะคนออกข้อสอบเองก็ไม่ได้เติบโตขึ้นมาในสภาพสังคมเดียวกันกับนิสิต คือปัจจุบันนี้มีสักกี่คนที่ยังซื้ออ้อยเป็นท่อน ๆ มากัดกินกัน หรือซื้ออ้อยควั่น (รู้จักเปล่า) มากิน

การเรียกชื่อสารเคมีก็เช่นเดียวกัน ในตำราจะเรียกสารประกอบคาร์บอนไม่อิ่มตัวแบบพันธะคู่ว่า "Alkene" และจะเรียกสารเหล่านี้โดยลงท้ายชื่อด้วย -ene เช่นถ้าเป็น C2 ก็จะเรียกว่า Ethene C3 ก็จะเรียกว่า Propene แต่ในวงการนั้นจะเรียกสารเหล่านี้ว่าเป็นพวก "Olefin" เวลาเรียกชื่อก็จะเรียกแบบเดิม ๆ คือ C2 ก็จะเรียกว่า Ethylene C3 ก็จะเรียกว่า Propylene หรือในกรณีของอะเซทิลีน (Acetylene) ที่ในตำราจะเขียนเป็น Ethyne แต่ในวงการก็ไม่สนใจที่จะเรียกตามตำรา อีกตัวอย่างได้แก่กรณีของสารประกอบเบนซีนที่มีหมู่มาแทนที่สองหมู่ เดิมเราจะดูว่าการแทนที่เกิดที่ตำแหน่งไหนและมีคำว่า ortho- meta- หรือ para- นำหน้าชื่อสารนั้น แต่ตอนนี้ที่พบคือนิสิตเรียนการเรียกชื่อแบบ IUPAC มา เวลาเรียกชื่อเป็น ortho- meta- หรือ para- นิสิตก็จะงง ต้องเรียกเป็น 1,2- 1,3- หรือ 1,4- แทนนิสิตถึงจะเข้าใจ

การสอนให้รู้จักวิธีการเรียกชื่อมาตรฐานเพียงแบบเดียวก็ดูเหมือนว่าจะดีตรงที่ทุกคนจะได้เข้าใจตรงกันหมด ตัวผู้เรียนเองก็จะได้ไม่ต้องจำมาก เวลามีสารใหม่ ๆ เกิดขึ้นก็จะตั้งชื่อได้ง่าย แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคำดังกล่าวยังไม่เป็นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายจนติดปาก เพราะถ้าใช้กันติดปากแล้วก็คงเป็นการยากที่จะเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับว่าคนที่เรียกชื่อแบบใหม่เมื่อจบเข้าไปทำงานจะเข้าไปแทนที่คนที่เรียกชื่อแบบเก่า หรือจะโดยกลืนกินโดยคนที่เรียกชื่อแบบเก่าไป ปัจจุบันเวลาสอนนิสิตก็ต้องบอกว่าในวงการเขาเรียกกันอย่างนี้นะ ขืนไปเรียกตามหนังสือเรียนเขาจะว่าเป็นพวกที่ยังคงอยู่ในตำรา ไม่ยอมรับว่าโลกแห่งความเป็นจริงมันเป็นอย่างไร

ตัวอย่างเหตุการณ์อื่นที่เคยประสบคือในระหว่างการสอนในห้องเรียนก็มีการกล่าวถึงการใช้ "บัญญัติไตรยางค์" ในการหาคำตอบ ปรากฏว่านิสิตไม่เข้าใจอีกว่าคืออะไร สอบถามไปมาก็เลยทราบว่าหนังสือเรียนในปัจจุบันเรียกว่า "สัดส่วน" หรือในกรณีที่นิสิตมาขอ "ใบงาน" เราเองก็งงไปเหมือนกันว่าคืออะไร ถามไปถามมาก็เลยทราบว่าสิ่งที่เขาเรียกว่า "ใบงาน" ก็คือสิ่งที่เราเรียกทับศัพท์ว่า "direction lab" หรือคู่มือทำการทดลองนั่นเอง

ไหน ๆ ก็ได้เล่าเรื่องวิทยาศาสตร์ไปก่อเรื่องให้กับภาษาแล้ว เพื่อความเป็นธรรมก็ขอยกตัวอย่างนักภาษามายุ่งกับวิทยาศาสตร์บ้าง
คำว่า "Polymer" ในภาษาอังกฤษนั้น เดิมในวงการมีการเขียนทับศัพท์ว่า "โพลีเมอร์" ต่อมาก็มีคนบอกว่ามันออกเสียงไม่ตรงกับเสียภาษาอังกฤษ (ว่าแต่คนนั้นรู้หรือเปล่าว่าคำ ๆ เดียวกันในภาษาอังกฤษมันก็มีหลายเสียง หลายสำเนียง แล้วแต่ว่าคุณจะอิงใคร หลัก ๆ ก็คืออังกฤษหรืออเมริกัน) ที่ถูกต้องต้องเขียนเป็น "พอลิเมอร์" พลาสติกที่ขึ้นต้นชื่อด้วย "Poly" ก็ต้องเรียกเป็น "พอลิ" แต่ถ้าคุณไปดูชื่อบริษัทต่าง ๆ แถวมาบตาพุดที่มีคำว่า "Poly" หรือ "Polymer" อยู่ในชื่อ จะเห็นว่าเขาเขียนทับศัพท์ว่า "โพลี" หรือ "โพลีเมอร์" กันทั้งนั้น ไม่มีใครเขาเขียนหรือเรียกตามที่ราชบัณฑิตกำหนดเลยสักราย

คำว่า "Gas" ในภาษาอังกฤษนั้นถูกถอดเสียงออกมาเป็นภาษาไทยว่าเป็น "ก๊าซ" หรือ "แก๊ส" ได้ทั้งสองแบบ แล้วแต่ว่าใครจะใช้แบบไหน แต่ก็มีบางบริษัทเหมือนกันที่เลือกใช้แต่คำว่า "ก๊าซ" เวลาติดต่องานอะไรกับบริษัทนั้นก็ต้องใช้คำว่า "ก๊าซ"

สุดท้ายก็ขอยกตัวอย่างที่การเมืองมายุ่งกับศัพท์ทางเทคนิคบ้าง คำว่า "์NGV" นั้นความหมายสากลที่ทั้งโลกใช้กันคือย่อมาจาก "Natural Gas Vehicle" แปลเป็นไทยคือ "รถยนต์ที่ใช้แก๊สธรรมชาติ" ส่วนแก๊สธรรมชาติที่ใช้กับรถยนต์ประเภทนี้เขาเรียกว่า "CNG" หรือ "Compressed Natural Gas" เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่นักการเมืองผู้หนึ่ง (คนที่คุณก็รู้ว่าเป็นใคร) มาเชิญชวนบอกว่าให้ผู้ขับรถยนต์หันมาใช้ NGV เป็น "เชื้อเพลิง" แทนน้ำมันกัน ถ้าถอดคำกันตามภาษาแล้วก็ต้องถือว่าคนพูดไม่มีความรู้ทางด้านศัพท์เทคนิค เลยเอามาใช้ผิด ๆ เพราะ NGV ตามความหมายสากลหมายถึงตัวรถ จะเอามาเป็นเชื้อเพลิงให้รถวิ่งได้อย่างไร (หรือจะให้นำเอา NGV มาลากรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน) คนที่อยู่ในวงการที่รู้ความหมายของคำย่อดังกล่าวก็คงจะหัวเราะกันว่าคนพูดยังไม่รู้จักเลยว่าสิ่งที่พูดนั้นคืออะไร แล้วจะมาเชิญชวนให้คนไปใช้ในสิ่งที่ตัวเองพูดได้อย่างไร

ทีนี้ในสังคมไทยคนมีอำนาจพูดอะไรก็ต้องให้ถูกไว้ก่อนเสมอ ก็เลยมีการบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมา "เพื่อใช้เฉพาะกับคนไทยและในประเทศไทยเท่านั้น" คือมีการเปลี่ยนแปลงคำย่อของ NGV ว่าย่อมาจาก "Natural Gas for Vehicle" หรือ "แก๊สธรรมชาติสำหรับรถยนต์" เพื่อที่จะบอกว่าที่นักการเมืองท่านนั้นพูดมาก็ไม่ผิด

เวลาสอนหนังสือนิสิตก็ต้องย้ำอยู่เสมอว่าคำเรียกสากลนั้นคืออะไร เวลาติดต่อต่างประเทศหรือคุยกับคนต่างชาติหรือค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เนตจะได้ไม่มีปัญหา จะได้ไม่ขายหน้าเขา ส่วนคำย่อเฉพาะที่เขาสร้างขึ้นมาให้คนไทยนั้นคืออะไร จะได้คุยกับแท๊กซี่ คนขับรถ หรือชาวบ้านทั่วไปได้เข้าใจกัน