แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พัทลุง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พัทลุง แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ชมเมืองพัทลุง ตอน แหงนมองเขาพนมวังก์ รำลึกความทรงจำวัดทุ่งขึงหนัง MO Memoir : Saturday 29 June 2562

ผู้ใหญ่เขาเล่าว่าบริเวณนี้เป็นที่ราบเหมาะแก่การทำนา (ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะมีน้ำหลากท่วมประจำ) และชาวบ้านเคยเอาหนัง (น่าจะเป็นหนังวัว) มาตากแห้ง หมู่บ้านนี้ก็เลยมีชื่อว่า "บ้านทุ่งขึงหนัง" ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางเส้นทางระหว่างตัวอำเภอเมืองกับอำเภอควนขนุน ตอนเด็ก ๆ (ก็เมื่อกว่า ๔๐ ปีที่แล้ว) ตอนไปเยี่ยมคุณตาคุณยาย ยังจำได้ว่าพอตกค่ำที่นั่นก็จะเงียบมาก นาน ๆ ทีจะมีรถวิ่งผ่านไปบนถนนสักคัน ท้องฟ้ามืดมากขนาดมองเห็นทางช้างเผือกได้ชัดเจน
 
แต่ในความมืดและเงียบสงบนั้นก็มีความน่ากลัวอยู่ เพราะช่วงนั้นบริเวณดังกล่าวแม้ว่าจะห่างจากตัวจังหวัดเพียงแค่ ๑๐ กิโลเมตร ก็จัดว่าเป็นเขตแทรกซึมของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์หรือ ผกค. (น่าจะเป็นพื้นที่สีชมพู) แถวนี้ก็เคยมีโรงพักตั้งอยู่ แต่โดนผกค.ยกพวกมาปิดล้อมและเผาทิ้ง นับแต่นั้นก็ไม่เคยมีสถานีตำรวจอีกเลย
 
พอตกค่ำก็จะอยู่กันแต่ในบ้าน (เพราะไม่รู้จะไปไหน) โทรทัศน์ก็มีดูเพียงช่องเดียวคือช่อง ๑๐ หาดใหญ่ (ที่สถานีอยู่ห่างออกไป ๑๐๐ กิโลเมตร) แต่ละบ้านจึงต้องมีเสาอากาศสูง และยังต้องมีบูสเตอร์ช่วยขยายสัญญาณอีก ไม่งั้นก็ดูไม่ได้ ตัวโคมหลอดฟลูออเรสเซนต์ก็ไม่เหมือนกับที่เห็นที่กรุงเทพ เพราะมันมีกระบอกอะไรไม่รู้ติดตั้งเพิ่มเข้ามา เพิ่งจะมารู้ตอนโตว่านั่นคือตัวเก็บประจุที่ใช้ปรับค่าตัวประกอบกำลัง (power factor) เพื่อลดการใช้กระแส นั่นคงเป็นเพราะสมัยนั้นระบบไฟฟ้าในต่างจังหวัดของเรายังไปไม่ทั่วถึง การลดการสูญเสียการส่งกำลังแม้จะดูว่าเป็นเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าสำคัญ

รูปที่ ๑ วัดทุ่งขึงหนังและโรงเรียนวัดทุ่งขึงหนังอยู่ที่มุมล่างของแผนที่ แนวเขาด้านขวาคือเขาพนมวังก์ 
  
เขาพนมวังก์ที่เห็นตอนเด็ก ๆ นั้นยังมีการทำเหมืองหินอยู่ ครอบครัวคุณน้าครอบครัวหนึ่งทำกิจการระเบิดหินและโม่หินขาย บางปีที่ไปก็มีโอกาสได้เห็นเขาระเบิดภูเขาจากหลังบ้านที่ไปพัก เสียงระเบิดดังดี แต่กิจการนี้ก็เลิกทำไปนานแล้ว และดูเหมือนว่าตัวเขาพนมวังก์เองก็ถูกจัดให้เป็นวนอุทยานแห่งชาติไปแล้ว จำได้ว่าปีหนึ่งมีไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ตลาดในตัวเมือง มีการมาเอาระเบิดที่บ้านคุณน้า เขาบอกว่าจะเอาไปทำลายบ้านบางหลังทิ้งเพื่อกันไม่ให้ไฟลุกลาม จริงเท็จอย่างไรก็ไม่รู้ แต่นั่นคือเรื่องที่ได้เห็นมาตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่ ตรงบริเวณที่เป็นโรงโม่หินตรงนี้คุณแม่เคยเล่าให้ฟังว่าแถวนี้แต่ก่อนเคยมีที่เผาศพ เรียกว่า "ที่เปลว" ตอนคุณแม่ยังเด็กนั้นเวลาที่มีการเผาศพทีก็จะช่วยกันหยิบไม้ฟืนไปช่วยงาน ถือว่าเป็นการทำบุญ ที่มาเผาตรงนี้อาจเป็นเพราะว่าสมัยนั้นวัดยังไม่มีเมรุ และบริเวณนี้ก็เป็นที่ห่างไกลชุมชน 
  
วันก่อนเดินทางกลับนั้นคุณน้าที่พาเที่ยวอ่างเก็บน้ำก็พานั่งรถเล่นวนรอบเขาลูกนี้ พร้อมกับเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง ทำให้รู้ว่าแต่ก่อนนั้นเคยมีการปีนขึ้นไปเก็บขี้ค้างคาวลงมาขาย และมีการขุดยิปซัมไปขายด้วย นอกจากนี้ใต้เขาลูกนี้ยังมีทางน้ำไหลลอดใต้ผ่าน ทางออกนั้นอยู่ฝั่งฟากตะวันตก แต่ยังไม่มีใครสำรวจ แม้ว่าจะขึ้นไปสำรวจว่าบนเขาลูกนี้มีถ้ำหรืออะไรอย่างอื่นซ่อนอยู่บ้างนั้นก็ยังไม่มีคนทำ อาจเป็นเพราะว่างูชุม แถมเป็นงูเห่าด้วย
 
ถนนจากควนขนุนไปยังตัวจังหวัดนั้นเส้นเดิมเขาว่าเป็นที่ที่ได้จากการบริจาคของชาวบ้าน แบบว่าใครอยากมีที่ดินติดถนนก็บริจาคที่ส่วนหนึ่งให้รัฐทำถนน ถนนมันก็เลยคดไปคดมา พอโครงการถนนสายเอเชียเข้ามา ก็เลยมีการปรับแนวถนนบางช่วง ช่วงไหนที่มันเลี้ยวเข้าชุมชนก็ตัดเส้นใหม่เป็นทางตรงเลี่ยงออกมา การเดินทางก็เลยสะดวกขึ้น แต่สำหรับบ้านเรือนที่สร้างอยู่บนแนวถนนเส้นเดิมนั้นดูเหมือนว่ากาลเวลาจะหยุดนิ่งไป บรรยากาศสองข้างทางที่มีไม้ใหญ่ร่มรื่นก็ยังคงเป็นแบบนั้น เว้นแต่บางช่วงที่ใกล้ชุมชนได้มีการขยายถนนจาก ๒ ขึ้นเป็น ๔ ช่องทางจราจร
 
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยทักษิณมาตั้งที่อำเภอควนขนุนหรือเปล่า จึงทำให้ตัวเมืองพัทลุงค่อนข้างจะมีการขยายตัวขึ้นเหนือมาตามแนวถนนเส้นนี้ แทนที่จะไปทางตะวันตกเส้นที่มุ่งไปตรัง หรือลงใต้เส้นที่มุ่งไปหาดใหญ่ มีร้านอาหารโผล่ขึ้นหลายร้าน แถวนี้จะมีร้านสเต็กอยู่ร้านหนึ่ง ท่าทางจะขึ้นชื่อมาก ขนาดมีคนขับรถมาจากหาดใหญ่หรือนครศรีธรรมราชเพื่อมากินอาหารที่ร้านนี้ ผมเองก็เพิ่งจะมีโอกาสได้ไปกินเป็นครั้งแรกก็คราวนี้เอง แต่ไม่ขอให้ความเห็นใด ๆ
 
ถนนเส้นนี้ยังทำหน้าที่เป็นคันกั้นน้ำด้วย เวลาที่ฝนตกหนัก น้ำจะไหลหลากมาจากเขาบรรทัดที่อยู่ทางตะวันตก ดังนั้นชุมชนที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของถนนก็จะโดนน้ำท่วมก่อน ก่อนที่จะไหลหลากข้ามมาท่วมทางฝั่งตะวันออก จะว่าไปชุมชนทั้งสองฝั่งถนนแถวนี้ สามารถนับลำดับญาติกันได้ทั้งนั้น ลำดับที่อยู่ใกล้กับผมหน่อยจะอยู่ทางฝั่งตะวันออก ทางฝั่งตะวันตกก็จะเป็นอีกสายหนึ่งที่อยู่ห่างหน่อย เรียกว่าต้องย้อนขึ้นไปถึงรุ่นทวดก่อนแล้วค่อยนับลงมาอีกทางหนึ่ง
 
ที่บ้านทุ่งขึงหนังนี้จะมีวัดทุ่งขึงหนังเป็นวัดประจำหมู่บ้าน ญาติฝ่ายคุณแม่ของผมเวลามีงานอะไรก็จะไปจัดกันที่วัดนี้เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นงานทำบุญหรืองานศพ ก็เรียกได้ว่าได้แวะเวียนไปเป็นประจำตั้งแต่เด็กเวลาที่ได้ไปเที่ยวที่นั่น หลายสิ่งในวัดก็เปลี่ยนไป ที่เห็นเหมือนเดิมอยู่ก็มีแต่หอระฆัง ตอนเด็ก ๆ นั้นเห็นเขาไปโปรยทานจากหอระฆังก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นหอสูง แต่ทำไมตอนนี้จึงรู้สึกว่ามันเตี้ยจังก็ไม่รู้ หรือเป็นเพราะว่าในบริเวณตัววัดมีการถมที่ให้สูงขึ้น เพื่อที่เวลาน้ำท่วมจะได้ไม่รู้สึกว่าน้ำมันท่วมสูงมาก (คือมันก็ยังท่วมอยู่ดี)
 
ด้านหลังวัดที่ติดกับเมรุจะเป็นสวนยาง ไม่รู้ว่าเป็นธรรมเนียมของคนทางด้านนี้หรือเปล่า ที่ว่าเวลามีงานศพหรืองานวัดใด ๆ มักจะมีการไปตั้งบ่อนในสวนยางหลังวัดกันเป็นประจำ มีอยู่ปีหนึ่งไปเที่ยวงานสงกรานต์ที่วัดแห่งหนึ่ง บนศาลานั้นพระท่านก็กำลังสวดให้ศีลให้พรระหว่างการเลี้ยงพระเพล ด้านหลังศาลานั้นก็มีการเตรียมตัวกันหลายวง ทั้งไฮโลและน้ำเต้าปูปลาและอื่น ๆ อีก ตอนงานศพคุณยายของผมเมื่อกว่า ๑๐ ปีที่แล้วที่วัดนี้ ก็ดูเหมือนจะมีการตั้งวงอยู่ในสวนยางหลังวัดเหมือนกัน ไม่รู้ว่าใครจากไหนเป็นเจ้ามือเพราะไม่ได้เข้าไปดู แต่ถึงเข้าไปดูก็คงไม่รู้จักว่าใครเป็นใคร

พอผมโตขึ้นก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสลงไปที่นี่เท่าไรนัก ก็เลยต้องขอบันทึกเรื่องเหล่านี้เอาไว้กันลืม ว่าตอนเด็ก ๆ นั้นเคยได้ยินหรือได้เห็นอะไรมาบ้าง สิ่งใดบ้างที่เคยมี และชีวิตชุมชนคนที่นี่เป็นอย่างไร

รูปที่ ๒ เขาพนมวังก์ ถ่ายเมื่อตอนเช้า มองจากสวนหลังบ้านของคุณน้าที่ไปพักอยู่ รูปนี้ถ่ายเอาไว้เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๐ พฤษภาคมที่ผ่านมา ส่วนรูปอื่น ๆ ที่เหลือถ่ายเอาไว้เมื่อวันพุธที่ ๒๒ พฤษภาคม

รูปที่ ๓ โรงเรียนวัดทุ่งขึงหนัง ตั้งอยู่คนละฟากถนนของวัดทุ่งขึงหนัง ปัจจุบันมีนักเรียนลดลงไปมาก สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะการเดินทางที่สะดวกขึ้น ทำให้การเดินทางไปเรียนยังโรงเรียนใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปนั้นทำได้ง่ายขึ้น

รูปที่ ๔ ป้ายชื่อโรงเรียน ถ่ายป้ายชื่อเก่าเอาไว้เป็นที่ระลึกหน่อย

รูปที่ ๕ เดินผ่านหน้าโรงเรียน ต้องข้ามถนนไปยังอีกฝั่งหนึ่งจึงจะถึงวัดทุ่งขึงหนัง 

รูปที่ ๖ แผนผังสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ในบริเวณวัด 

รูปที่ ๗ หอระฆัง ที่ถ้านับอายุถึงวันนี้ก็ ๕๕ ปีแล้ว

รูปที่ ๘ โบสถ์ประจำวัด

รูปที่ ๙ ศาลาสำหรับนั่งพัก อยู่ใกล้ ๆ กับหอระฆัง

รูปที่ ๑๐ เมรุเผาศพที่อยู่ทางด้านหลังติดสวนยาง เมรุนี้มีมาทีหลัง ตอนผมยังเด็กที่วัดยังไม่มีเมรุ ตอนงานเผาศพคุณตามีคุณลุงคนหนึ่งไปจ้างเมรุชั่วคราวมาใช้

รูปที่ ๑๑ สวนยางหลังวัด

รูปที่ ๑๒ ซุ้มประตูทางเข้า แต่ในรูปนี้เป็นการมองออกไป

รูปที่ ๑๓ เขาพนมวังก์เมื่อมองจากทางเข้าวัดไปทางตะวันออก

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ชมเมืองพัทลุง ตอน ภูเขาที่ทะเลาะกัน ล่องแก่งลำธารา MO Memoir : Sunday 23 June 2562

ภูเขาสองลูกนี้ทะเลาะกัน เล่นกันแรง ลูกหนึ่งถึงกับหัวแตก อีกลูกหนึ่งถึงกับอกทะลุ ส่วนรายละเอียดว่าทำไปจึงทะเลาะกันนั้นจำไม่ได้แล้ว จำได้แต่เพียงว่าตอนเด็ก ๆ คุณตาเล่าให้ฟัง
 
แต่เดิม การเดินทางไปพัทลุงที่สะดวกที่สุดก็คือรถไฟ ถนนเพชรเกษมเองล่องใต้มาถึงชุมพรแล้วก็เลี้ยวขวาไประนอง จากนั้นค่อยเลี้ยวซ้ายลงใต้มาจนถึงตรัง แล้วจึงค่อยมายังพัทลุง ส่วนทางรถไฟนั้นล่องตรงจากชุมพร มาสุราษฎร์ธานี ทุ่งสง และพัทลุง ทางรถไฟมาก่อน ส่วนถนนจากชุมพรมาพัทลุงนั้นเกิดทีหลัง ลงรถไฟแล้วมองไปทางทิศตะวันออกก็จะเห็นเขาอกทะลุ เขาลูกนี้ก็เลยกลายเป็นสัญญลักษณ์ของจังหวัดนี้ ตอนนี้ได้ยินว่ามีการสร้างทางเดินไปจนถึงช่องเขาที่ทะลุแล้ว แต่คงต้องขอเตรียมตัวก่อน เพราะมันก็สูงไม่ใช่เล่นเหมือนกัน สูงมากพอที่ทำให้มีชาวต่างชาติขึ้นไปกระโดดร่มลงมาจากบนนั้นแล้ว ดูคร่าว ๆ ก็น่าจะสูงประมาณตึก ๓๐ ชั้นได้
 
Memoir ฉบับนี้เป็นบันทึกการเดินทางของวันอังคารที่ ๒๑ พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีครอบครัวคุณน้าอีกท่านหนึ่ง (บ้านที่ผมไปพักค้าง) เป็นผู้นำชมเมือง ด้วยการที่เสียเวลาอยู่ที่โรงพยาบาลตอนช่วงเช้าเนื่องจากต้องพาลูกไปให้หมอเจาะถุงหนองที่ตาเปลือกตาก่อน ที่โรงพยายาลเอกชนที่มีเพียงแห่งเดียวในตัวจังหวัดที่อยู่เลยสถานีรถไฟไปหน่อย ทำให้กว่าจะเดินทางออกจากตัวเมืองก็เกือบเที่ยงแล้ว 
  
ออกจากโรงพยาบาลก็แวะถ่ายรูปจุดชมวิวเขาอกทะลุและเขาหัวแตก ที่อยู่บนถนนเส้นเลียบทางรถไฟจากตัวสถานีขึ้นไปทางสถานีปากคลอง ทางจังหวัดเขาจัดเป็นจุดชมวิว ทำนองว่าจะให้เป็นจุดเช็คอิน แต่ผมว่าเขาสร้างอะไรเยอะไปหน่อย โดยเฉพาะอาคารที่คงอยากให้มันเป็นร้านค้า แต่ดูเส้นทางและบริเวณโดยรอบแล้วก็ไม่น่าจะประสบความสำเร็จ ณ จุดนี้ด้านหนึ่งเป็นเขาอกทะลุ อีกด้านหนึ่งเป็นเขาหัวแตก หรือเรียกชื่อเป็นทางการหน่อยก็คือ "สัตตบรรพต" ผมลงจากรถไปถ่ายรูปเพียงคนเดียว คนอื่นเขาไม่ลงกันเพราะแดดมันแรง จากนั้นก็ไปกินข้าวเที่ยงกันในตัวตลาด ณ ร้านแห่งหนึ่งที่คุณน้ารู้จักกับเจ้าของร้านดี ร้านนี้ขายบะหมี่และข้าวหมูแดง เรียกว่าทั้งอร่อยและราคาถูกแบบหาไม่ได้ในกรุงเทพ ระหว่างรถติดอยู่ในตัวเมือง คุณน้าก็ชี้ให้ดูอาคารหลังหนึ่ง และบอกว่าเป็นอาคารเก่าที่อยู่คู่ตัวเมืองมานานแล้ว อาจเรียกได้ว่าเป็นหลังเดียวที่ยังคงหลงเหลืออยู่ก็ได้
 
รูปที่ ๑ จุดชมวิวเขาอกทะลุ อยู่ริมถนนข้างทางรถไฟสายใต้ จากสถานีรถไฟพัทลุง ขับย้อนขึ้นเหนือเลียบฝั่งตะวันออกของทางรถไฟขึ้นมาหน่อย ก็จะถึงจุดฃมวิว

รูปที่ ๒ ฝั่งตรงข้ามของเขาอกทะลุ ก็คือเขาหัวแตก

รูปที่ ๓ อาคารรุ่นเก่า ที่ยังมีหลงเหลืออยู่ในตัวเมือง


เสร็จจากกินข้าวคุณน้าก็พาย้อนขึ้นไปทางเหนือตามถนนสาย ๔๑ จุดแรกที่แวะให้ก็คือสวนยางพาราที่ตามโฉนดแล้วเป็นชื่อของพี่ชายผม โดยมีคุณน้าช่วยดูแลให้ สวนยางแปลงนี้อยู่หลังวัดทุ่งขึงหนัง (เรียกว่าหลังเมรุเผาศพก็ได้) จากนั้นก็พาต่อไปยังที่เที่ยวแห่งใหม่ที่มีชื่อว่า "ควนน้อย แกรนด์แคนยอน" พื้นที่นี้เดิมเป็นบ่อดินลูกรัง มีการขุดดินลูกรังไปขายจนเป็นหลุมลึก ตอนหลังเขาก็ปล่อยให้น้ำท่วมขังจนเป็นเหมือนกับสระน้ำขนาดใหญ่ (แต่น้ำลึกจนไม่ให้ใครลงไปเล่น) เหมาะแก่การมาถ่ายรูปเล่นตอนเย็น ๆ และมากินข้าวเย็นที่ร้านอาหารริมน้ำ บ่อดินลูกรังบ่อนี้เห็นเขาขุดแบบไม่เกรงว่าสวนยางของคนอื่นที่อยู่แปลงติดกันนั้นจะยุบลงมาเลย เรียกว่าขุดซะแทบจะติดเส้นแบ่งเขตที่ดินก็ได้ แต่ก็โชคดีที่มันไม่พังลงมา แต่ผ่านไปนาน ๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะถ้ามีน้ำซึมเข้าไปมาก ๆ ดินก็อาจจะอ่อนตัวลงไป
 
รูปที่ ๔ บ่อที่เกิดจากการขุดดินลูกรังขาย ตอนหลังน้ำท่วมเต็ม ก็เลยปล่อยให้เป็นอ่างเก็บน้ำ แต่ไม่ให้ใครลงเล่น เพราะน้ำมันลึก แต่มีการปรับปรุงบริเวณรอบอ่างให้เป็นร้านอาหาร แล้วตั้งชื่อใหม่ว่าเป็น "ควนน้อย แกรนด์แคนยอน" ที่เหมาะแก่การมานั่งกินตอนเย็น ๆ 
 
รูปที่ ๕ ตรงไหนที่เป็นดินลูกรังก็ถูกขุดไปขาย ตรงไหนเป็นหินก็ค้างอยู่อย่างนั้น

รูปที่ ๖ อีกมุมหนึ่งของอ่างเก็บน้ำ (ที่เกิดจากการขุดบ่อดินลูกรัง) มุมนี้จะมีร้านอาหารร้านใหญ่ตั้งอยู่ ตอนที่ไปนั้นเป็นตอนเที่ยงวัน ไม่มีร้านเปิดสักร้าน

รูปที่ ๗ อีกมุมหนึ่งของอ่างเก็บน้ำ (ที่เกิดจากการขุดบ่อดินลูกรัง) มุมนี้จะมีร้านอาหารเล็ก ๆ ตั้งอยู่

จุดสุดท้ายที่แวะไปเที่ยวของวันนั้นคืออ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใส อ่างเก็บน้ำนี้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในการป้องกันน้ำท่วมให้กับลุ่มน้ำปากพนัง และเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง ห้วยน้ำใสนี้เป็นลำธารที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างพัทลุงกับนครศรีธรรมราช แต่ถ้าเลยไปทางตะวันตกหน่อยก็จะเข้าเขตตรัง ต่อมาภายหลังมีคนเข้าไปพัฒนาเป็นสถานที่พักริมน้ำและล่องแก่ง เท่าที่สังเกตดูพวกรีสอร์ทต่าง ๆ จะตั้งอยู่ทางฝั่งพัทลุงหมด คงเป็นเพราะมันเป็นฝั่งที่มีถนน

รูปที่ ๘ ที่ตั้งของอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใส เดิมนั้นคลองน้ำใสเป็นเส้นแบ่งระหว่างพัทลุงกับนครศรีธรรมราช ถ้าเลยไปทางตะวันตกหน่อยก็จะเข้าเขตจังหวัดตรัง

รูปที่ ๙ มุมเขื่อนระบายน้ำล้น จะเห็นถนนเส้นเก่าอยู่ใต้สะพานที่เป็นถนนเส้นใหม่ ถ้าไปทางซ้ายก็จะไปตรัง

รูปที่ ๑๐ จากสะพานที่เห็นในรูปที่ ๙ มองย้อนกลับมายังเขื่อนระบายน้ำล้น

รูปที่ ๑๑ บนจุดชมวิวของที่ทำการเขื่อน เขาตั้งชื่อว่าภูขี้หมิ้น

รูปที่ ๑๒ จุดปล่อยตัวสำหรับล่องแก่ง อยู่ท้ายเขื่อนลงมาหน่อย ภาพนี้มองไปทางต้นน้ำ

รูปที่ ๑๓ จากจุดเริ่มล่องแก่ง ภาพนี้มองไปทางปลายน้ำ รูปนี้ถ่ายโดยพยายามหลบขยะที่มีพวกมาล่องแก่งทิ้งอยู่บนฝั่ง จากจุดนี้ไปถึงหนานมดแดง (ดูแผนที่ในรูปที่ ๘) จะกินเวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง

รูปที่ ๑๔ บริเวณจุดขึ้นฝั่งของการล่องแก่งที่รีสอร์ทวังไม้ไผ่ ภาพนี้มองไปทางต้นน้ำ

รูปที่ ๑๕ สวนยางพาราของพี่ชาย อยู่หลังวัดทุ่งขึงหนัง ที่คุณน้าช่วยดูแลให้ วันนั้นแวะเข้าไปก่อนเลยไปควนน้อย เลยถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึกหน่อย
 
การไปล่องแก่งที่นี่ไม่จำเป็นต้องไปพักที่รีสอร์ท สามารถติดต่อรีสอร์ทต่าง ๆ ที่เขาให้บริการ เรียกว่าขับรถไปจอดไว้ที่รีสอร์ท จากนั้นก็เปลี่ยนชุด แล้วเขาจะพาขึ้นรถไปยังจุดปล่อยตัวที่อยู่บริเวณท้ายเขื่อน แล้วก็พายเรือแคนูลำละ ๒ คนล่องมาตามสายน้ำเรื่อย ๆ จนถึงรีสอร์ทที่จอดรถเอาไว้ ก็ขึ้นฝั่งที่นั่น อาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วก็กลับได้ บางจุดที่อาจจะผ่านยากหน่อย ก็จะมีเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทไปประจำอยู่ (ช่วยผลักเรือ) เนื่องด้วยแต่ละรีสอร์ทนั้นอยู่ห่างจากจุดปล่อยตัวไม่เท่ากัน ดังนั้นระยะเวลาที่ใช้ก็ขึ้นอยู่กับว่าตอนไปติดต่อนั้นเลือกจุดที่ใกล้หรือไกลจุดปล่อยตัว รีสอร์ที่มีชื่อสุด (และดูเหมือนว่าจะเป็นแห่งแรกสุด) ของที่นี้เห็นจะได้แก่ "หนานมดแดง" ระยะเวลาจากจุดปล่อยตัวมาถึงหนานมดแดงก็ประมาณ ๓ ชั่วโมง
 
บริเวณจุดปล่อยตัวนั้นเป็นต้นน้ำ ดังนั้นมันไม่ควรมีถังขยะ เพราะถ้าเกิดน้ำมาแรงพัดเอาถังขยะลงน้ำ สายน้ำก็จะสกปรกหมด และตอนที่ไปนั้นมันก็ไม่มีถังขยะ เป็นเหมือนกับพื้นที่ราบเล็ก ๆ ริมลำธาร แต่ที่น่าเสียดายก็คือมีการทิ้งขยะกันเกลื่อนกลาดบริเวณจุดปล่อยตัวนี้แล้ว ถ้าอยากให้การท่องเที่ยวที่นี่ยืนยาว ทางผู้ให้บริการล่องแก่งก็ควรที่จะร่วมกันรักษาความสะอาด ด้วยการย้ำไม่ให้นักท่องเที่ยว (หรือพนักงานของรีสอร์ทเอง) ทิ้งขยะในบริเวณดังกล่าว และถ้ามีขยะเกิดขึ้น ก็ควรที่จะเก็บและนำออกจากพื้นที่เอง ไม่เช่นนั้นต่อไปก็คงเป็นการล่องแก่งชมขยะลอยน้ำหรือติดตามซอกหิน เพราะถ้าถึงขึ้นนี้เมื่อใดก็คงไม่ต้องไปล่องแก่งถึงพัทลุงแล้ว ล่องตามคลองต่าง ๆ ในกรุงเทพก็ได้บรรยากาศแบบเดียวกัน
 
ตอนออกจากห้วยน้ำใสก็แดดกำลังดีอยู่ แต่ยังไม่ทันกลับเข้าเส้นสาย ๔๑ เมฆฝนก็โผล่มาพร้อมฝนตกแรง ขากลับก่อนเข้าบ้าน คุณน้าก็พาไปนั่งรถวนรอบเขาพนมวังก์ พาไปดูแปลงสวนยางริมเขา แต่ไม่ได้ลงเพราะฝนยังลงเม็ดอยู่ แปลงนี้เป็นมรกดคุณแม่ที่โอนให้ผมกับน้องเป็นชื่อร่วมกัน (เรียกว่ามรกดสืบทอดมาจากคุณตาคุณยาย) โดยคุณน้าเป็นผู้ดูแลให้ บริเวณติดกันก็มีลูกพี่ลูกน้องอีกคนใช้เป็นพื้นที่ทำงานประกอบธุรกิจของเขา ก็คือการรับลาดยางถนน จะว่าไปหมู่บ้านต่าง ๆ ในบริเวณนี้ ถ้าจะลำดับนับญาติกัน โดยอิงขึ้นไปรุ่นทวดของผม ก็คงหาความเกี่ยวข้องกันได้หมด เพราะเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่มาบุกเบิกพื้นที่บริเวณนี้
 
ไม่ได้กลับไปนาน พัทลุงเปลี่ยนไปเยอะ สิ่งแรกที่เห็นคือมีสะพานลอยให้รถวิ่งข้ามแยกด้วย (ตอนผมไปครั้งสุดท้ายยังไม่มีเลย แสดงว่าไม่ได้กลับไปนาน) จากเดิมที่เคยนั่งรถแต่เช้ามืดเพื่อไปกินข้าวเช้าที่ตรัง (ที่มีชื่อเสียงมานาน) ตอนนี้ร้านอาหารแบบนี้ก็มีทั่วไปในตัวจังหวัด ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงตรัง
 
แต่สุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องกลับ ก็ได้ไปกินข้าวเช้าที่ตรังอยู่ดี เพราะไหน ๆ ก็ต้องขึ้นเครื่องกลับที่นั่นอยู่แล้ว

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ชมเมืองพัทลุง ตอน สัมผัสวิถีชุมชม เยี่ยมชมสำนักตักศิลา MO Memoir : Monday 17 June 2562

บันทึกนี้เป็นการเดินทางในช่วงบ่ายของวันจันทร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ หลังจากออกจากบ่อน้ำร้อนที่เขาชัยสน จุดมุ่งหมายถัดไปที่ต้องการไปก็คือเมืองเก่าไชยบุรี ที่เป็นที่ตั้งเดิมของจังหวัดพัทลุง ซึ่งอยู่เหนือตัวเมืองปัจจุบันไปทางเหนือเล็กน้อย ใกล้กับวนอุทยานเมืองเก่าไชยบุรี สถานที่นี้ผมเคยแวะไปมาครั้งหนึ่งเมื่อราว ๆ ปี ๒๕๓๘ จำได้แต่ว่ามีแต่ซากเก่า ๆ ก็เลยอยากแวะไปดูอีก หลังจากวนหาอยู่พักหนึ่ง (เพราะป้ายบอกทางไม่ชัดเจน) ก็เลยต้องแวะถามเจ้าหน้าที่ที่ดูแลวนอุทยานว่าเมืองเก่าอยู่ที่ไหน ก็เลยได้ทราบว่าที่มีเหลือให้เห็นก็มีแต่ที่ตั้งศาลหลักเมืองเก่า ที่อยู่ในถนนซอยเล็ก ๆ แยกออกจากทางหลัก และเงียบมากแบบไม่มีคนไป และที่วัดเขาเมืองเก่า ที่มีเจดีย์เก่าตั้งอยู่บนเขาลูกเล็ก ๆ และด้านหลังของเขาลูกนั้นก็มีถ้ำพระ วันที่ผมไปถึงนั้นสถานที่กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงเส้นทางเดินขึ้นไปยังเจดีย์ ที่เดิมบันไดเดินขึ้นแหว่งหายเป็นช่วง ๆ ก็เลยไม่ได้ขึ้นไปถ่ายรูปจากบนยอดเขา

รูปที่ ๑ จุดแวะพักของการเดินทาง (1) ปากคลองศรีปากประที่เป็นแหล่งหนึ่งที่มีการยกยอกันและมีการโปรโมทให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงการจับปลาด้วยการยกยอก็มีให้เห็นกันทั่วไป (2) คลองนางเรียมที่เป็นคลองเชื่อมต่อระหว่างทะเลน้อยกับทะเลสาปสงขลาหรือที่คนพัทลุงเรียกว่าทะเลลำปำ (3) บริเวณอุทยานแห่งชาติทะเลน้อย (4) วัดเขาอ้อที่ขึ้นชื่อในเรื่องเป็นสำนักตักศิลาทางไสยเวทย์ในภาคใต้
  
รูปที่ ๒ บนเส้นทางจากแหลมจองถนนไปเขาชัยสน

รูปที่ ๓ ป้ายเล่าประวัติความเป็นมาของเมืองพัทลุงและศาลหลักเมือง ชื่อเก่าคือเมืองโบราณชัยบุรี

รูปที่ ๔ ศาลหลักเมืองโบราณชัยบุรี ตั้งอยู่ในบริเวณที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของอำเภอเมือง

รูปที่ ๕ ป้ายเล่าประวัติวัดเขาเมืองเก่า

รูปที่ ๖ เจดีย์วัดเขาเมืองเก่า ทางขึ้นเดิมชำรุดทรุดโทรม บันไดแหว่งหายเป็นช่วง ไม่สามารถเดินขึ้นไปข้างบนได้ (เว้นแต่ต้องปีนขึ้นไป) วันที่ไปนั้นกำลังอยู่ระหว่างการสร้างทางขึ้นใหม่

รูปที่ ๗ บริเวณด้านหลังของเจดีย์ จะมีถ้ำพระซ่อนอยู่

ถัดจากเยี่ยมชมเมืองเก่า จุดมุ่งหมายถัดไปก็เป็นการชมธรรมชาติ ไหน ๆ เส้นทางจากเมืองเก่าไปยังทะเลน้อยก็ต้องเลียบผ่านทะเลลำปำแล้ว คุณน้าก็เลยพาไปแวะที่ปากคลองปากประ ที่ปัจจุบันมีคนพยายามทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วยการไปชม "ยอ" ขนาดใหญ่ที่เขาใช้จับปลา
 
อันที่จริงการจับปลาด้วยการยกยอมันก็มีมานานแล้ว ผมเองก็เห็นตั้งแต่เด็กตอนเริ่มจำความได้ เวลานั่งรถไฟจากสถานีรถไฟธนบุรีลงใต้ ด้วยรถเร็วธนบุรี-สุไหลโกลก ที่ออกตอนทุ่มเศษ ที่จะไปสว่างตอนเช้าก่อนถึงทุ่งสง บริเวณจุดสะพานข้ามคลองบางแห่งก็จะเห็นมีการยกยอจับปลากันอยู่ทั่วไป
 
จะว่าไปบริเวณทะเลน้อยและทะเลลำปำก็เป็นแหล่งน้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์แหล่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถิ่นแถวนี้มีคนอยู่อาศัยไม่หนาแน่นหรือเปล่า ก็เลยไม่มีน้ำทิ้งจากที่พักอาศัยไหลลงสู่แหล่งน้ำนี้เป็นจำนวนมาก แถมยังไม่เป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมอีก ฝูงนกกินปลาจึงอาศัยอยู่ได้อย่างสบาย และสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่คนต่างถิ่นมักจะมาชมก็คือ "ควาย"
 
ควายที่เห็นแถวนี้เป็นควายเลี้ยง เวลาที่ทะเลน้อยน้ำแห้งมันก็จะออกมาเดินหากินหญ้าไปเรื่อย ๆ พอตกเย็นมันก็กลับเข้าคอกของมันเอง คนเลี้ยงก็มีอยู่หลายราย บางทีเขาก็มาปลูกเพิงชั่วคราวไว้นอนเฝ้าควาย ที่มันมีชื่อให้คนมาดูก็เพราะเวลาที่ทะเลน้อยน้ำเยอะ พื้นที่กินหญ้าของมันโดยน้ำท่วมหมด ฝูงควายมันก็เลยต้องว่ายน้ำออกมาหาหญ้าที่จมน้ำกิน กลายเป็นเรื่องแปลกที่ชวนให้ใครต่อใครต้องมาดู 
 
การจอดดูควายก็จอดได้บนสะพานที่สร้างข้ามทะเลน้อย เขามีจุดจอดรถพักสำหรับชมทิวทัศน์เป็นระยะ จอดรถแล้วก็ควรอยู่ในบริเวณจุดพักรถ อย่าล้ำออกมาบนถนน เพราะรถวิ่งกันเร็ว แต่ก่อนแถวนี้ไม่ค่อยมีรถเท่าใด แต่พอมีสะพานและถนนเส้นนี้ มันกลายเป็นทางลัดสำหรับการเดินทางไปยัง อ.ระโนด และ อ.สะทิงพระ จ.สงขลา การจราจรก็เลยหนาแน่นขึ้น บนสะพานนี้จะไม่มีการติดตั้งไฟส่องสว่าง ซึ่งผมว่าก็ดีแล้ว จะได้ไม่เป็นการรวบกวนธรรมชาติในเวลากลางคืน ถ้ารักธรรมชาติจริง ก็ต้องรักที่จะให้ตอนกลางคืนมันมืดมิดด้วย
 
หลายปีก่อนหน้านี้ผมมีโอกาสได้ไปพักที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งใกล้ทะเลน้อย รีสอร์ทนี้เป็นรีสอร์ทแรก ๆ ที่เพิ่งเปิดในบริเวณนั้น ยังได้สนทนากับเข้าของรีสอร์ทถึงความเป็นมาของท้องถิ่นแถวนี้ เรื่องหนึ่งที่เขาเล่าให้ฟังก็คือ "ช้างน้ำ" ซึ่งอันที่จริงมันก็คือช้างธรรมดานี่เอง แต่ในอดีตเคยมีความพยายามเอาช้างมาใช้เป็นแรงงานในบริเวณนี้ แต่ด้วยคงเป็นเพราะพืชท้องถิ่นนั้นไม่เหมาะที่จะเป็นอาหารช้าง การใช้ช้างเป็นแรงงานก็เลยเลิกไป แต่ก็ยังมีอยู่บ้างในบางโอกาส ที่เคยได้ยินคุณน้าเล่าให้ฟังก็คือปีหนึ่งที่มีพายุฝนแรง ทำให้ต้นยางพาราในส่วนต่าง ๆ เอนเอียง (ไม่ถึงกับล้ม) ก็มีการจ้างช้างให้มาดึงต้นยางพาราขึ้นตั้งตรง (ในสวนยางรถใหญ่เข้าไม่ได้)
 
ทะเลน้อยยังเป็นแหล่งผลิตผลิตภัณฑ์จักสานจากต้นกระจูด เรียกว่ามีขายในราคาถูกกว่าซื้อข้างนอกเยอะ ร้านค้าก็อยู่ฝั่งตรงข้ามที่ทำการอุทยานแห่งชาติ และติดกันก็คือร้านขายของกิน ที่ขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ "ไข่ปลาทอด" บางร้านเสียบไม้ขาย ขายกันไม้ละ ๒๐ บาท ถ้าสามไม้ก็ ๕๐ บาท มีหลายเจ้าที่ขาย บางร้านก็มีคนต่อคิวซื้อ ในขณะที่บางร้านก็ดูว่าง ๆ ไข่ปลาทอดนี้กินเปล่า ๆ ได้ไม่ต้องอาศัยน้ำจิ้มอะไร ถ้าไม่กลัวโคเลสเตอรอลขึ้นก็กินได้ตามสบาย
 
วันนั้นฝนไล่หลังมาจากทะเลน้อย จุดแวะสุดท้ายก่อนวนกลับทุ่งขึงหนังก็คือวัดเขาอ้อ วัดนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นสำนักตักศิลาทางไสยเวทย์ในภาคใต้ เล่ากันว่าขุนพันธรักษ์ราชเดชที่เป็นต้นตำรับของจตุคามรามเทพ ท่านก็มาอาบแช่น้ำว่านที่วัดนี้ ผมไปถึงตอนเย็นแล้ว ฝนทำท่ากำลังจะตก วัดก็เลยเงียบสงบ ก็เลยได้มีโอกาสเข้าไปไหว้พระและเยี่ยมชมถ้ำที่เป็นที่ตั้งของอ่างแช่น้ำแร่เดิม ก่อนกลับที่พักรอเวลาคุณน้าอีกคนเลี้ยงข้าวเย็นที่ร้านสเต็กหลานตาชู
 
ร้านสเต็กหลานตาชูผมเห็นเปิดมาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยไปกิน วันนั้นเป็นวันแรกที่เพิ่งจะได้แวะไป ถนนสาย ๔๑ จากพัทลุงมาควนขนุนแต่เดิมก็เงียบ ๆ เป็นเพียงแค่เส้นทางผ่านจากทุ่งสงไปหาดใหญ่ แต่พักหลังนี้ดูเหมือนตัวเมืองพัทลุงจะขยายออกมาทางเส้นนี้ สาเหตุหนึ่งก็คงเป็นเพราะเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุงด้วย ร้านนี้ก็เรียกว่าขึ้นชื่อขนาดมีคนเดินทางทั้งจากหาดใหญ่และนครศรีธรรมราชเพื่อมากินอาหารที่ร้านนี้

คงไม่ขอออกความเห็นว่าอาหารที่ร้านนี้เป็นอย่างไร แต่เอาเป็นว่าหลังจากเที่ยวมาทั้งวัน คืนนั้นก็หลับยาว

รูปที่ ๘ บรรยากาศบริเวณปากคลองปากประ

รูปที่ ๙ ศาลาบริเวณคลองนางเรียม ทะเลน้อย

รูปที่ ๑๐ ฝูงควายที่ออกมาหากิน ช่วงที่ไปนั้นฝนไม่ตกมา ๔ เดือน (พึ่งจะตกวันที่ผมเดินทางไปถึงพัทลุง) น้ำในทะเลน้อยเลยแห้งไปมาก ฝูงควายเลยไม่ต้องว่ายน้ำออกมาหากิน

รูปที่ ๑๑ บริเวณศาลาที่พักและพระตำหนักบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติทะเลน้อย ที่นี่นอกจากการดูนกและนั่งเรือชมดอกบัวบานในตอนเช้าแล้ว ก็ยังเป็นแหล่งขายของอร่อยคือ "ไข่ปลาทอด" และผลิตภัณฑ์จากต้นกระจูด (เช่นกระเป๋ารูปแบบต่าง ๆ) ในราคาถูกอีกด้วย เหมาะแก่การขนกลับไปเป็นของฝาก 

รูปที่ ๑๒ วัดเขาอ้อ สำนักตักศิลาทางไสยเวทย์ที่เป็นที่ขึ้นชื่อของภาคใต้

รูปที่ ๑๓ ปากถ้ำที่เป็นที่ตั้งของบ่อแช่น้ำว่านเดิม เล่ากันว่าขุนพันธรักษ์ราชเดช ก็มาแช่น้ำว่านที่วัดนี้

รูปที่ ๑๔ รางแช่น้ำว่านเดิม คือต้องลงไปนอนแช่

รูปที่ ๑๕ "ไข่ปลาทอด" มาถึงทะเลน้อยแล้วจะไม่กินก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นของอร่อยประจำท้องถิ่น นอกจากจะซื้อกินในวันนั้นแล้ว ยังซื้อแช่แข็งกลับมากินที่กรุงเทพอีก