แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สารอินทรีย์ในน้ำ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สารอินทรีย์ในน้ำ แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

การทำวิทยานิพนธ์ภาคปฏิบัติ ตอนที่ ๙ การฉีด GC MO Memoir : Tuesday 18 January 2554

เนื้อหาใน Memoir นี้เป็นการบันทึกสิ่งที่เล่าเอาไว้ในการประชุมเมื่อบ่ายวันวาน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ได้บอกให้สาวน้อยหน้าใสจากบางละมุงและสาวน้อยผมยาวจากชายแดนใต้ทำตอนฉีด GC แต่เรื่องที่เล่าเมื่อวานมันมีรายละเอียดมากกว่าที่เคยบอกให้ทำ และเห็นว่าสัปดาห์นี้กลุ่มสาวน้อยหน้าบาน (ผู้ซึ่งตัวจริงดูดีกว่ารูปถ่ายใน facebook) สาวน้อยนางเอกละคร (ถ้ารับบทเป็นแกะในละครเวทีนั้นก็คงโด่งดังไปแล้ว) และสาวน้อยนักร้องคาราโอเกะคู่หูสาวน้อยหน้าบาน กำลังจะทำการทดลองเช่นนี้ ก็เลยต้องเอามาเล่าไว้ให้ละเอียด


ปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวกำหนดอุณหภูมิคอลัมน์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ด้วยเครื่อง GC คือจุดเดือดและความแตกต่างของจุดเดือดขององค์ประกอบในสารตัวอย่างที่ต้องการวิเคราะห์ ในกรณีที่ตัวอย่างมีสารไม่มากชนิด และสารแต่ละชนิดมีจุดเดือดต่างกันพอสมควร (ต่างกันน้อยก็แยกยาก) เราก็มักจะตั้งอุณหภูมิให้คงที่ตลอดการวิเคราะห์ แต่ถ้าจุดเดือดของสารแต่ละตัวแตกต่างกันมากหรือมีสารจำนวนมาก หรือพีคมีการลากหาง เราก็มันจะใช้วิธีการตั้งโปรแกรมอุณหภูมิ โดยจะมีการเพิ่มอุณหภูมิอย่างต่อเนื่อง หรือเป็นระยะ ซึ่งขึ้นอยู่กับระบบควบคุมของเครื่องว่ายอมให้ทำแบบไหนได้

ตัวอย่างเช่นตัวอย่างของเรามีสาร ๓ ตัว สองตัวแรกมีจุดเดือดต่ำกว่าตัวที่สามมาก ในกรณีนี้ถ้าเราตั้งอุณหภูมิคอลัมน์เอาไว้ต่ำ เราจะแยกสาร ๒ ตัวแรกได้ แต่กว่าสารตัวที่สามจะหลุดออกมาจะกินเวลานาน และพีคที่ได้จะกว้างและเตี้ยและลากหางยาว แต่ถ้าเราตั้งอุณหภูมิคอลัมน์เอาไว้สูง พีคของสารที่สามจะออกมาเร็วและรูปร่างดี แต่พีคของ ๒ สารแรกนั้นอาจจะไม่แยกจากกัน ในกรณีเช่นนี้การใช้การตั้งโปรแกรมอุณหภูมิคอลัมน์จะช่วยได้ โดยการตั้งให้เครื่องทำงานที่อุณหภูมิต่ำเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อน เพื่อที่จะแยกพีค ๒ พีคแรกออกจากกัน จากนั้นจึงค่อยเพิ่มอุณหภูมิคอลัมน์ให้สูงขึ้น เพื่อให้พีคที่สามออกมาเร็วขึ้นและมีรูปร่างที่ดี

หรือในกรณีที่ตัวอย่างมีสารอยู่หลายชนิด และสารที่อยู่ในตัวอย่างนั้นมีจุดเดือดเรียงกันไปเป็นลำดับ (เช่นไฮโดรคาร์บอนในน้ำมัน) ในกรณีนี้เราต้องเริ่มจากตั้งอุณหภูมิคอลัมน์ช่วงแรกให้ต่ำไว้ก่อน เพื่อแยกพีคแรก ๆ ออกจากกัน แต่ถ้าไม่เพิ่มอุณหภูมิคอลัมน์ให้สูงขึ้น พีคที่ออกมาภายหลังจะกว้างขึ้นและซ้อนทับกัน การแยกจากกันไม่ชัดเจน การแก้ปัญหาทำได้โดยตั้งอุณหภูมิคอลัมน์เริ่มแรกให้ต่ำ จากนั้นก็ค่อย ๆ เพิ่มอุณหภูมิคอลัมน์ให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะทำให้พีคที่ออกมาภายหลังมีรูปร่างดีได้

แต่ถ้าเราต้องการวัดปริมาณสารเพียงสารเดียว (เช่นไฮโดรคาร์บอนที่ละลายอยู่ในน้ำที่เรากำลังจะทำการทดลองกันอยู่) เราก็ตั้งอุณหภูมิคอลัมน์ให้คงที่ได้เลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอให้เครื่องกลับมานิ่งหลังการวิเคราะห์ และเราก็ไม่จำเป็นต้องกดปุ่มหยุดการวิเคราะห์ภายหลังการฉีดแต่ละครั้ง อาจจะทำการฉีดต่อ ๆ กันหลายครั้งแล้วค่อยทำการหยุดการวิเคราะห์ เครื่องก็จะรายงานพื้นที่พีคแต่ละพีคออกมาให้เอง


เช่นในกรณีที่เราต้องการวัดความเข้มข้นของเบนซีนที่ละลายเข้าไปในน้ำ เราก็ตั้งอุณหภูมิคอลัมน์ให้คงที่ตลอดการวิเคราะห์ (ส่วนต้องตั้งเท่าไรนั้นกรุณาไปถามเอาจากสาวน้อยหน้าใสจากบางละมุงเอาเอง)

และก่อนที่จะเริ่มการวิเคราะห์นั้น ควรทดลองฉีดสารมาตรฐานเข้าไปก่อนในปริมาตรหนึ่งที่ทราบค่าแน่นอน เช่นอาจฉีดเบนซีนหรือแอลกอฮอล์ (เอทานอลหรือโพรพานอล) เข้าไปก่อนสักเข็ม พอได้พีคออกมาก็ฉีดเบนซีนหรือแอลกอฮอล์เข้าไปซ้ำอีกโดยไม่ต้องกดปุ่มหยุดการวิเคราะห์ระหว่างการฉีด (ดูรูปที่ ๑) เหตุผลที่ต้องให้ทำเช่นนี้ก็เพราะเพื่อเก็บไว้เป็นข้อมูลตรวจสอบว่า ในการเปิดเครื่องแต่ละครั้งนั้น ความว่องไวของ detector นั้นเหมือนกันทุกครั้งหรือเปล่า เช่นครั้งนี้เราวัดพื้นที่พีคของสารมาตรฐานได้ 500000 ถ้าวันถัดมาเปิดเครื่องแล้วทดลองฉีดสารมาตรฐานแล้วพบว่าค่าพื้นที่พีคที่ได้แตกต่างไปจากค่านี้ ก็แสดงว่าความว่องไวของ detector ในครั้งหลังนี้แตกต่างไปจากของการวิเคราะห์ก่อนหน้า ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถนำผลการวิเคราะห์จากการวัดทั้งสองครั้งมาเปรียบเทียบกันได้ ดังนั้นถ้าพบว่าค่าพีคที่ได้ในครั้งหลังแตกต่างไปจากครั้งก่อนหน้า ก็ต้องตรวจหาสาเหตุและทำการปรับแต่งเครื่องให้มีความว่องไวเหมือนกันก่อน จากนั้นจึงค่อยทำการวิเคราะห์ตัวอย่าง ถ้าเป็น FID ตัวที่มักก่อปัญหาคือสัดส่วนระหว่างอากาศและไฮโดรเจนที่ใช้ และถ้าเป็น TCD ก็มักเป็นที่กระแสกับอัตราการไหลของ carrier gas เรื่องนี้เคยกล่าวเอาไว้ครั้งหนึ่งใน Memoir ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๒ เรื่องข้อควรปฏิบัติในการใช้เครื่องแก๊สโครมาโทกราฟ

รูปที่ ๑ ก่อนเริ่มทำการวิเคราะห์นั้น ควรที่จะทำการฉีดสารมาตรฐานเข้าไปก่อนสัก 2-3 เข็ม แล้วนำค่าพื้นที่พีคที่ได้มาเฉลี่ย เราจะใช้ค่านี้เป็นค่าตรวจสอบว่าความว่องไวของ detector ในการเปิดเครื่องแต่ละครั้งเหมือนกันหรือไม่

ตรงนี้อาจมีปัญหาตรงที่ตัวอย่างที่จะวิเคราะห์นั้นมีความเข้มข้นต่ำ (เบนซีนที่ละลายอยู่ในน้ำ) ดังนั้นถ้าเราใช้เบนซีนบริสุทธิ์เป็นตัวฉีดเข้าไป พื้นที่พีคของเบนซีนบริสุทธิ์ที่ฉีดเข้าไป (แม้ว่าจะฉีดในระดับไมโครลิตร) ก็จะมากกว่าพื้นที่พีคที่จะได้จากการวิเคราะห์ตัวอย่างมาก ในย่อหน้าข้างบนผมถึงเสนอให้ฉีดแอลกอฮอล์ (เช่นเอทานอล) แทน เพราะความแรงของสัญญาณที่ได้จะต่ำกว่า (เราไม่ได้เอาพีคเบนซีนบริสุทธิ์มาใช้ในการคำนวณปริมาณเบนซีนในตัวอย่าง เราใช้เพียงแค่เป็นตัวทดสอบความว่องไวของ detector ว่าในการเปิดเครื่องแต่ละครั้งมีความว่องไวเหมือนกันหรือไม่) หรือถ้าใช้แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ยังได้สัญญาณแรงเกินไปอีก ก็คงต้องทำการเตรียมสารละลายของแอลกอฮอล์ในน้ำเอาไว้เป็นตัวทดสอบ


เมื่อเริ่มทำการทดลอง ซึ่งเราจะเก็บตัวอย่างที่เวลาต่าง ๆ กัน พอเราเก็บตัวอย่างที่เวลาแรกมากฉีด GC ก็กดปุ่มให้เครื่องเริ่มทำการเก็บข้อมูล และฉีดตัวอย่างที่เวลาแรกเข้าไป จากนั้นก็ปล่อยให้เครื่องทำงานต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องไปกดหยุดเมื่อได้พีคออกมา พอเก็บตัวอย่างที่สองมาก็ฉีดต่อเข้าไปได้เลย ทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เราก็จะได้โครมาโทแกรมที่มีพีคเรียงลำดับออกมาดังตัวอย่างในรูปที่ ๒ พอได้พีคมาหลาย ๆ พีคหรือไม่ก็ปล่อยไปจนสิ้นสุดการทดลอง ก็กดปุ่มให้เครื่องหยุดการเก็บข้อมูลและพิมพ์พื้นที่พีคออกมา

รูปที่ ๒ ตัวอย่างโครมาโทแกรมที่ได้จากการฉีดสารตัวอย่างเข้าไปเป็นระยะโดยไม่มีการหยุดการเก็บข้อมูลก่อนที่จะทำการฉีดตัวอย่างใหม่

ในสัปดาห์ที่แล้วมีปัญหาเรื่องในระหว่างการทดลองนั้น เข็มที่ใช้ฉีด GC เกิดความเสียหายจนไม่สามารถใช้งานต่อได้ และเนื่องจากไม่มีเข็มขนาดเดียวกันให้ใช้ มีแต่เข็มขนาดใหญ่กว่า จึงทำให้ผู้ทำการทดลองต้องยุติดการทดลอง ผมก็บอกเขาไปว่าในกรณีเช่นนี้ถ้าเรามีเข็มที่มีขนาดใหญ่กว่า (แต่ไม่แตกต่างกันมาก) เราก็นำเอาเข็มขนาดนั้นมาใช้แทนได้ แล้วค่อยจัดการหารพื้นที่พีคที่ได้ภายหลัง

เช่นสมมุติว่าปรกติเราใช้เข็มขนาด 1 ไมโครลิตรฉีดตัวอย่างทีละ 1 ไมโครลิตร แต่พอเข็มขนาด 1 ไมโครลิตรเกิดความเสียหายไม่สามารถใช้งานต่อได้ และเราก็ไม่มีเข็มขนาดนี้สำรองเอาไว้ มีแต่เข็มขนาด 5 ไมโครลิตร เราก็เอาเข็มขนาด 5 ไมโครลิตรนี้มาใช้แทน และฉีดตัวอย่างในปริมาตร 5 ไมโครลิตรแทน เวลาทำพื้นที่พีคมาวิเคราะห์ก็ต้องเอาพื้นที่พีคที่ได้จากการฉีดตัวอย่าง 5 ไมโครลิตรมาหาร 5 ก่อน จึงจะนำไปเปรียบเทียบกับพื้นที่พีคที่ได้จากการฉีดตัวอย่าง 1 ไมโครลิตรได้

ตรงนี้อาจมีบางคนตั้งคำถามว่าแล้วทำไมไม่ใช้เข็มขนาด 5 ไมโครลิตรฉีดตัวอย่างปริมาตร 1 ไมโครลิตร คำตอบก็คือมันจะมีความคลาดเคลื่อนที่สูง ความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์ในการอ่านขีดสเกลบนตัวเข็มนั้นจะมีขนาดประมาณได้ว่าเท่ากันเสมอไม่ว่าจะเป็นการอ่านขีดที่ 1 ไมโครลิตรหรือที่ 5 ไมโครลิตร (เช่นสมมุติว่าจะอ่านได้คลาดเคลื่อน 0.05 ไมโครลิตร) แต่เมื่อคิดเป็นค่าความคลาดเคลื่อนสัมพัทธ์จะพบว่าการฉีดที่ 5 ไมโครลิตรจะมีค่าความคลาดเคลื่อนสัมพัทธ์ที่ต่ำกว่า (0.05 จาก 5 จะมีค่าน้อยกว่า 0.05 จาก 1)


ตอนแรกว่าจะออก Memoir ฉบับนี้ตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว แต่เนื่องจากต้องไปชมวิวทิวทัศน์อ่าวไทยที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ก็เลยต้องเลื่อนกำหนดการออก Memoir มาเป็นตอนกลางคืนแทน ใครที่ไม่ได้ไปก็รอดูรูปทาง facebook ก็แล้วกัน

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

BOD และ COD MO Memoir : Wednesday 16 December 2552


เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีสมาชิกของกลุ่มที่จบการศึกษาจากกลุ่มไปแล้ว (แต่ก็ยังวนเวียนอยู่แถวนี้ ยังไม่ไปไหน) มาถามเรื่องเกี่ยวกับการกำจัดสารอินทรีย์ที่ละลายอยู่ในน้ำเพื่อที่จะไปเตรียมสอบ เนื่องจากเห็นว่าเรื่องดังกล่าวมีประเด็นที่น่าสนใจอยู่หลายข้อจึงขอนำมาเล่าให้ฟังในบันทึกฉบับนี้ (ไม่รู้ว่าจะช่วยคนที่กำลังจะสอบอยู่เร็ว ๆ นี้หรือเปล่า)

การทำลายสารอินทรีย์ที่ละลายปนเปื้อนอยู่ในน้ำทิ้งนั้นนับว่าเป็นปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่งในการบำบัดน้ำเสีย สารอินทรีย์ที่ละลายอยู่ในน้ำทิ้งนั้นแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภทด้วยกันคือ พวกที่แบคทีเรียสามารถย่อยสลายได้ และพวกที่แบคที่เรียไม่สามารถย่อยสลายได้

สารอินทรีย์ประเภทที่แบคทีเรียสามารถย่อยสลายได้นั้นไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าใดนักในการจัดการ เพราะเพียงแค่มีบ่อบำบัดและมีเชื้อแบคทีเรีย และให้เวลาเชื้อมันทำงานสักหน่อย สารอินทรีย์นั้นก็จะหมดไปด้วยการบริโภคของแบคทีเรีย แม้ว่าในน้ำทิ้งจะมีสารอินทรีย์ประเภทนี้อยู่มาก แต่ถ้าให้เวลามันเพียงพอมันก็จัดการได้

ส่วนสารอินทรีย์ประเภทที่แบคที่เรียไม่สามารถย่อยสลายได้นั้นเป็นพวกที่ก่อให้เกิดปัญหามาก เพราะพวกนี้จะตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เป็นเวลานาน และสามารถเข้าไปสะสมอยู่ในสิ่งมีชีวิตได้ สารอินทรีย์ประเภทหลังนี้มีปัญหามากในการทำลาย ตัวอย่างสารอินทรีย์ประเภทนี้ได้แก่พวกที่มีโครงสร้างแอโรแมติกต่าง ๆ เช่น ฟีนอล และอัลคิลเบนซีน

ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสารอินทรีย์ที่อยู่ในน้ำทิ้งของเรานั้นเป็นสารอินทรีย์ประเภทไหน ในปริมาณเท่าใด

การวัดปริมาณสารอินทรีย์ที่อยู่ในน้ำทิ้งนั้นวัดจากปริมาณออกซิเจนที่ใช้ในการทำลายสารอินทรีย์นั้น ออกซิเจนที่ใช้ในการทำลายสารอินทรีย์นั้นมีอยู่ ๒ ชนิดด้วยกัน คือออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ำ (dissolved oxygen หรือ DO) และออกซิเจนจากสารเคมีที่เติมเข้าไป

ปริมาณสารอินทรีย์ที่แบคทีเรียย่อยสลายได้วัดได้จากค่าที่เรียกว่า Biological Oxygen Demand - BOD (หรือบางทีเรียกว่า Biochemical Oxygen Demand) การวัดค่า BOD ทำโดยการนำน้ำตัวอย่างมาผสมกับน้ำบริสุทธิ์ที่มีออกซิเจนละลายอยู่จนอิ่มตัวและเชื้อแบคทีเรีย จากนั้นนำตัวอย่างไปเก็บไว้ในที่มืดที่อุณหภูมิ ๒๐ องศาเซลเซียสเป็นเวลา ๕ วัน (การเก็บในที่มืดก็เพื่อป้องกันการเกิดการสังเคราะห์แสง ซึ่งจะทำให้ปริมาณออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ำเพิ่มสูงขึ้น) จากค่าผลต่างระหว่างปริมาณออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ำบริสุทธิ์เริ่มต้น (DOinitial) และปริมาณออกซิเจนที่เหลืออยู่ในตัวอย่างหลังเวลาผ่านไป ๕ วัน (DOfinal) และปริมาณตัวอย่างต่อน้ำบริสุทธิ์ที่ใช้ ก็จะสามารถคำนวณปริมาณออกซิเจนที่แบคทีเรียใช้ในการบริโภคสารอินทรีย์ได้ (บางทีก็เรียกค่านี้ว่า BOD5)

จะเห็นว่าการวัดค่า BOD นั้นค่อนข้างยุ่งยากและที่สำคัญคือใช้เวลามาก (ตั้ง ๕ วัน) ทำให้หลายรายไม่ชอบวัดค่า BOD ในน้ำทิ้ง แต่หันไปวัดค่า COD แทน COD ย่อมาจากคำว่า Chemical Oxygen Demand คือปริมาณออกซิเจนที่ต้องใช้ในการทำลายสารอินทรีย์ให้กลายไปเป็น CO2 H2O และ NH3 (ถ้ามีไนโตรเจนอยู่ด้วย) ออกซิเจนที่ใช้ทำลายสารอินทรีย์ดังกล่าวได้มาจากสารเคมีที่เติมเข้าไป เดิมที่นิยมใช้กันคือเปอร์แมงกาเนต (MnO4-) แต่ในปัจจุบันจะใช้ไดโครเมต (Cr2O72-) ในสารละลายที่เป็นกรด
COD นั้นจะเป็นการวัดปริมาณออกซิเจนที่ต้องใช้เพื่อทำลายสารอินทรีย์ทั้งชนิดที่แบคทีเรียย่อยสลายได้และแบคทีเรียย่อยสลายไม่ได้ ดังนั้นจะว่าไปแล้วค่า COD ควรมีค่ามากกว่าค่า BOD ถ้าต้องการทราบปริมาณสารอินทรีย์ที่แบคทีเรียย่อยสลายไม่ได้ก็ต้องวัดทั้งค่า COD และค่า BOD จากนั้นจึงนำค่า BOD มาหักออกจากค่า COD

การลดปริมาณสารอินทรีย์ที่แบคทีเรียย่อยสลายไม่ได้ในน้ำทิ้งนั้นมีปัญหาหลายประการ เช่นการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์จะพบกับปัญหาอุณหภูมิของน้ำทิ้งที่ต่ำและความเข้มข้นของออกซิเจนที่สามารถละลายอยู่ในน้ำได้นั้นต่ำมาก ทำให้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำงานได้ดีกับเฟสแก๊สไม่สามารถทำงานได้ดีกับเฟสของเหลว และยังมีปัญหาเรื่องสิ่งปนเปื้อนต่าง ๆ ในน้ำที่จะไปปิดปกคลุมผิวตัวเร่งปฏิกิริยา (เกิด fouling) จนทำให้ตัวเร่งปฏิกิริยาทำงานไม่ได้

การใช้สารออกซิไดซ์ที่เป็นของเหลวเติมลงไปในน้ำก็เป็นวิธีการหนึ่งในการลดค่า COD (แต่ไม่ได้หมายความว่าไปเพิ่มค่า BOD นะ) แต่สารออกซิไดซ์ที่เติมลงไปก็อาจทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมา เช่นพวกที่เป็นสารประกอบของโลหะหนัก (เช่นเปอร์แมงกาเนตหรือไดโครเมต) ก็จะก่อให้เกิดปัญหาโลหะหนักในน้ำทิ้งแทน พวกที่เป็นสารประกอบคลอไรต์ (ตระกูลน้ำยาฟอกสีหรือซักผ้าขาว) ก็จะทำให้เกิดปัญหาน้ำเค็มจากเกลือ NaCl ที่เกิดขึ้น ตัวที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาเพิ่มเติมเห็นจะมีแต่ H2O2 เท่านั้น แต่สารนี้ก็มีราคาแพง

อันที่จริงแล้วเป็นการยากที่จะหวังว่าสารออกซิไดซ์ที่เติมลงไปนั้นจะทำลายสารอินทรีย์ที่แบคทีเรียย่อยสลายไม่ได้ให้กลายเป็น CO2 H2O และ NH3 ทั้งหมด ที่คาดหวังได้มากกว่าคือสารออกซิไดซ์ที่เติมลงไป เข้าไปทำการออกซิไดซ์ สารอินทรย์ที่แบคทีเรียย่อยสลายไม่ได้ (หรือทำลายโมเลกุลเดิม) ให้กลายเป็นโมเลกุลใหม่ที่แบคทีเรียสามารถย่อยสลายได้ ดังนั้นจึงมีงานวิจัยหลายงานที่ทำการวิจัยตรงจุดนี้ (เปลี่ยนโมเลกุลสารตั้งต้นเดิมที่แบคทีเรียย่อยสลายไม่ได้ ให้กลายเป็นโมเลกุลใหม่ที่แบคทีเรียย่อยสลายได้) แต่การอ่านและแปลผลการทดลองดังกล่าวก็ต้องใช้ความระมัดระวังอยู่เหมือนกัน

อย่างที่บอกเอาไว้แล้วว่าการวัดปริมาณสารอินทรีย์ที่ย่อยสลายได้นั้นต้องดูจากค่า BOD แต่การวัดค่า BOD นั้นยุ่งยากและใช้เวลานาน ทำให้หลายงานวิจัยหลีกเลี่ยงไปใช้การวิเคราะห์ค่า COD แทน แต่ค่า COD ลดลงก็ไม่ได้หมายความว่าค่า BOD จะเพิ่มขึ้น มันขึ้นอยู่กับว่าผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากการออกซิไดซ์นั้นแบคทีเรียสามารถย่อยสลายได้หรือเปล่า

ตัวอย่างเช่นสารตั้งต้นของเราอาจเป็นเบนซีน (C6H6) 100 โมเลกุล และเมื่อเราทำการออกซิไดซ์ด้วย H2O2 ให้กลายเป็นฟีนอล (C6H5OH) 100 โมเลกุล แล้ววัดค่า COD ก่อนการออกซิไดซ์และหลังการออกซิไดซ์ เราจะพบว่าค่า COD หลังการออกซิไดซ์จะลดลง ทั้งนี้เป็นเพราะเราได้เติมออกซิเจนเข้าไปอยู่ในโมเลกุลผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น (ลองเขียนสมการเคมีดูก็ได้ จะเห็นว่าปริมาณออกซิเจนที่ต้องใช้ในการทำลายเบนซีนให้กลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำจะสูงกว่าปริมาณออกซิเจนที่ต้องใช้ในการทำลายฟีนอลให้กลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ) แต่ถ้าดูจากปริมาณสารอินทรีย์ที่แบคทีเรียย่อยสลายไม่ได้ที่ยังคงค้างอยู่ในน้ำทิ้ง ก็จะเห็นว่ามีอยู่ 100 โมเลกุลเท่าเดิม (แบคทีเรียไม่ย่อยสลายเบนซีนและฟีนอล)

ในบางครั้งผู้วิจัยอาจหลีกเลี่ยงการวัดค่า COD แล้วไปใช้การวัดปริมาณสารตั้งต้นที่หายไปแทน สาเหตุเป็นเพราะการออกซิไดซ์ดังกล่าวนั้นเป็นการออกซิไดซ์แบบไม่เลือกเกิด และผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นก็มีสารพัดอย่าง เช่นอาจทำการออกซิไดซ์สาร A (ซึ่งเป็นสารที่แบคทีเรียย่อยสลายไม่ได้) ไปเป็นสาร B C D ฯลฯ (ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นสารที่แบคทีเรียย่อยสลายได้หรือไม่) ซึ่งเมื่อทำการวิเคราะห์แล้วก็จะพบว่าปริมาณสาร A ที่เหลืออยู่นั้นลดลง (และค่า COD ก็ลดลงด้วย) แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า "ปัญหา" น้ำเสียจะลดลง เพราะถ้าสาร B C D ฯลฯ ที่เกิดขึ้นใหม่นั้นเป็นสารอินทรีย์ที่แบคทีเรียย่อยสลายไม่ได้ ปัญหามันก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือถ้าเราออกซิไดซ์สารอินทรีย์เดิมให้กลายเป็นสารอินทรีย์ตัวใหม่ ทำให้ค่า COD ของน้ำลดลง แล้วความเป็นพิษของน้ำนั้นจะเป็นอย่างไร ถ้าสารอินทรีย์ตัวเดิมนั้นมีความเป็นพิษต่ำ แต่พอถูกออกซิไดซ์แล้วได้สารตัวใหม่ (oxygenate) ที่มีความเป็นพิษสูงกว่าเดิม การกระทำดังกล่าวก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ดีนัก ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีใครที่ทำงานวิจัยด้านนี้เคยมองประเด็นนี้บ้างหรือเปล่าเพราะไม่ได้อยู่ในวงการนี้ เท่าที่เคยเห็นก็พูดแต่ลดค่า COD แต่ไม่พูดถึงความเป็นพิษของผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาการออกซิไดซ์ดังกล่าว