แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เซนต์คาเบรียล แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เซนต์คาเบรียล แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2560

โน๊ตเพลง โรงเรียนเซนต์คาเบรียล MO Memoir : Sunday 16 April 2560

ตอนที่ผมเข้าเรียนป. ๑ ที่โรงเรียนนี้ (พ.ศ. ๒๕๑๕) บราเดอร์ มาร์ติน (ประทีป โกมลมาศ) เป็นอธิการของโรงเรียน มีมาสเตอร์ชนะ ธนสมบูรณ์ เป็นอาจารย์ใหญ่ ตอนเรียนป. ๓ ก็มีมาสเตอร์ณรงค์ ทิวไผ่งาม เป็นมาสเตอร์ประจำชั้น (นามสกุลของมาสเตอร์สองคนหลังนี่หลายคนอาจจะคุ้น ๆ ว่าเป็นชื่อของโรงเรียน)
 
ตอนเรียนดนตรีสมัยนั้นก็เรียนขับร้อง กับเรียนอ่านโน๊ต เครื่องดนตรีเครื่องแรกที่หัดเล่นก็คือ recorder หรือที่เรียกเป็นภาษาไทยว่า "ขลุ่ยฝรั่ง" บ้าง "ขลุ่ยสากล" บ้าง หรือไม่ก็เรียกทับศัพท์ว่า "ขลุ่ยรีคอร์เดอร์" ซึ่งขลุ่ยที่ใช้ตอนเรียนชั้นประถมนั้น ตอนนี้ก็ยังเก็บเอาไว้อยู่ ยังเป่าได้เหมือนเดิม
 
พอขึ้นมัธยมก็โดนเพื่อนลากไปร่วมวงดุริยางค์ของโรงเรียน โดนจับไปเล่นทรัมเป็ต แต่ตอนนี้ถ้าให้เอามาเป่าใหม่ก็คงเป่าไม่ดังแล้ว เพลงส่วนใหญ่ที่เล่นกันตอนนั้นก็จะเป็นเพลงของโรงเรียน ใช้เวลาโรงเรียนมีงานคริสต์มาสกับงานกีฬาสีที่เรียกว่า "College Day" ครูผู้ควบคุมวงตอนนั้นดูเหมือนว่าท่านมาจากวงดุริยางค์ทหารเรือ ดุน่าดูเหมือนกัน เสียดายที่ตอนนี้นึกชื่อท่านไม่ออกจริง ๆ นึกได้แค่คลับคล้ายคลับคลา จำได้แต่ว่าท่านมีพันธุกรรมพิเศษอยู่อย่างคือมีขนที่หูยาว
 
การจัดแบ่งสายกีฬาสีตอนผมเรียนนั้น ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (ที่เปลี่ยนมาเป็นชั้นมัธยมปลายในภายหลัง) จัดให้เป็นสีแสด (Saint Mary) ส่วนตั้งแต่ชั้นป. ๑ ไปจนถึง ม.ศ. ๓ (หรือ ม. ๓ ในช่วงถัดมา) ก็จะแบ่งเป็นสีต่าง ๆ กันตามห้อง คือห้อง ก (หรือหัอง A) เป็นสีเหลือง ห้อง ข (หรือห้อง B) เป็นสีแดง ห้อง ค (หรือห้อง C) เป็นสีเขียว ห้อง ง (หรือห้อง D) เป็นสีน้ำเงิน ห้อง จ (หรือห้อง E) เป็นสีชมพู ตอนหลังมีห้อง ฉ (หรือห้อง F) เพิ่มเข้ามา เป็นสีม่วง งานวันกีฬาสีก็จะจัดกันสองวัน เป็นของระดับประถมหนึ่งวัน และระดับของมัธยมหนึ่งวัน กีฬาระดับประถมก็จะเป็นการเล่นกันสนุก ๆ ทั่วไป ส่วนกีฬาระดับมัธยมถ้าเป็นกีฬาประเภททีม (เช่น ฟุตบอล บาส วอลเลย์) ก็จะแข่งกันก่อนหน้านั้นแล้ว วัน College day จะแข่งเฉพาะกรีฑาเป็นหลัก เวลาแข่งก็จะแบ่งกลุ่มกันตามความสูง ว่าเป็นรุ่น จิ๋ว เล็ก กลาง และใหญ่ ทางสายแสดก็มักจะกวาดเหรียญรุ่นใหญ่ไปเกือบหมด แต่มักจะหาตัวลงแข่งพวกรุ่นจิ๋วและรุ่นเล็กไม่ได้
 
การที่เขาจัดแบ่งสายแสดอย่างนี้คงเป็นเพราะทางโรงเรียนอยากให้นักเรียนชั้นมัธยมปลายนั้นได้ทำกิจกรรมร่วมกันก่อนจะจบจากโรงเรียน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่อย่างนี้แล้ว
 
โน๊ตเพลงที่เอามาฝากในวันนี้ไม่ไม่ได้ทำการเขียนขึ้นใหม่ แต่เอาโน๊ตที่ได้มาตอนเรียนเมื่อเกือบ ๔๐ ปีที่แล้วมา สแกนแล้วนำมาลงเลย เพลงเหล่านี้นอกจากเพลงประจำโรงเรียน (ที่ชื่อเพลง "น้ำเงินขาว" หรือ "มาร์ชเซนต์คาเบรียล") กับเพลง "สีรุ้งเลือดเซนต์ ฯ" ก็ไม่แน่ใจว่าจะยังคงรู้จักกันอยู่หรือเปล่า เพลง "สดุดีอธิการ" น่าจะเป็นเพลงเฉพาะกิจแต่ให้กับบราเดอร์มีศักดิ์ 
  
วันนี้ก็คงขอจบเพียงแค่นี้


 


วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

๕๐ ปีเซนต์คาเบรียล (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๘๐) MO Memoir : Monday 8 September 2557

โรงเรียนอนุบาลที่ผมเรียนนั้นตั้งอยู่ในซอย เดินจากถนนสามเสนเข้าไปก็อยู่ทางขวามือ ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนเป็นป่าช้าฝรั่ง (ที่ฝังศพผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิก) ประตูทางเข้าป่าช้าก็ดูเหมือนว่าจะอยู่ฝั่งตรงข้ามใกล้ ๆ กับประตูโรงเรียน จำได้ว่าตอนเรียนอนุบาล ๒ นั้น พอเลิกเรียนตอนเย็น พี่ชายของผมที่เรียนประถม ๑ อยู่ที่โรงเรียนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของป่าช้าฝรั่ง จะเดินมารับผมที่โรงเรียนอนุบาล พาผมเดินตัดป่าช้าฝรั่ง และก่อนจะเข้าประตูโรงเรียนที่พี่ชายผมเรียนอยู่นั้น จะต้องเดินผ่านหลุมฝังศพที่อยู่บนดิน มีไม้กางเขนปักอยู่ ตอนเด็ก ๆ ก็เดินอ้อมซ้ายหรือไม่ก็อ้อมขวาไม้กางเขนนั้น จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เคยคิดสงสัยเหมือนกันว่าเขาฝังศพไว้ทางฝั่งไหน แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร
   
สิ่งหนึ่งที่คุณแม่ของผมเล่าให้ลูกของผมฟัง (หรือย่าเล่าเรื่องให้หลานฟัง) ก็คือตอนเช้าเวลาคุณแม่ไปส่งผมที่โรงเรียนอนุบาล ผมจะกอดคุณแม่ไว้แน่นไม่ยอมเข้าโรงเรียน ร้องไห้อยู่หน้าประตู ต้องให้คุณครูอนุบาลมาแกะเอาตัวผมออกจากตัวคุณแม่ ตอนลูกยังเล็กเวลาไปส่งลูกที่โรงเรียนใหม่ หรือเวลาเดินผ่านหน้าโรงเรียนตอนเปิดเทอม เห็นเด็กเล็กร้องไห้ไม่ยอมเข้าเรียน เกาะคุณพ่อคุณแม่ซะแน่น ก็ทำให้นึกถึงภาพตัวเองตอนเด็ก ๆ ที่เคยเป็นเช่นนั้น และนั่นคงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเข้าใจว่า ทำไมในสายตาของคนเป็นพ่อเป็นแม่แล้ว จะเห็นลูก ๆ เป็นเด็กเล็ก ๆ น่ารักเสมอ
  
นั่นคือเมื่อราว ๆ ปีพ.ศ. ๒๕๑๓-๒๕๑๔ หรือเมื่อกว่า ๔๐ ปีที่แล้ว โรงเรียนอนุบาลที่ผมเคยเรียนนั้นตอนหลังก็มีการตั้งสาขาหลายที่ ส่วนสถานที่แรกที่ผมเคยเรียนอยู่นั้นตอนนี้เป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าทางฝั่งธนแถวบ้านผมก็มีโรงเรียนนี้มาเปิดสาขาอยู่


รูปที่ ๑ หนังสือ ๕๐ เซนต์คาเบรียลที่ผมมีอยู่ เสียดายที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๕๔
  
พอขึ้นป. ๑ ก็ได้ย้ายไปอยู่โรงเรียนเดียวกับที่พี่ชายผมเรียนอยู่ ได้อยู่ห้อง ป. ๑ ค หรือนับแบบฝรั่งก็เป็น ป. ๑ C (เขามีห้อง ก ข ค และ ง หรือ A B C และ D จำไม่ได้ว่าตอนนั้นมีห้องมากกว่านี้หรือไม่) อาคารที่เป็นตึกเรียนของชั้นป. ๑ - ป. ๔ นั้นเป็นอาคารที่เรียกว่าตึกประถม เป็นอาคารรูปตัว L อยู่ทางมุมด้านในของโรงเรียน ด้านที่เป็นชั้น ป. ๑ และ ป. ๒ มีสองชั้น ป. ๑ อยู่ข้างล่าง ป. ๒ อยู่ข้างบน ด้านที่เป็นชั้น ป. ๓ และ ป. ๔ มี ๓ ชั้น ชั้นล่างสุดเป็นลานโล่ง ๆ ชั้น ๒ เป็นชั้น ป. ๓ และชั้น ๓ เป็นชั้น ป. ๔ ตึกที่ผมเรียกว่าตึกประถมหลังนี้ปัจจุบันก็ไม่เหลือแล้ว ถูกสร้างใหม่เป็นอาคารสูงแทน
  
พอเข้าประตูใหญ่โรงเรียนมา ตรงไปจะเป็นถนนเดินเข้าไปข้างใน มีตึกเก่า ๆ ที่เรียกว่าตึกแดงอยู่ขวามือ มีอาคารหอประชุมอยู่ทางด้านซ้าย ด้านระหว่างอาคารหอประชุมกับรั้วริมถนนสามเสนเป็นอาคารสถานพยาบาล จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ก็เคยไปนั่งเล่นที่นั่น ต่อมาถูกรื้อออก กลายเป็นลานจอดรถที่มีน้ำพุอยู่ตรงกลาง ถ้าเดินเลยอาคารหอประชุมไปจะเป็นโรงอาคารที่สร้างติดอยู่กับอาคารหอประชุม ตอนนั้นโรงอาหารยังเป็นเพียงแค่เรือนโล่ง ๆ ชั้นเดียวมีหลังคาคลุม โรงเรียนมีสนามฟุตบอลอยู่ตรงกลาง ทางด้านทิศใต้ของสนามฟุตบอลจะเป็นอัฒจรรย์และมีทางเดินอยู่ข้างใต้สำหรับเดินไปยังตึกประถม
  
ทางด้านทิศตะวันตกของโรงเรียนเป็นอาคารที่เรียกว่าตึกยิมเนเซียม เพราะชั้นล่างสุดเป็นสนามบาสเก็ตบอล เวลาฝนตกก็จะหลบเข้ามาเรียนพละศึกษากันในตึกนี้ ชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้าโล่ง ๆ ให้วิ่งเล่นได้ ตอนเรียน ป. ๕ - ป. ๖ ก็มาเรียนอยู่ที่ตึกนี้ ส่วนโรงอาหารเดิมนั้นจำไม่ได้ว่าถูกรื้อไปเมื่อใด จำได้แต่ว่าพอขึ้นมาเรียนชั้นมัธยม ๑ นั้น (ผมเป็นรุ่นแรกที่เขาเปลี่ยนจากชั้น ป. ๗ แล้วขึ้นต่อมัธยมศึกษา (ที่เรียกย่อ ๆ ว่า ม.ศ. ที่มีตั้งแต่ ม.ศ. ๑ - ม.ศ. ๕) มาเป็นจาก ป. ๖ ก็ขึ้นเป็นมัธยม ๑ (หรือ ม. ๑) จนถึงมัธยม ๖ (หรือ ม. ๖) ที่ใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้) ก็ได้ไปเรียนที่อาคารหลังใหม่ที่สร้างขึ้นต่อเนื่องกับอาคารหอประชุม ตอนเรียนม. ๑ ถึง ม. ๓ ก็เรียนที่ตึกนั้น
  
พอขึ้น ม. ๔ ก็ย้ายตึกอีก คราวนี้มาเรียนที่ตึกที่เรียกว่าตึกวิทยาศาสตร์ ตึกนี้สร้างต่อเนื่องกับตึกแม่พระ (รวมสองตึกก็เป็นรูปตัวแอลอยู่ที่มุมทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของโรงเรียน) จากห้องเรียน ม. ๔ นี้มองข้ามรั้วไปจะเป็นโรงเรียนที่อยู่ติดกันที่รับเฉพาะนักเรียนหญิงล้วน (โรงเรียนของผมเป็นโรงเรียนชายล้วน) ตึกวิทยาศาสตร์นี้มีห้องแลปสำหรับทดลองวิชาฟิสิกส์และเคมี ผมเองได้สัมผัสกับวิชาเคมีครั้งแรกก็ที่ตึกนี้ พอขึ้น ม. ๕ และม. ๖ ก็ย้ายไปเรียนที่ตึกแม่พระ สองชั้นบนสุดเป็นห้องพักของบรรดาบราเดอร์ต่าง ๆ ที่ดูแลโรงเรียน
  
สมัยที่เรียนอยู่นั้นที่โรงเรียนถูกใช้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนต์ คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมี ๒ เรื่องด้วยกัน เรื่องแรกคือ "The Deer Hunter" โรงเรียนถูกใช้เป็นฉากสถานฑูตสหรัฐช่วงไซง่อนแตก ผมเคยเขียนเรื่องนี้เอาไว้ใน Memoir ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒๕๖ วันอังคารที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เรื่อง "ก่อนจะหายไปจากความทรงจำตอนที่ ๓ TheDeer Hunter" อีกเรื่องหนึ่งจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร ที่จำได้ก็คือมีเฮลิคอปเตอร์มาบินลงอยู่ในสนามฟุตบอลของโรงเรียน

หนังสือครบรอบ ๕๐ ปีของโรงเรียนได้มาเมื่อใด ได้มายังไงผมก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าเห็นมันตั้งแต่ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก ๆ เรียนชั้นประถม (ตอนที่ผมเข้าเรียนนั้นทางโรงเรียนเพิ่งจะมีอายุเกิน ๕๐ ปีได้ไม่นาน) มีขนาดเล็กกว่ากระดาษ A4 เล็กน้อย เสียดายที่มันได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี ๒๕๕๔ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไรกับมันดีจึงจะแกะหน้ากระดาษที่ติดกันนั้นให้ออกจากกันได้โดยรูปภาพไม่เสียหาย ผมเห็นว่าในหนังสือนี้มีภาพที่คงจะถือได้ว่าเป็นภาพประวัติศาสตร์ของโรงเรียน ไหน ๆ โรงเรียนก็จะมีอายุครบรอบ ๑๐๐ ปีในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าแล้ว ก็เลยขอขุดกรุเอาหนังสือเก่ามาสแกนภาพถ่ายเก่า ๆ เมื่อกว่า ๕๐ ปีที่แล้วมาให้ดูกัน รายละเอียดของรูปภาพเป็นอย่างไรก็โปรดอ่านคำบรรยายภาพเอาเองก็แล้วกัน สิ่งที่น่าเสียดายก็คือในหนังสือไม่ได้ระบุว่าเหตุการณ์ที่ผมนำมาแสดงนั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่เท่าใด แต่ผมเดาว่าคงเป็นช่วงก่อนที่โรงเรียนจะมีอายุครบรอบ ๕๐ ปี
  
สวัสดี