แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เมทานอล แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เมทานอล แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2568

หอกลั่นเมทานอลระเบิดจากเมทิลไฮโดรเปอร์ออกไซด์ MO Memoir : Sunday 19 January 2568

"ในการออกแบบกระบวนการผลิตนั้น จะมองเห็นเฉพาะปฏิกิริยาที่ต้องการนั้นไม่ได้ ต้องมองให้เห็นปฏิกิริยาข้างเคียงและปฏิกิริยาที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นของสารแต่ละตัว ระหว่างสารที่ผสมกันอยู่ และระหว่างสารกับพื้นผิวที่มันสัมผัส เพราะถ้าเราละมันไว้ในการออกแบบ มันอาจก่อปัญหาในการผลิตจริงได้"

ข้อความในย่อหน้าข้างบนเป็นข้อความที่ผมมักบอกกับนิสิตที่เรียนเคมีอินทรีย์กับผม เวลาที่เขาสงสัยว่าวิศวกรรมเคมีเรียนเคมีอินทรีย์ไปทำไม ในเมื่อวิชาส่วนใหญ่ในหลักสูตรเป็นวิชาคำนวณที่เกี่ยวข้องกับการหาขนาดอุปกรณ์การผลิต แถมยังมีอาจารย์จำนวนไม่น้อยชอบบอกว่าเรียนไปก็ไม่ค่อยได้ใช้ เวลามีคนมาถามด้วยคำถามทำนองนี้ผมก็จะบอกเขาไปว่า ถ้าออกแบบด้วยการลอกกระบวนการที่มีอยู่แล้วของคนอื่น มันก็คงไม่ค่อยได้ใช้ เพราะทำแค่ลอกในสิ่งที่เขาทำมา แต่ถ้าต้องเริ่มต้นออกแบบกระบวนการใหม่จากศูนย์ มันตรงข้ามกัน

ดังเช่นเรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้ เป็นกรณีของปฏิกิริยาข้างเคียงที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิด แต่ทำให้เกิดหายนะได้

เรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้นำมาจากบทความเรื่อง "Explosion of methanol distillation column of detergent manufacturing plant" โดย Mitsuru Arai และคณะ เผยแพร่ในเว็บ Failure Knowledge Databaese : 100 Selected Cases (https://www.shippai.org/fkd/en/lisen/hyaku_lisen.html) เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๙๑ (พ.ศ. ๒๕๓๔) ณ โรงงานผลิตสารซักฟอก (detergent) แห่งหนึ่ง

รูปที่ ๑ แผนผังกระบวนการผลิตของโรงงานที่เกิดเหตุ

โครงสร้างโมเลกุลของสารซักฟอกประกอบด้วยโครงสร้างที่มีขั้วที่ปลายข้างหนึ่ง (ใช้สำหรับการละลายน้ำ) และสายโซ่โมเลกุลที่เป็นส่วนไม่มีขั้ว (ใช้สำหรับการละลายไขมันและโมเลกุลที่ไม่มีขั้ว) สารซักฟอกสังเคราะห์หลักที่เราใช้กันนั้น โครงสร้างส่วนที่มีขั้วอาจเป็นหมู่คาร์บอกซิเลต (carboxylate R-COO-) หรือซัลโฟเนต (sulphonate R-SO2O-) ข้อดึของหมู่ซัลโฟเนตเหนือหมู่คาร์บอกซิเลตคือ หมู่ซัลโฟเนตไม่จับกับไอออนที่มีประจุ 2+ ที่อยู่ในน้ำ (หลัก ๆ ก็คือ Ca2+ หรือ Mg2+ ที่พบในน้ำกระด้าง) ตกตะกอนออกมาดังเช่นที่เกิดกับหมู่คาร์บอกซิเลต

โครงสร้างโมเลกุลของส่วนที่ไม่มีขั้วนั้น กลุ่มหนึ่งประกอบด้วยวงแหวนเบนซีนที่มีหางเป็นสายโซ่ไฮโดรคาร์บอน เช่น Linear Alkyl Benzene Sulphonate (LAS) หรือ Alkyl Benzene Sulphonate (ABS) LAS เป็นสารตัวหลักในกลุ่มนี้ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ด้วยการที่มันย่อยสลายได้ง่ายกว่า ABS แต่ LAS ก็ยังมีข้อเสียคือประกอบด้วยโครงสร้างวงแหวนเบนซีนที่ย่อยสลายได้ยาก มีเฉพาะส่วนสายโซ่ไฮโดรคาร์บอนโซ่ตรงเท่านั้นที่ย่อยสลายได้ง่าย

กลุ่มที่สองนั้นเป็นสายโซ่ไฮโดรคาร์บอนโซ่ตรง สารกลุ่มนี้มีการใช้งานน้อยกว่า (น่าจะเป็นด้วยเรื่องราคา) แต่ก็มีข้อดีคือการที่มันไม่มีโครงสร้างวงแหวนเบนซีน ทำให้การย่อยสลายนั้นเกิดได้สมบูรณ์กว่า

แหล่งที่มาสำคัญของสายโซ่ไฮโดรคาร์บอนโซ่ตรงคือกรดไขมันจากพืชและสัตว์ โดยจะอยู่ในรูปโครงสร้างสารประกอบเอสเทอร์กับกลีเซอรีน (glycerine หรือบางทีก็เรียกว่ากลีเซอรอล glycerol) ที่เรียกว่าไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) การแยกสายโซ่นี้ออกมาทำได้ด้วยการใช้ปฏิกิริยาทรานเอสเทอริฟิเคชัน (transesterification) กับเมทานอล (methanol) โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้คือเมทิลเอสเทอร์ของสารโซ่ไฮโดรคาร์บอน และกลีเซอรีน

โรงงานที่เกิดเหตุนั้นเดิมสร้างเพื่อผลิต ABS แต่ต่อมาได้รับการปรับเปลี่ยนให้ผลิตโดยใช้ไขมันจากธรรมชาติ โดยเริ่มเดินเครื่องการผลิตใหม่ในวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๙๑ (พ.ศ. ๒๕๓๔) ซึ่งก็คือปีที่เกิดเหตุ กระบวนการผลิตใหม่ประกอบด้วยการนำวัตถุดิบคือเมทิลเอสเทอร์ของกรดไขมันมาทำปฏิกิริยากับกรดกำมะถัน (รูปที่ ๑) จะได้สารประกอบ alkyl sulphonic acid และเมทานอลที่แยกออกมา จากนั้นจะทำการเติมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) เข้มข้น 35% เพื่อทำการฟอกสีผลิตภัณฑ์ (ขั้นตอน bleaching) ขั้นตอนต่อไปคือทำการสะเทินกรดที่เหลืออยู่ด้วยเบส (ขั้นตอน neutralization) ก่อนที่จะถูกส่งต่อไปยังขั้นตอนการทำให้เข้มข้นและแยกผลิตภัณฑ์เพื่อแยกผลิตภัณฑ์และสารผสม น้ำ+เมทานอล และส่งสารผสมดังกล่าวไปทำการกลั่นแยกน้ำและเมทานอลออกจากกัน

จุดเด่นของกระบวนการนี้คือการใช้เมทานอลร่วมกับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในการฟอกสีผลิตภัณฑ์ ซึ่งทางบริษัทถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ของทางบริษัท

นับตั้งแต่ปลายปีค.ศ. ๑๙๙๐ (พ.ศ. ๒๕๓๓) ทางโรงงานได้มีการทดสอบการทำงานของหอกลั่น และเมื่อเริ่มเดินเครื่องการผลิตในต้นปีค.ศ. ๑๙๙๑ ก็ได้มีการเดินเครื่องเพื่อผลิตและหยุดเดินเครื่องรวมทั้งสิ้น ๖ ครั้ง โดยถือว่าเป็นการฝึกพนักงานและทำการปรับค่าปริมาณสารในระบบ และในระหว่างการเดินเครื่องผลิตแต่ละทางโรงงานก็ได้มีการหยุดเดินเครื่องหลายครั้ง โดยปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความเข้มข้นของสารในกระบวนการ

การเริ่มเดินเครื่องการผลิตครั้งที่แปด เริ่มในเวลา ๒๑.๓๕ น ของวันที่ ๑๙ มิถุนายน ในขณะนั้นหอกลั่นแยกเมทานอลทำงานในสภาวะ "total reflux" (คือไม่มีการดึงของเหลวที่ควบแน่นที่ยอดหอออกจากระบบ แต่ป้อนกลับเข้าหอกลั่นทั้งหมด) และเริ่มเดินเครื่องหน่วย sulfonation process และเมื่อเวลาประมาณ ๒.๓๐ น ของวันที่ ๒๐ มิถุนายน ก็เริ่มมีการป้อนสารจาก sulfonation process เข้าสู่หอกลั่นแยกเมทานอล

เวลาประมาณ ๑.๒๐ น ของวันที่ ๒๖ มิถุนายนพบว่าตัววัดพีเอขของหน่วย neutralization process ไม่ทำงาน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการทำงานของระบบควบคุมอัตโนมัติก่อนหน้านั้นอิงอยู่บนค่าการวัดที่ผิดพลาด ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่ออกจากหน่วย neutralization process นั้นมีค่าพีเอชในช่วงกรด (แสดงว่าก่อนหน้านั้นมีการป้อนสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์นั้นน้อยเกินไป) จึงได้ทำการปรับการควบคุมเป็น manual และทำการเติมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และโซเดียมไฮดรอกไซด์ตามค่าพีเอชที่วัดได้

ทางโรงงานเริ่มดำเนินกระบวนการหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมอุปกรณ์วัดค่าพีเอช และเมื่อถึงเวลา ๙.๑๕ น หอกลั่นแยกเมทานอลก็ทำงานในภาวะ "total reflux" อีกครั้ง

เวลา ๑๐.๑๕ น เกิดการระเบิดที่ส่วนบนของหอกลั่นแยกเมทานอล แรงระเบิดทำให้หอกลั่นได้รับความเสียหายตามด้วยเพลิงไหมติดตามมา แรงระเบิดมีค่าประมาณเทียบเท่าระเบิด TNT 10-50 กิโลกรัม สะเกิดที่ปลิวออกไปทำให้มีผู้เสียขีวิต ๒ รายและบาดเจ็บ ๑๓ ราย

รูปที่ ๒ รูปซ้ายแสดงตำแหน่งของหอกลั่นที่เกิดการระเบิด รูปขวาเป็นภาพถ่ายหอกลั่นหลังการระเบิด

การสอบสวนพบว่าสาเหตุของการระเบิดเกิดจากการสะสมของเมทิลไฮโดรเปอร์ออกไซด์ (H3C-O-O-H methyl hydroperoxide) บริเวณตำแหน่ง tray ที่ 26 ในปริมาณมาก และเมื่อสารนี้สลายตัวอย่างรวดเร็วทำให้เกิดการคายความร้อนปริมาณมากในเวลาอันสั้น ส่งผลให้ของเหลวในบริเวณดังกล่าวกลายเป็นไอในปริมาณมากในเวลาอันสั้น ความดันในหอกลั่นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้หอกลั่นระเบิด

ว่าแต่เมทิลไฮโดรเปอร์ออกไซด์มาจากไหน

เมทานอลสามารถทำปฏิกิริยากับกรดกำมะถัน (ปฏิกิริยา esterification) ได้สารประกอบไดเมทิลซัลเฟต (dimethyl sulphate) เป็นผลิตภัณฑ์ดังสมการ

2H3C-OH + H2SO4 -----> H3C-O-S(O)2-O-CH3

ไดเมทิลซัลเฟตสามารถทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์โดยมีเบสร่วม (ดูตัวอย่างวิธีการเตรียมในรูปที่ ๓) จะได้เมทิลไฮโดรเปอร์ออกไซด์และไดเมทิลเปอร์ออกไซด์ (dimethyl peroxide H3C-O-O-CH3 ) ที่เป็นผลิตภัณฑ์ข้างเคียง

รูปที่ ๓ วิธีการเตรียมเมทิลไฮโดรเปอร์ออกไซด์

ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (รวมทั้งเมทิลไฮโดรเปอร์ออกไซด์) เป็นสารที่ไม่เสถียร แต่ในช่วงพีเอชที่เป็นกรดนั้นจะมีเสถียรภาพสูงขึ้น (ดูหมายเหตุเพิ่มเติมข้างล่าง) ในขณะที่ในช่วงพีเอขที่เป็นเบสนั้นจะเร่งการสลายตัว การป้อนสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์น้อยเกินไป (ผลจากอุปกรณ์วัดค่าพีเอชไม่ทำงาน) ทำให้เปอร์ออกไซด์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ถูกทำลายในขั้นตอน neutralization แต่ระเหยกลายเป็นไอปนไปกับน้ำและเมทานอลที่ป้อนเข้าสู่หอกลั่นแยกเมทานอล การที่ค่าพีเอชในขั้นตอน neutralization อยู่ในช่วงที่เป็นกรดนานต่อเนื่องกันหลายวัน จึงทำให้เกิดเมทิลไฮโดรเปอร์ออกไซด์ในปริมาณที่มากขึ้น และเมื่อหอกลั่นเดินเครื่องในสภาวะ total reflux จึงไม่มีการดึงเอาเมทิลไฮโดรเปอร์ออกไซด์ออกจากหอกลั่น ผลการทำ simulation สารผสม น้ำ-เมทานอล-เมทิลไฮโดรเปอร์ออกไซด์แสดงให้เห็นว่าการสะสมจเกิดมากที่สุดที่บริเวณ tray ที่ 26 ที่เกิดการระเบิด

(หมายเหตุเพิ่มเติม : จากประสบการณ์ที่เคยทำการทดลองกับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ กรดที่แตกตัวให้ H+ เช่น H2SO4 และ H3PO4 ช่วยลดการสลายตัวของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ แต่ถ้าเป็น HCl จะเร่งการสลายตัว (ปัญหาอยู่ที่ Cl-) ไอออนบวกที่มีความป็นกรดสิวอิสที่แรงพอ ก็จะเร่งการสลายตัวของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เช่นกัน ดังนั้น "ห้าม" จำว่าสภาวะที่ค่าพีเอชเป็นกรดนั้น จะเพิ่มเสถียรภาพของเปอร์ออกไซด์เสมอ)

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2563

เมทานอลกับเจลล้างมือ MO Memoir : Monday 30 March 2563

"อาจารย์คะ หนูมีคำถามค่าาา
อันนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องเรียนนะคะ
เหมือนกับว่าก่อนหน้านี้มันมีข่าวว่าพบว่ามีการแอบใช้เมทานอลในการทำเจลล้างมือ
แล้วหนูกับพวกรุ่นพี่บางกลุ่มกำลังคิดว่าอาจทำ infographic มาให้ความรู้
คือที่เมทานอลมันไม่สามารถใช้ได้ นอกจากเรื่องที่มันกินไม่ได้
แล้วมีเรื่องอะไรอีกหรอคะ คือมัน toxic ไรงี้หรอคะ"

เย็นวันวานมีสาวน้อยรายหนึ่งส่งข้อความถามมาเรื่องเกี่ยวกับการเอาเมทานอลมาทำเจลล้างมือ อันที่จริงผมก็ได้ให้ความเห็นส่วนตัวของผมกับเขาไปแล้ว แต่เห็นว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับผู้อื่นอยู่บ้าง ก็เลยขอนำมาขยายความเพิ่มเติมบันทึกไว้ในที่นี้
  
ปัจจุบันมีการนำเสนอข้อมูลในรูปของ Infographic กันมากขึ้น ซึ่งวิธีการนี้ในความเห็นส่วนตัวของผมแล้ว มันเหมาะมากสำหรับการนำเสนอให้ผู้ที่รับสื่อนั้น "เชื่ออย่างรวดเร็ว โดยไม่คิดพิจารณา" ซึ่งในบางงานนั้นมันก็ใช้ได้ดี เช่นการเผยแพร่ คำเตือน ข้อห้าม อันตราย ฯลฯ แต่ถ้าเป็นการให้ความรู้ที่ถูกต้อง ก็ต้องพิจารณาให้ดี เพราะด้วยเนื้อที่จำกัดนั้น ทำให้มันไม่สามารถใช้รายละเอียดที่จำเป็นบางประการเพิ่มเติมเข้าไปได้ เช่น ข้อยกเว้น ข้อจำกัด ข้อควรระวัง เป็นต้น บ่อยครั้งที่เห็นว่าข้อมูลที่ Infographic ให้มานั้น "ไม่ผิด" แต่คนที่รับข้อมูลนั้นเอาไป "ขยายความ" แบบไม่ถูกต้อง มันก็เลยก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา
  
สำหรับเรื่องนี้ สิ่งแรกที่ผมบอกเขาไปว่า จะกล่าวถึงอะไรที่ไม่ใช่ศาสตร์ของเรา (ก็คือทางด้านวิศวกรรมเคมี) ก็ต้องหาแหล่งอ้างอิงหน่อย และควรเป็นแหล่งที่เชื่อถือได้ โดยในที่นี้ผมขอยกเอาข้อมูลมาจาก 
  
- Center for Disease Control (CDC) หรือหน่วยงานควบคุมและป้องกันโรคติดต่อของสหรัฐอเมริกา (รูปที่ ๑)
  
- "Infection prevention and control of epidemic- and pandemic-prone acute respiratory infections in health care" WHO Guidelines เป็นเอกสารที่จัดทำโดยองค์การอนามัยโลกเมื่อปีค.ศ. ๒๐๑๔ เกี่ยวกับการรับมือโรคที่เกิดกับระบบทางเดินหายใจ ซึ่งตอนนั้นตัวสำคัญที่รู้จักกันก็มีไข้หวัดจากเชื้อไวรัส H5N1, H1N1, H7N9, MERSE และ SARS เอกสารนี้ดาวน์โหลดมาจาก https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK214356/ ซึ่งเป็นเว็บของNational Institute of Health (NIH) หรือหน่วยงานด้านสุขภาพของสหรัฐอเมริกา (รูปที่ ๒)
  
- หน้าที่ ๒๔๐ และ ๒๔๑ ของหนังสือ "Disinfection, Sterilization, and Preservation" โดย Seymour Stanton Block ที่ค้นผ่านทาง Google book (รูปที่ ๓ และ ๔) โดยจับภาพหน้าจอสองหน้านี้มาให้อ่านกัน
  
เนื้อหาใน Memoir ฉบับนี้ไม่ได้ต้องการจะบอกว่าเอาเมทานอลมาทำเจลล้างมือแล้วจะมีปัญหาไหม แต่อยากให้ตั้งคำถามแยกเป็นประเด็นดังนี้

ข้อ ๑ สารดังกล่าวมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อที่ต้องการหรือไม่
ข้อ ๒ สารดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหาอะไรกับพื้นผิวที่มันสัมผัสหรือกับผู้ใช้งานหรือไม่
ข้อ ๓ การตกค้างของสารดังกล่าวบนพื้นผิวก่อให้เกิดปัญหาหรือไม่
   
เชื้อจุลชีพที่ทำให้เกิดโรคนั้น ในทางจุลชีววิทยาจะแบ่งออกเป็นกี่กลุ่มผมก็ไม่รู้ เท่าที่พอรู้ก็มีพวก แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และพาราสิต (เช่นเชื้อที่ทำให้เกิดมาลาเรีย) และในแต่ละกลุ่มนั้นมันก็แยกกลุ่มย่อยออกไปอีก สารที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคก็ไม่ได้หมายความว่ามันฆ่าได้ทุกกลุ่ม หรือแม้แต่ในแต่ละกลุ่ม ก็ไม่ได้หมายความว่ามันฆ่าได้ทุกกลุ่มย่อย อย่างเช่นเอทานอลที่เรารู้กันว่าฆ่าเชื้อโรคบนผิวหนังได้ แต่มันฆ่าเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังไม่ได้ เวลาที่เราเป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา เอาเอทานอลทามันก็ไม่หาย ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อราต่างหาก หรือแม้แต่เราไม่สบายเนื่องจากติดเชื้อแบคทีเรีย หมอก็ยังต้องดูว่าเกิดจากเชื้อแบคทีเรียประเภทไหน จะได้ใช้ยาปฏิชีวนะได้ถูกชนิด
  
รูปที่ ๑ ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อของแอลกอฮอล์ที่ปรากฏในหน้าเว็บของ CDC เรื่อง "Guideline for Disinfection and Sterilization in Healthcare Facilities (2008)" ผมจับภาพหน้าจอเฉพาะเนื้อหาตรงส่วนนี้มาแสดง (จาก https://www.cdc.gov/infectioncontrol/guidelines/disinfection/disinfection-methods/chemical.html)

ข้อมูลในย่อหน้าแรกของรูปที่ ๑ กล่าวถึงบทบาทของแอลกอฮอล์ในการฆ่าเชื้อ "แบคทีเรีย" โดยกล่าวว่าเมทานอลมีฤทธิ์อ่อนสุด (คิดว่าเป็นการเทียบกันระหว่าง เมทานอล เอทานอล และไอโซโพรพานอล) แม้แต่เอทานอลและไอโซโพรพานอลเองก็ยังมีความสามารถในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่แตกต่างกัน
   
ย่อหน้าที่สองของรูปที่ ๒ กล่าวถึงความสามารถในการฆ่าเชื้อ "ไวรัส" ของเอทานอลและไอโซโพรพานอล (ไม่มีการกล่าวถึงเมทานอล) ที่แม้ว่าแอลกอฮอล์ทั้งสองชนิดจะมีความสามารถในการฆ่าเชื้อไวรัสได้อย่างกว้างขวาง แต่ก็มีฤทธิ์ในการฆ่าที่แตกต่างกัน และก็มีข้อยกเว้นด้วย เช่นเอทานอลไม่สามารถจัดการกับเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบชนิด A และโรคปอลิโอได้ แต่จัดการกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ (influenza ได้)
   
รูปที่ ๒ จากเอกสาร "Infection prevention and control of epidemic- and pandemic-prone acute respiratory infections in health care" WHO Guidelines จัดทำโดยองค์การอนามัยโลก

ข้อมูลในหัวข้อ G.1 ของรูปที่ ๒ กล่าวว่าแอลกอฮอล์เป็นสารที่มีประสิทธิผลในการฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ โดยเอทานอลเข้มข้น 70% จัดว่ามีประสิทธิผลสูงกว่าไอโซโพรพานอล สารอีกตัวหนึ่งที่มีประสิทธิผลสูงเช่นกันคือโซเดียมไฮโปคลอไรต์ (NaOCl) สารตัวนี้เป็นตัวออกซิไดซ์ ในชีวิตประจำวันเราใช้เป็นน้ำยาซักผ้าขาว คือให้มันทำความสะอาดคราบสกปรก แต่สารตัวนี้ค่อนข้างจะระคายเคือง ทำให้มันเหมาะสำหรับการทำความสะอาดพื้นผิว (ที่ไม่ใช่ผิวหนังคน) มากกว่า และสิ่งที่ต้องคำนึงถึงด้วยก็คือ มันสามารถออกซิไดซ์สารอื่นนอกเหนือไปจากเชื้อโรคได้เช่นกัน
  
รูปที่ ๓ หน้า ๒๔๐ จากหนังสือ "Disinfection, Sterilization, and Preservation" โดย Seymour Stanton Block

รูปที่ ๓ และ ๔ ได้จากการใช้ google ค้นหาว่าเมทานอลสามารถฆ่าไวรัสได้หรือไม่ ซึ่งมันก็พาไปยังหน้า ๒๔๐ และ ๒๔๑ ของหนังสือชื่อ "Disinfection, Sterilization, and Preservation" โดย Seymour Stanton Block ที่กล่าวถึงประสิทธิผลของแอลกอฮอล์โมเลกุลเล็ก (C1 - C4) ในการฆ่าเชื้อไวรัสชนิดต่าง ๆ ข้อมูลในตารางที่ 12.12 (รูปที่ ๔) นั้นก็รายงานประสิทธิผลของเมทานอลในการฆ่าเชื้อไวรัสบางชนิดเทียบกับแอลกอฮอล์ตัวอื่น ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันก็ฆ่าได้เช่นกัน ส่วนที่ว่าเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่นั้น อยู่ในกลุ่มไหนของเชื้อไวรัสที่เขาใช้ทดสอบ หรืออยู่ในกลุ่มเชื้อที่เขาทดสอบหรือไม่นั้น อันนี้ผมไม่รู้
   
รูปที่ ๔ หน้า ๒๔๑ จากหนังสือ "Disinfection, Sterilization, and Preservation" โดย Seymour Stanton Block

ประเด็นถัดมาก็คือสารที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อนั้น มันก่อให้เกิดปัญหากับพื้นผิวที่มันสัมผัสหรือไม่ พื้นผิวสัมผัสนั้นมันมีตั้งแต่ผิวหนังคนไปจนถึงเครื่องเรือนเครื่องใช้และอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่มีทั้งส่วนที่เป็นโลหะ แก้ว และพอลิเมอร์(ไม่ว่าจะเป็นพอลิเมอร์สังเคราะห์หรือวัสดุที่ทำจากยางธรรมชาติ) สารบางตัวฆ่าเชื้อได้ดีมาก แต่ระคายเคืองต่อผิวหนัง ดังนั้นเราอาจใช้มันทำความสะอาดพื้นผิวได้ แต่อย่าให้สัมผัสกับผิวหนังก็แล้วกัน บางตัวอาจไม่มีปัญหากับผิวหนัง (เช่นเอทานอล) แต่มีปัญหากับชิ้นส่วนที่เป็นพอลิเมอร์หรือทำจากยาง ที่อาจทำให้วัสดุเหล่านี้เสื่อมสภาพได้
   
รูปที่ ๕ ป้ายคำเตือน กรุณารอให้แอลกอฮอล์เจลแห้งก่อนที่จะจับต้องชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์ เพราะอาจมีผลเสียได้ รูปนี้ถ่ายมาจากศูนย์บริการรถยนต์แห่งหนึ่ง

ทีนี้ก็มาถึงประเด็นที่ว่าการตกค้างของสารฆ่าเชื้อบนพื้นผิวนั้นก่อให้เกิดปัญหาหรือไม่ แอลกอฮอล์โมเลกุลเล็กมันมีข้อดีคือมันระเหยง่าย ดังนั้นมันจึงไม่ตกค้างบนพื้นผิว แต่การที่มันระเหยง่ายก็เป็นข้อเสียของมันที่ควรพึงระวังก็คือ มันเป็นสารไวไฟ ดังนั้นในการใช้งานจึงต้องระวังไม่ให้มีไอระเหยของแอลกอฮอล์สะสมในปริมาณมากเกินไป และไม่ควรใช้ในบริเวณที่มีเปลวไฟหรือแหล่งความร้อนที่สามารถจุดระเบิดไอระเหยของแอลกอฮอล์ได้ นอกจากนี้การระเหยของมันยังอาจทำให้ผู้ใช้รับมันเข้าสู่ร่างกายผ่านทางการสูดดมได้ด้วย
  
ปัญหาของแอลกอฮอล์ที่จะเอามาทำเจลล้างมือ มันไม่ได้อยู่ตรงที่ว่าแอลกอฮอล์นั้นมันกินได้หรือไม่ (มีใครเอาไอโซโพรพานอลที่ฆ่าเชื้อโรคได้เช่นกันมากินไหมครับ) แต่อยู่ตรงที่มัน "สัมผัส" ผิวหนังได้หรือไม่และ "สูดดม" เข้าไปจะเป็นอันตรายไหม โดยเฉพาะประเด็นหลังคือ "สูดดม" เมื่อเราเอาเจลล้างมือทามือ แอลกอฮอล์มันจะระเหยออกมา ตัวนี้แหละที่เป็นปัญหา เพราะไอระเหยของเมทานอลนันเป็นอันตรายกว่าเอทานอลมาก 
  
ทีนี้กลับมาที่มีการเอา "เมทานอล" มาทำเจลล้างมือ คำถามหนึ่งที่น่าตั้งก็คือคนทำเขารู้หรือเปล่าว่าแอลกอฮอล์มันมีหลายชนิด (เขาอาจไม่ได้มีความรู้เคมีที่ดีก็ได้) เมทานอลที่ขายสำหรับใช้เป็นตัวทำละลายมันก็เขียนไว้ข้างกระป๋องว่าแอลกอฮอล์เหมือนกัน ก่อนหน้านี้เคยลองค้นในเว็บ Shopee ใช้คำค้นหา "แอลกอฮอล์" จะเห็นเมทานอลสำหรับใช้เป็นตัวทำละลายปรากฏขึ้นมาเป็นรายการแรก ๆ เลย แต่ตอนนี้มันโดนพวกเจลล้างมือเบียดออกไป และพอเข้าไปดูรายละเอียดฉลากที่เห็นในรูป มันก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นเมทานอลหรือเอทานอล รู้แต่ว่ามันราคาถูกกว่าแอลกอฮอล์ล้างแผลมาก ดังนั้นการเอาเมทานอลมาใช้จึงอาจเกิดจากความเข้าใจที่ผิดก็ได้ เพราะคิดว่าแอลกอฮอล์ไหน ๆ ก็เหมือนกันหมด