แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ isometric drawing แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ isometric drawing แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Piping isometric และ orthographic drawing MO Memoir : Thursday 16 February 2560

วิชาพื้นฐานวิชาหนึ่งที่เป็นวิชาบังคับของผู้เรียนวิศวกรรมศาสตร์คือวิชาเขียนแบบวิศวกรรม (Engineering drawing) ที่แต่ก่อนสมัยผมเรียนนั้นต้องเริ่มจากการหัดเหลาดินสอ การลากเส้นตรงยาวที่ความหนาของเส้นต้องสม่ำเสมอ การคัดลายมือทั้งตัวอักษรและตัวเลข และกวาดรูปแบบอิสระโดยไม่ใช้เครื่องมือช่วย (free hand drawing) แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไปเรียนวาดรูปกันบนคอมพิวเตอร์เสียส่วนใหญ่ พอให้ใช้ร่างภาพด้วยมือก็เลยมักจะทำกันไม่ค่อยได้
 
แบบ (หรือภาพ) ที่เรียนกันนั้นก็มีทั้งแบบมุมมองสามมิติที่เรียกว่า isometric drawing และภาพฉายสองมิติที่เรียกว่า orthographic drawing มีทั้งให้รูปสามมิติแล้วให้เขียนเป็นภาพฉายสองมิติ และให้ภาพฉายสองมิติแล้วให้เขียนเป็นรูปสามมิติ โต๊ะเรียนก็ค่อนข้างสูง เรียกว่ายืนเขียนได้สบาย พื้นโต๊ะก็ปรับเอนยกขึ้นได้ เก้าอี้นั่งก็สูงตามไปด้วย ตอนเขียนแบบก็จะนั่งหรือจะยืนก็ได้ แล้วแต่ว่าท่าไหนจะถนัดกว่ากัน
 
Piping & Instrumentation Diagram หรือ P&ID นั้นมันบอกเพียงแค่ว่าอุปกรณ์ของระบบ piping นั้นมีอะไรบ้าง ติดตั้งเรียงลำดับกันอย่างไร โดยไม่มีการคำนึงถึงขนาดและรูปร่างของอุปกรณ์ แต่เมื่อจะทำการออกแบบเพื่อการก่อสร้างจริงนั้นจำเป็นต้องมีการคำนึงถึงขนาดและรูปร่างของตัวอุปกรณ์ การทำงานของพนักงาน (เช่นการเข้าไปหมุนวาล์ว) การซ่อมบำรุง (ที่ต้องการพื้นที่ในการทำงานและติดตั้งอุปกรณ์ช่วยในการยกของหนัก) ไปจนถึงเมื่อสร้างเสร็จแล้วจะเห็นว่ามีรูปร่างอย่างไร แบบที่ใช้ตรงนี้มีทั้งแบบมุมมองสามมิติที่เรียกว่า isometric drawing และแบบที่เป็นภาพฉายที่เรียกว่า orthographic drawing ที่เป็นภาพมุมมองจากทางด้านบน ด้านหน้า และด้านข้าง
 
ก่อนยุคสมัยที่จะมีการนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเขียนแบบกันอย่างแพร่หลายเหมือนในปัจจุบัน การวาดภาพ isometric ของระบบท่อทั้งโรงงานไม่ใช่เรื่องง่าย การวาดภาพฉายแบบ orthographic นั้นทำได้ง่ายกว่า โดยภาพฉายนั้นอาจเป็นภาพตัดขวางที่ตำแหน่งระยะความลึก/ความสูงต่าง ๆ ของโรงงาน แบบที่เป็นภาพฉายนี้มันมีความวุ่นวายมันอยู่หลายอย่างที่ทำเอาคนที่เพิ่งเริ่มศึกษามึนไปได้เหมือนกัน เช่นท่อที่อยู่ในแนวดิ่งเมื่อมองจากด้านบนลงมาจะเห็นเป็นจุด ท่อที่โค้งขึ้นและท่อที่โค้งลงนั้นเมื่อมองจากทางด้านบน ท่อในแนวราบที่เมื่อมองจากทางด้านหน้าแล้วมีการโค้งเข้าหรือตัวเราหรือห่างออกจากตัวเรา เรื่องเหล่านี้ในการเขียนแบบจะทำอย่างไรเพื่อให้มันสื่อความหมายที่ถูกต้อง ฯลฯ
 
เนื่องจากบทความในชุดต่อไปจะเกี่ยวข้องกับรูปแบบการจัดวางท่อสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ตามสภาพความจริง โดยแบบที่จะนำมาให้ดูนั้นเป็นภาพฉาย orthographic ด้วยเหตุนี้เลยต้องขอนำเรื่องนี้ขึ้นมาเล่าก่อน เพราะคิดว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่จะอ่านแบบการวางท่อที่จะยกมาเป็นตัวอย่างไม่ออก
 
รูปที่ ๑ เป็นภาพร่างระบบท่ออย่างง่ายโดยทำการเปรียบเทียบระหว่างภาพ isometric (แถวบน) และ orthographic ที่มองจากทางด้านบนลงล่าง (แถวกลาง) และมองจากด้านหน้า (แถวล่าง) ผมใส่สีเข้าไปเพื่อช่วยแสดงตำแหน่งท่อและข้อต่อที่มองเห็นเมื่อมองจากมุมต่าง ๆ กัน ตัวอย่างเช่นท่อโค้งตามรูปแบบที่ (1) นั้น ท่อสีน้ำเงินที่อยู่บนระนาบ x-y จะโค้งลงล่างเป็นท่อสีเขียวบนระนาบ x-z ตามรูปแบบนี้ถ้าเรามองจากทางด้านบนเราจะเห็นระนาบ x-y (จะเห็นระนาบ x-z เป็นขอบ) เราจะเห็นท่อสีน้ำเงินยาวทั้งเส้น และเห็นข้อต่อสีแดง ท่อสีเขียวนั้นจะเห็นเป็นจุดไป ตรงข้อต่อสีแสดงนี้เส้นท่อสีน้ำเงินจะลากยาวเข้ามาในวงกลมที่แสดงข้อต่อสีแดงจนถึงตำแหน่งจุดกึ่งกลาง รูปแบบนี้แสดงว่าเป็นท่อโค้งลง แต่เมื่อมองตามระนาบ x-z (เราจะเห็นระนาบ x-y เป็นขอบ) เราจะเห็นท่อสีเขียววางตั้งขึ้นไปในแนวดิ่งจนถึงระดับความสูงที่เส้น B-B จากนั้นจะหันเบนออกไปจากตัวเรา ตามรูปนี้ตรงข้อต่อสีแดงเราก็จะเห็นเส้นท่อสีเขียวลากยาวเข้ามาในวงกลมที่แสดงข้อต่อสีแดงจนถึงตำแหน่งจุดกึ่งกลาง เป็นการแสดงว่าท่อนั้นโค้งออกไปจากตัวเรา
 
รูปที่ ๑ ตัวอย่างเปรียบเทียบท่อรูปแบบต่าง ๆ เมื่อมองจากมุมต่างกัน แถวบนเป็นภาพมุมมองแบบสามมิติ isometric แถวกลางเป็นภาพฉาย (orthographic) เมื่อมองจากทางด้านบนลงมา ส่วนแถวล่างเป็นภาพฉาย (orthographic เช่นกัน) เมื่อมองจากทางด้านหน้าเข้าไป (อันที่จริงมันมีภาพมองจากทางด้านข้างอีก) เส้น A-A และเส้น B-B เป็นเส้นอยู่ในระนาบในแนวนอนเดียวกัน โดยเส้น B-B อยู่ทางด้านหน้าของเส้น A-A เส้น B-B และเส้น C-C เป็นเส้นอยู่ในระนาบแนวตั้งเดียวกัน โดยเส้น B-B อยู่สูงกว่าเส้น C-C รูปแบบ (1) เป็นท่อที่ตั้งขึ้นไปในแนวดิ่งแล้วโค้งไปข้างหลัง รูปแบบ (2) เป็นท่อที่ยื่นไปข้างหลังแล้วค่อยโค้งขึ้นบน รูปแบบ (3) เป็นท่อที่ตั้งขึ้นไปในแนวดิ่งแล้วโค้งไปข้างหลังแล้วเลี้ยวขวาอีกที รูปแบบ (4) เป็นท่อที่พาดมาทางขวาแล้วโค้งไปข้างหลังจากนั้นโค้งงอขึ้นข้างบนอีกที

ท่อโค้งตามรูปแบบที่ (2) เมื่อมองทางด้านบน (ระนาบ x-y) เราจะเห็นท่อสีน้ำเงินเป็นจุด และเห็นท่อสีเขียวแยกออกมาจากข้อต่อสีแดง (พึงสังเกตว่าออกมาจากตรง "เส้นรอบรูป" ไม่ใช่ "จุดกลาง") อันนี้เป็นลักษณะของท่อดิ่งลงล่างแล้วโค้งงอออกไป และเมื่อมองจากทางด้านหน้า (ระนาบ x-z) เราจะเห็นท่อสีเขียวเป็นจุดและเห็นท่อสีน้ำเงินแยกออกจากข้อต่อสีแดงขึ้นไปข้างบน (ออกมาจากตรง "เส้นรอบรูป" ไม่ใช่ "จุดกลาง" ของข้อต่อสีแดงเช่นกัน) อันนี้เป็นลักษณะของท่อที่วิ่งออกไปจากตัวผู้มองแล้วโค้งงอออกไป
 
ในทำนองเดียวกัน สำหรับท่อในรูปแบบที่ (3) เมื่อเรามองจากทางด้านบนเราจะมองไม่เห็นท่อสีเขียว และเมื่อมองจากทางด้านหน้าก็จะมองไม่เห็นข้อต่อสีส้ม และในรูปแบบที่ (4) นั้นเมื่อมองจากทางด้านบนจะมองไม่เห็นท่อสีชมพู และเมื่อมองจากทางด้านหน้าจะมองไม่เห็นท่อสีน้ำเงินและข้อต่อสีส้ม (เพราะทั้งท่อสีน้ำเงินและข้อต่อสีส้มโดนข้อต่อสีแดงบังเอาไว้)

คิดว่าปูพื้นฐานเพียงเท่านี้ ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการเริ่มต้นอ่านแบบภาพฉายระบบ piping แล้ว ที่เหลือก็คงเป็นเพียงแค่การฝึกหัดอ่านและทำความเข้าใจแบบต่าง ๆ ที่จะเอามาให้ดูเป็นตัวอย่างในตอนถัดไป

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ทำความรู้จัก Piping Isometric Drawing MO Memoir : Tuesday 30 July 2558

ในการออกแบบโรงงานอุตสาหกรรมเคมีนั้น เราเริ่มจากการคัดเลือกกระบวนการผลิต จากนั้นก็จัดทำ Process Flow Diagram (PFD) ที่แสดง อัตราการไหล อุณหภูมิ ความดัน สภาวะอื่น ๆ (เช่นความหนืด การมีของแข็งแขวนลอย ฯลฯ) ของสารที่ไหลจากอุปกรณ์ผลิตหนึ่งไปยังอีกอุปกรณ์การผลิตหนึ่ง ข้อมูลตรงนี้เราใช้ในการกำหนดขนาดของอุปกรณ์การผลิตแต่ละอุปกรณ์ (เช่นขนาดของ หอกลั่น vessel ต่าง ๆ เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน cooling tower หม้อน้ำ ฯลฯ)
  
เมื่อได้ขนาดของอุปกรณ์การผลิตต่าง ๆ แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการกำหนดตำแหน่งที่ตั้งของอุปกรณ์ต่าง ๆ ตรงนี้คือการกำหนด Plot Plan ซึ่งขึ้นกับพื้นที่ก่อสร้างที่มีอยู่ (ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างพื้นที่ ระดับชั้นความสูงที่เป็นที่ตั้งของอุปกรณ์การผลิตแต่ละชิ้น) เพราะตรงนี้มันส่งผลถึงการออกแบบขนาดของปั๊มและท่อที่ต้องใช้ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เราลองมาพิจารณากรณีตัวอย่างของโรงงานในรูปที่ ๑ ข้างล่างดูกันก่อน ที่มีการจัดเรียงหน่วยผลิตด้วยรูปแบบที่แตกต่างกัน (คือมี plot plan ที่แตกต่างกัน) โดยโรงงานดังกล่าวประกอบด้วย (ก) หน่วยผลิต A (ข) หน่วยผลิต B (ค) หน่วยแยกผลิตภัณฑ์ออกจากตัวทำละลาย และ (ง) หน่วยกลั่นตัวทำละลายให้มีความบริสุทธิ์เพื่อนำกลับไปใช้ใหม่ที่หน่วยผลิต A
  

รูปที่ ๑ (บน) วางตำแหน่งหน่วยผลิตตามแนวยาว หน่วยกลั่นตัวทำละลายอยู่ที่ปลายด้านหนึ่งของสายการผลิต (กลาง) วางตำแหน่งหน่วยผลิตตามแนวยาว หน่วยกลั่นตัวทำละลายอยู่ทางต้นทางของสายการผลิต และ (ล่าง) วางตำแหน่งหน่วยผลิตในพื้นที่รูปสี่เหลี่ยม พึงสังเกตว่าแต่ละแบบนั้นการเดินท่อจะมีความแตกต่างกันอยู่
  
ในรูปที่ ๑ (บน) และ (กลาง) นั้นเป็นการวาง plot plan ของหน่วยผลิตต่าง ๆ ในแนวยาว ความแตกต่างอยู่ที่ตำแหน่งที่ตั้งของหน่วยกลั่นตัวทำละลายให้มีความบริสุทธิ์ ในกรณีของรูปที่ ๑ (บน) นั้นหน่วยกลั่นตัวทำละลายให้มีความบริสุทธิ์อยู่ถัดจากหน่วยแยกผลิตภัณฑ์ออกจากตัวทำละลาย ดังนั้นการเดินท่อส่งตัวทำละลายที่ต้องการทำให้บริสุทธิ์จากหน่วยแยกผลิตภัณฑ์ไปยังหน่วยกลั่นตัวทำละลายนี้จะสั้น แต่การเดินท่อส่งตัวทำละลายที่บริสุทธิ์จากหน่วยกลั่นไปยังหน่วยผลิต A จะเดินท่อยาว แต่ถ้าเป็นกรณีของรูปที่ ๑ (กลาง) หน่วยกลั่นตัวทำละลายให้มีความบริสุทธิ์จะอยู่ทางต้นทางของหน่วยผลิต A ดังนั้นการเดินท่อส่งตัวทำละลายที่ต้องการทำให้บริสุทธิ์จากหน่วยแยกผลิตภัณฑ์ไปยังหน่วยกลั่นตัวทำละลายนี้จะยาว แต่การเดินท่อส่งตัวทำละลายที่บริสุทธิ์จากหน่วยกลั่นไปยังหน่วยผลิต A จะเดินท่อสั้น
   
ถ้าตัวทำละลายที่ยังไม่ผ่านการทำให้บริสุทธิ์นั้นมีความหนืดมากกว่าตัวทำละลายที่บริสุทธิ์แล้ว การใช้ plot plan แบบรูปที่ ๑ (กลาง) จะทำให้ต้องสิ้นเปลืองพลังงานมากกว่าเพราะต้องส่งของเหลวที่มีความหนืดสูง (คือตัวทำละลายที่ต้องการทำให้บริสุทธิ์) เดินทางเป็นระยะทางไกลกว่า (คือจากหน่วยแยกผลิตภัณฑ์ส่งไปยังหน่วยกลั่นตัวทำละลาย) แต่ถ้าใช้การวาง plot plan ตามรูปที่ ๑ (ล่าง) คือวนรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยม ระยะทางเชื่อมต่อระหว่างหน่วยต่าง ๆ จะสั้นที่สุด แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับว่าทางโรงงานมีพื้นที่สำหรับก่อสร้างที่มีรูปร่างหน้าตาอย่างไร
  
และตรงนี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้โรงงานที่ใช้กระบวนการผลิตเดียวกัน แต่มีการใช้ plot plan ที่แตกต่างกัน การส่งของเหลวจากหน่วยหนึ่งไปยังอีกหน่วยหนึ่งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ปั๊มและท่อที่มีขนาดเดียวกัน
  

รูปที่ ๒ Piping isometric drawing (จาก http://www.flow-techs.com/wp-content/uploads/2012/01/d1.gif) พึงสังเกตความยาวท่อตรงอักษร A จะเห็นว่ามันไม่ได้สัดส่วนกับความยาวที่แท้จริง
  
หลังจากที่ได้ plot plan แล้ว ต่อไปก็คือการคำนวณหาขนาดท่อและปั๊ม เพราะรู้ตำแหน่งแล้วว่าต้นทางและปลายทางนั้นห่างกันเท่าใด และการเดินท่อนั้นต้องเดินรูปแบบใด (เช่น ฝังลงใต้ดิน วางบน pipe rack ที่คดเคี้ยวหรือวิ่งขึ้น-ลงไปตามแนวเส้นทางใดบ้าง) ขั้นตอนนี้ก็จะได้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อที่ต้องใช้ ลำดับต่อไปก็คือรูปร่างที่แท้จริงของท่อที่ต้องประกอบขึ้นเพื่อใช้ในการส่งผ่านของเหลวนั้น ตรงนี้เป็นจุดที่ piping isometric drawing เข้ามามีบทบาท
  
piping isometric drawing ก็คือรูปร่างของท่อในสามมิติ ว่ามีการหักเลี้ยว ขึ้น-ลง ลาดเอียงทำมุม มีการติดตั้งอุปกรณ์อะไรบ้างที่ตำแหน่งใดบ้าง และอยู่ห่างกันเป็นระยะเท่าใด มีการระบุความยาวท่อและระยะห่างระหว่าง วาล์วและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องติดตั้งเข้ากับตัวท่อ (เช่นตำแหน่งติดตั้งเกจต่าง ๆ) ที่ชัดเจน ดังตัวอย่างที่แสดงในรูปที่ ๒ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังในการอ่าน piping isometric drawing คือภาพนั้นมันไม่ได้แสดงสัดส่วนที่เป็นจริงเสมอไป กล่าวคือถ้าเห็นท่อเส้นหนึ่งในรูปมีความยาวเป็นสองเท่าของท่ออีกเส้นหนึ่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าท่อในรูปมีเส้นท่อที่ยาวกว่านั้นจะมีความยาวที่แท้จริงมากกว่า ความยาวที่แท้จริงของท่อต้องดูที่ "ตัวเลข" ที่เขาระบุไว้ ลองดูท่อในรูปที่ ๒ ตรงที่มีอักษร A กำกับ เช่นท่อที่ยาว 19 1/2" (19 นิ้วครึ่ง) นั้นในรูปจะสั้นกว่าท่อที่ยาว 14' 3" (14 ฟุต 3 นิ้ว) เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
   
ความยาวท่อมาตรฐานจากผู้ผลิตจะอยู่ที่ 6 เมตร ดังนั้นถ้าหากว่ามีการเดินท่อตรงที่ยาวกว่า 6 เมตรก็ต้องมีการเชื่อมต่อท่อเข้าด้วยกัน วิธีการเชื่อมต่อท่อตรงเข้าด้วยกันตรงนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของท่อและข้อกำหนดของโรงงาน (ขึ้นอยู่กับว่าเป็นท่อใช้ในงานอะไร) ท่อขนาดใหญ่ก็จะใช้ปลายท่อต่อชนกันและใช้การเชื่อม ถ้าเป็นท่อขนาดเล็กไม่มากก็อาจใช้การเชื่อมต่อปลายท่อเข้าด้วยกันโดยตรงแบบท่อใหญ่ หรือไม่ก็ใช้ข้อต่อตรง (union) ที่เป็นข้อต่อเกลียว (thread) หรือข้อต่อเชื่อมที่เรียกว่า socket weld รายละเอียดการต่อท่อในแนวตรงตรงนี้มันจะไม่ปรากฏใน piping isometric drawing เว้นแต่จะเป็นการเชื่อมต่อที่แตกต่างออกไป เช่นต้องการเดินท่อตรงยาว 18 เมตร (ต้องใช้ท่อยาว 6 เมตร 3 ท่อน) โดยมีการติดตั้งข้อต่อชนิดหน้าแปลนที่ตำแหน่ง 6 เมตรจากปลายด้านซ้าย การเชื่อมต่อท่อท่อนที่ 1 และท่อนที่ 2 (นับจากซ้าย) ด้วยการใช้หน้าแปลนจะมีปรากฏใน piping isometric drawing แต่การเชื่อมต่อท่อท่อนที่ 2 และท่อนที่ 3 (ท่อนขวาสุด) ด้วยการต่อชนท่อโดยตรงนั้น จะไม่มีปรากฏใน piping isometric drawing
  
รูปที่ ๓ ตัวอย่างสัญลักษณ์ข้อต่อ (จาก http://www.flow-techs.com/wp-content/uploads/2012/01/symble.jpg)
  
รูปที่ ๓ เป็นตัวอย่างสัญลักษณ์แสดงชนิดของท่องอ ท่อโค้ง ท่อลด และท่อแยก ที่ใช้ใน piping isometric drawing (แต่ละโรงงานไม่จำเป็นต้องเหมือนกันนะ) สำหรับการเชื่อมต่อในรูปแบบต่าง ๆ ตรงนี้ขออธิบายเพิ่มเติมให้กับผู้ที่กำลังศึกษาอยู่หรือไม่มีประสบการณ์เรื่องงานท่อเกี่ยวกับชนิดของข้อต่อที่ปรากฏในรูปโดยขอให้ดูรูปที่ ๔ ข้างล่างประกอบ การเชื่อมต่อชนิด Butt weld นั้นเป็นการเชื่อมต่อแบบต่อชน โดยมีการเจียรแต่งขอบที่จะต่อชนกันก่อนการเชื่อมเข้าด้วยกัน ท่อขนาดใหญ่มักจะใช้วิธีการนี้ในการเชื่อมต่อ (อ่านเพิ่มเติมได้จาก Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๑๗ วันอังคารที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เรื่อง "ขอยัดไส้ก่อนนะ แล้วค่อยราดหน้าตาม")
  
การเชื่อมต่อแบบ socket weld นั้นใช้กับท่อที่มีขนาดเล็ก โดยใช้ข้อต่อที่มีลักษณะเป็นเบ้าสวม (แบบข้อต่อท่อ PVC) โดยการสวมข้อต่อเข้ากับท่อจนปลายท่อชนกับบ่าที่อยู่ในข้อต่อ จากนั้นก็จะดึงข้อต่อถอยหลังออกเล็กน้อยเพื่อให้ปลายท่อไม่ชนกับบ่า ก่อนที่จะเชื่อมยึดท่อกับข้อต่อที่ขอบด้านนอก เหตุผลที่ต้องไม่ให้ปลายท่อชนบ่าก็เพราะถ้าท่อช่วงที่อยู่ในข้อต่อนั้นเกิดการขยายตัว จะทำให้เกิดความเสียหายกับรอยเชื่อมได้ (มันถูกดึงออก) ส่วนการเชื่อมต่อด้วยข้อต่อเกลียวเป็นอย่างไรนั้นขออนุญาตไม่กล่าวถึง
  

รูปที่ ๔ (บน) การเชื่อมต่อแบบ Butt weld (ล่าง) การเชื่อมต่อแบบ Socket weld

รูปที่ ๕ เป็นตัวอย่างสัญลักษณ์ของหน้าแปลน (flange) และวาล์วที่ใช้ใน piping isometric drawing วิธีการเชื่อมต่อหน้าแปลนเข้ากับท่อนั้นมีหลายแบบ ชนิด weld neck ก็ใช้การเชื่อมต่อแบบ butt weld ที่กล่าวมาข้างต้น ชนิด socket weld และแบบเกลียว (threaded) ก็เป็นแบบเดียวกับที่กล่าวมาในรูปที่ ๓ และ ๔ จะมีเพิ่มเติมก็คือหน้าแปลนแบบ Slip on และ Lap joint ที่จะขอขยายความเพิ่มเติม (ดูรูปที่ ๖ ประกอบ)
  
หน้าแปลนแบบ slip on นั้นเป็นแบบที่สวมเข้ากับท่อได้พอดี จากนั้นก็ทำการเชื่อมยึดหน้าแปลนเข้ากับตัวท่อทั้งทางด้านนอกและด้านใน ทีนี้พอเชื่อมหน้าแปลนเข้ากับตัวท่อแล้วก็จะขยับไม่ได้ ดังนั้นในการประกอบนั้นต้องตรวจสอบให้ดีว่ารูสำหรับร้อย bolt นั้นของท่อทั้งสองชิ้นที่จะนำมาต่อเข้าด้วยกันต้องตรงกัน และเมื่อประกอบท่อทั้งสองชิ้นเข้าด้วยกันแล้วจะได้รูปร่างดังต้องการ (คือปลายท่ออีกด้านของท่อแต่ละชิ้นจะต้องหันไปในทิศทางและตำแหน่งที่ถูกต้องด้วย) หน้าแปลนแบบ slip on นี้มักจะใช้กับท่อขนาดเล็กที่ไม่ได้รับความดันมาก
  

รูปที่ ๕ ตัวอย่างสัญลักษณ์เพิ่มเติม (จาก http://mechanicalapp.blogspot.com/2014/01/isometric-drawing.html)

หน้าแปลนแบบ Lap joint นั้นมีส่วนประกอบสองส่วน คือตัวหน้าแปลนที่เป็นแบบ Slip on แต่หน้าแปลนตัวนี้ไม่ได้สวมเข้ากับท่อโดยตรง แต่จะสวมเข้ากับท่อแกนกลางที่เป็นตัวเชื่อมต่อเข้ากับปลายท่อ ตัวหน้าแปลนเองนั้นไม่ได้ถูกยึดเข้ากับท่อแกนกลางหรือตัวท่อ ทำให้มันสามารถหมุนได้ หน้าแปลนแบบ Slip on นี้เหมาะกับท่อขนาดใหญ่ (ที่ไม่ได้รับความดันสูง) เพราะมันยากต่อการจัดตำแหน่งรูร้อย bolt ให้ตรงกัน
  

รูปที่ ๖ (ซ้าย) หน้าแปลนแบบ Slip on ตัวหน้าแปลน (สีเขียว) ถูกเชื่อมยึดติดเข้ากับท่อ (สีฟ้า) โดยตรง (ขวา) หน้าแปลนแปลนแบบ Lap joint ตัวหน้าแปลน (สีเขียว) นั้นเป็นอิสระ ไม่ได้ถูกเชื่อมยึดติดกับตัวท่อ (สีฟ้า) หรือท่อแกนกลาง (สีส้ม)
  

รูปที่ ๗ เป็นตัวอย่างระบบ piping ของระบบหนึ่ง (ของระบบ Steam trap) ที่แสดงให้เห็นข้อต่อทั้งแบบเกลียว (ที่ตัววาล์วและ strainer) หน้าแปลนชนิด Slip on (ที่ตัว Steam trap) และข้อต่อ Butt weld (ท่อเหล็กกล้าไร้สนิมของระบบ process fluid ที่อยู่ด้านหลัง)
 
 
รูปที่ ๗ ตัวอย่างข้อต่อที่ใช้ในระบบ piping ระบบหนึ่ง
  

ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ก็คิดว่าคงจะพอมีความรู้พื้นฐานสำหรับการอ่านแบบ piping เพิ่มขึ้นบ้างแล้วนะครับ :) :) :)